สิ่งที่เขาต้องการไล่ตามคือความสูงที่เขาสามารถจะไปถึงได้ในภายหน้า เขาไม่ต้องการจะต่อสู้กับเวลา
หลังจากเข้าปิดด่านฝึกบำเพ็ญไปอีกครึ่งปี ในที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็แน่ใจว่าร่างกายของเขาไม่มีสิ่งใดผิดปกติ และอาการคันในร่างกายของเขาก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีกเลย
เมื่อเขาขึ้นสู่เซียนไปได้ไม่นาน เขาก็เข้าใจพระสูตรนิรกรรมเล่มแรก
ทว่าเขาไม่มีโอกาสได้ศึกษาพระสูตรนิรกรรมเล่มที่สอง นอกจากนี้ ยังเป็นข้อห้ามสำหรับเขาในการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลักของสำนัก และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเสี่ยงบางอย่างที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย
มันไม่มีความลับใดในโลก
นอกเหนือจากกลอุบายและไพ่เด็ดที่หลี่ฉางโซ่วเก็บเอาไว้ ความจริงแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยึดมั่นสุดท้ายของเขาคือ เขาจะไม่ทำสิ่งที่ละเมิดกฎหลักของสำนักตู้เซียนและทำลายรวมถึงสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของสำนักตู้เซียน
ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป
‘พระสูตรนิรกรรม’ นั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้ง ซึ่งจะมีโครงร่างทั่วไปในเล่มแรก
เขาต้องศึกษาอย่างระวังรอบคอบและค่อยๆ เข้าใจถ้อยคำทีละคำ และเขาจะได้บางสิ่งใหม่ๆ จากการกระทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
บางทีเขาอาจจะสร้างเคล็ดวิชาใหม่ๆ ขึ้นมาได้
หลังจากผ่านไปอีกร้อยปี ต้นกล้าอมตะของคนรุ่นเดียวกันกับเขาในสำนักนี้จะเริ่มข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ทีละคน เขายังสามารถจัดการให้พวกเขาออกไปและ ‘บังเอิญ’ ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียนได้ เมื่อถึงตอนนั้น มันก็ยังไม่สายเกินไปสำหรับเขาที่จะฝึกฝนพระสูตรนิรกรรมเล่มที่สอง
เมื่อออกมาจากห้องลับและกลับมาที่หอโอสถ เขาก็เก็บตุ๊กตากระดาษที่ทำงานอยู่เป็นเวลานาน มันเหมือนจริงมากพอที่จะเป็นร่างจำลองเสมือนจริงได้
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นั่งอยู่ข้างเตาหลอมโอสถและเริ่มหลอมโอสถในเตาหลอมขนาดใหญ่อย่างช้าๆ
เตาหลอมโอสถนี้เรียกว่า ‘เตาทองคำร้อยพันพิษ’ มันเป็นสมบัติเซียนที่เหนือกว่าเตาหลอมโอสถที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเก็บเอาไว้เป็นเตาสำรอง
ตัวเตาหลอมสร้างขึ้นด้วยทองคำเพลิงบริสุทธิ์ร้อยชิ้น ผสมกับวัสดุล้ำค่าหลายร้อยชนิด แม้แต่ เซียนจินธรรมดาก็ยังไม่อาจใช้มันหลอมโอสถได้ในทันที นับประสาอะไรกับเซียนเทียนอย่างว่านหลินหยุน
เมื่อมองที่ผนังด้านนอกของเตาหลอมโอสถนี้อย่างใกล้ชิด เขาก็ตระหนักว่ามีกระแสพลังวิญญาณบริสุทธิ์กำลังไหลอยู่ภายใต้เงาโลหะสีดำ ซึ่งมีแมลงพิษหลายร้อยตัวและสัตว์วิญญาณพิษสิบสองชนิดที่แกะสลักไว้บนพื้นผิวของเตาหลอมโอสถนี้
แต่เตาหลอมโอสถนี้ไม่มีคุณสมบัติกัดกร่อนที่เป็นพิษ ตรงกันข้าม มันสามารถระงับความเป็นพิษของโอสถและเพิ่มความปลอดภัยได้
เดิมที ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนต้องการให้หลี่ฉางโซ่วใช้เตาหลอมโอสถอื่นที่ล้ำค่ามากกว่าเดิมและสามารถเพิ่มอัตราการหลอมโอสถตลอดจนปรับปรุงคุณภาพโอสถได้ แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยืนยันจะเลือกเตาหลอมโอสถที่ใช้สำรองนี้…
จึงทำให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนต้องถอนหายใจด้วยไม่อาจทำอันใดได้
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ยุคบรรพกาลก็อยู่ห่างไกลออกไปและยากจะได้รับสมบัติโบราณอีกต่อไป ดังนั้น สมบัติจึงล้ำค่ามากจนคนส่วนใหญ่จะละเมิดกฎเพื่อให้ได้รับมันมา
มีคนรุ่นเยาว์ไม่กี่คนที่จะไม่หวั่นไหวไปกับสมบัติล้ำค่าจริงๆ
แต่หลี่ฉางโซ่วให้ความสำคัญมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัย
หลังจากเปิดเตาเพื่อหลอมโอสถที่เต็มไปด้วยโอสถพิษแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็พอใจกับเตาหลอมนี้มาก…
ต่อไป เขาย่อมสามารถหารือเกี่ยวกับแผนการสร้างรายได้กับอาจารย์ของเขาได้
“ข้าต้องให้เจ้าใช้ค่ายกลเล็กๆ เหล่านี้เพื่อปกป้องตัวเจ้าเองเอาไว้ก่อน” หลี่ฉางโซ่วพึมพำ “เมื่อข้ามีวัตถุดิบล้ำค่าแล้ว ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัยที่นี่ โดยไม่มีผู้ใดสามารถรังแกเจ้าได้”
ทว่าเตาหลอมโอสถนี้ไม่ใช่สมบัติวิญญาณ ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว ย่อมจะโต้ตอบเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
บัดนี้ เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ที่เขากลับมา ดังนั้นควรถึงเวลาที่เขาต้องกลับไปเยี่ยมผู้อาวุโสว่านหลินหยุนที่ยอดเขาตันติ่งอีกครั้ง
หลังจากที่ได้รับผลประโยชน์จากเขามาแล้ว เขาไม่อาจทำตัวหายไปได้
อืม…จับปลาวิญญาณไปให้หลิงเอ๋อร์ทำอาหาร แล้วนำสุราชั้นดีสักสองไหไปเยี่ยมท่านด้วยดีกว่า
เมื่อหลี่ฉางโซ่ววางแผนเช่นนี้แล้ว เขาก็ค่อยๆ เดินออกจากหอโอสถและขับเคลื่อนเมฆาตรงไปทางกระท่อมมุงจาก
ในขณะนี้ สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาทะลุผ่านเข้าไปในค่ายกลที่อยู่รอบๆ กระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็เห็นนางกำลังเอนกายพิงหน้าต่างและพักผ่อนอยู่
เส้นผมสีดำราวไหมของนางร่วงลงมาตามลาดไหล่ละมุนและเอวคอดปานกิ่งหลิวของนาง เรือนร่างโค้งมนซึ่งซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าบางของนางนั้นช่างวิจิตรงดงามอย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะนางหัวเราะคิกคักดัง ‘ฮิฮิ’ ออกมาเป็นครั้งคราวและเอ่ยเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่’ ซึ่งจะทำให้เสียอารมณ์ส่วนใหญ่ไป ภาพแสนงดงามของนางเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นจิตใจของผู้คนให้ลุ่มหลงได้
บนแผ่นหินข้างมือของนาง มีอักขระลงสลักที่ยังไม่เสร็จ และเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วซึ่งขับเคลื่อนเมฆากลับมาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที…
“เจ้าไม่ได้กำลังฝึกฝนอย่างถูกต้อง”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะ เขาไม่ได้รบกวนหลิงเอ๋อร์ แต่พับแขนเสื้อขึ้นและเดินไปที่ครัวริมทะเลสาบเพื่อเริ่มทำอาหาร
และหลังจากที่ง่วนอยู่สองชั่วยาม เขาก็ทำอาหารแสนโอชะหนึ่งมื้อเสร็จสิ้น
ในช่วงสองปีแรกเมื่อหลิงเอ๋อร์เพิ่งมาถึงภูเขา นางยังเป็นเด็กสาวที่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา จึงทนความยากลำบากบนภูเขาไม่ไหว และในเวลานั้น ทักษะการทำอาหารของหลี่ฉางโซ่วจึงได้รับการฝึกฝนขึ้นมาเป็นอย่างดี
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงดูแลจิตวิญญาณที่บากบั่นพากเพียรและมุ่งมั่นของศิษย์น้องหญิงของเขา และหลังจากที่นางเป็นปี้กู่แล้ว เขาก็ถ่ายทอดทักษะการทำอาหารทั้งหมดของเขาให้กับนางทั้งหมดอีกด้วย
เขาวางอาหารที่เหลือบนจานโดยแบ่งลงในกล่องอาหารสองกล่อง และวางกล่องหนึ่งเอาไว้เงียบๆ ข้างๆ ศิษย์น้องหญิงของเขา จากนั้นเขาก็วางอีกกล่องหนึ่งไว้หน้าประตูบ้านของอาจารย์ของเขา
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นำจานสองสามใบและสุราชั้นดีสองไหไปกับเขา ในขณะที่เขาลอยอยู่ในระดับความสูงที่เหมาะสม เขาก็หลีกเลี่ยงเส้นทางเมฆาที่พลุกพล่านวุ่นวายภายในสำนัก และมุ่งหน้าไปยังยอดเขาตันติ่ง
ไม่นานหลังจากที่เขาจากไปแล้ว จมูกของหลิงเอ๋อร์ก็ขยับฟุดฟิดเบาๆ เพราะถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมของอาหารก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เอ๋?”
หลันหลิงเอ๋อร์แลบลิ้นเลียปากของนาง เห็นกล่องใส่อาหารข้างๆ และชิ้นไม้ไผ่ที่ติดอยู่บนนั้น
‘อย่าเกียจคร้านในการฝึกฝน เพียงการพากเพียรฝึกบำเพ็ญอย่างหนักเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถทะยานขึ้นสู่เซียนได้’
หลิงเอ๋อร์ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ศิษย์พี่มาแล้ว!
เขายังทำอาหารให้ข้าอีกด้วย!
โอ้?
ผิดปกติแฮะ
หลันหลิงเอ๋อร์ยืนขึ้นทันที นางตั้งศอกขวาขึ้นบนฝ่ามือซ้ายและใช้มือขวาบีบคางที่เรียบเนียนของนางเบาๆ ขณะที่เริ่มครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
หืม ศิษย์พี่ต้องพยายามทดสอบว่าข้ายังจดจำสิ่งที่เขาสอนสั่งเอาไว้ได้หรือไม่!
จากนั้นเมื่อนางชี้นิ้วไป ก็มียันต์บินออกมาจากแขนเสื้อของนางและแปะอยู่บนกล่องอาหาร
ทันใดนั้นนางก็โยนกล่องอาหารออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเปลวไฟบนยันต์ก็ลุกโชนขึ้นมาจนทำให้กล่องอาหารระเบิดขึ้นทันที
การลงมือครั้งนี้ แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยก็ยังนับว่ายอดเยี่ยมเช่นกัน!
หลิงเอ๋อร์ยิ้มกริ่ม จากนั้นก็ก้าวออกจากกระท่อมมุงจากเพื่อไปหาศิษย์พี่ของนาง
ทว่าจู่ๆ สายตาของนางก็ถูกดึงดูดอย่างรวดเร็วด้วยกล่องอาหารหน้าตาเหมือนกันที่วางอยู่ตรงหน้าหน้าประตูบ้านของท่านอาจารย์
แล้วรอยยิ้มพอใจบนใบหน้าของหลันหลิงเอ๋อร์ก็แข็งค้างกะทันหันก่อนจะก็ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากขณะที่คร่ำครวญเบาๆ
โฮ!…ศิษย์พี่ทำอาหารให้นางจริงๆ
ข้าไม่ได้กินมาหลายปีแล้ว…เหตุใดกันนี่…
เฮ้อ…ก็ศิษย์พี่ทำให้ข้าเข้าใจผิดนี่นา!
“ท่านอาจารย์ก็เข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรอยู่ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ได้สังเกตว่ามีอาหารอยู่ด้านนอกค่ายกล”
หากปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ มันต้องเสียเป็นแน่…
และชั่วขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็มองซ้ายย้ายขวาก่อนจะย่องเข้าไปใกล้ประตูไม้ของบ้านท่านอาจารย์ของนาง แล้วก้มศีรษะลงไปหยิบกล่องอาหารขึ้นมาจากพื้น
ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่ได้พยายามจะแย่งอาหารจากท่านนะเจ้าคะ แต่ท่านกำลังยุ่งอยู่กับการหยั่งรู้วิถีเซียน และท่านจะยังไม่ออกมาจากการปิดด่านอย่างแน่นอน ดังนั้นการเสียอาหารไปเปล่าๆ ย่อมไม่ดีแน่ใช่หรือไม่เจ้าคะ
ครืด-
ทันใดนั้น ประตูไม้ก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ แล้วนักพรตเต๋าชราฉีหยวน ซึ่งกำลังเหยียดหลังยืดเอวของเขาก็ก้มศีรษะลงมองดูศิษย์ตัวน้อยที่หน้าประตูก่อนจะเผยรอยยิ้มอบอุ่น
“หลิงเอ๋อร์ เจ้ามาทำอันใดที่นี่”
“อืม…ท่านอาจารย์…ศิษย์พี่ทำอาหารและขอให้ศิษย์นำมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
“โอ้?” ฉีหยวนฉีกยิ้มแฉ่งทันที และหยิบกล่องอาหารมา “หายากนักที่พวกเจ้าจะกตัญญูเช่นนี้ ยังไม่สายเกินไปที่อาจารย์จะกินมันก่อนจะไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์”
หลิงเอ๋อร์หันกลับมาเผชิญหน้ากับอาจารย์ของนางพร้อมด้วยใบหน้าเศร้าใจและมุ่ยปากน้อยๆ ของนาง
ข้ากำลังจะร้องไห้แล้ว ท่านอาจารย์ ข้ากำลังจะร้องไห้จริงๆ นะ ท่านอาจารย์…
นางสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วถามว่า “อาจารย์ ท่านมีอะไรที่ต้องไปจัดการที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์หรือเจ้าคะ”
“อืม! แค่กๆ!”
นักพรตเต๋าชราฉีหยวนแสร้งทำเป็นสงบแล้วตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้ากลายเป็นเซียนแล้ว และก่อนหน้านี้ ข้าก็ได้รับแจ้งจากหอไป่ฝานว่า ยอดเขาหยกน้อยของเราสามารถเข้าร่วมการประชุมปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาที่จะจัดขึ้นในทุกๆ สิบปีได้”
“โอ้! เอ๋?”