ในงานเลี้ยงนี้ ทั้งผู้ชราและผู้เยาว์ล้วนเริงร่ารื่นรมย์ใจ
ว่านหลินหยุนดื่มสุราที่หลี่ฉางโซ่วนำมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและเหลือทั้งสองไหนั้นเอาไว้
ผู้อาวุโสคนนี้ไม่ชอบดื่มสุราและไม่สนใจอาหารมากนัก เขากล่าวถึงแต่ยาพิษและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวกับพิษในขณะที่กินอาหารกับหลี่ฉางโซ่ว เขามีความสุขจากสิ่งที่เขาทำอยู่อย่างมาก
หลี่ฉางโซ่วได้รับสมุนไพรมาจำนวนหนึ่งจากผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเมื่อเขากลับมาจากยอดเขาตันติ่ง
เขายังกระดากอายเล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เพียงแค่มาเยี่ยมเยียนเท่านั้น แต่ผู้อาวุโสคนนี้ช่าง…กระตือรือร้นอย่างยิ่ง
มีผู้บำเพ็ญไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘พิษ’
หลี่ฉางโซ่วก็มีระดับในการปรุงยาพิษไม่ต่ำเช่นกัน เขาจึงสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน
อย่าไปยอดเขาตันติ่งบ่อยเกินไปเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต
ข้าจะกลับมาที่นี่ครั้งต่อไปในอีกสองปีข้างหน้า
ขณะที่หลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ร่อนเมฆลงที่หน้าหอโอสถบนยอดเขาหยกน้อย
ในเวลานี้เขากำลังนั่งบนเก้าอี้โยกขณะถือม้วนตำราไม้ไผ่ที่ผ่านคาถาเซียนซึ่งทำให้สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้นาน จากนั้นเขาก็เริ่มอ่านและทำการหยั่งรู้
เมื่อหลิงเอ๋อร์สัมผัสได้ว่า ค่ายกลรอบๆ หอโอสถถูกปลดออกแล้ว ทันใดนั้น ใบหน้างดงามของนางก็เต็มไปด้วยความหดหู่ใจ จากนั้นนางก็บินไปอย่างเงียบๆ และรู้สึกลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง…
นางอยากให้ศิษย์พี่ของนางชมเชยทักษะการทำอาหารของนาง แต่ก็กลัวว่าเขาอาจตำหนินางที่ทำให้เขาผิดหวัง
หลี่ฉางโซ่วรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่เห็นนางเอ่ยวาจาใด เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วถามว่า “มีอันใดเกิดขึ้นหรือ”
“ศิษย์พี่” หลานหลิงเอ๋อก้มศีรษะลงแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ไปเข้าร่วมการประชุมปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาแล้วเจ้าค่ะ มันจะมีปัญหาใดหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย
จากนั้นเขาจึงกล่าวตอบว่า “ไม่มีปัญหาใดหรอก ศัตรูของอาจารย์ไม่อาจเป็นปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาได้อีกต่อไป ไม่ต้องห่วง ท่านอาจารย์คงจะนั่งตรงมุมหนึ่งและฟังเท่านั้น ท่านเป็นผู้ที่มีอาวุโสน้อยที่สุดในที่นั้น คงไม่กล้าพูดออกมา และด้วยนิสัยที่สุภาพ ให้เกียรติผู้อื่นของอาจารย์ เวลานี้ท่านอาจารย์ต้องนั่งตอกเสาเข็มอยู่แน่ๆ”
ณ ที่มุมหนึ่งของหอไป่ฝานบนยอดเขาพิชิตสวรรค์ ขณะนี้นักพรตเต๋าชรา ผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงมุมห้องก้มศีรษะต่ำพลางขยับบั้นท้ายเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองนั่งตัวตรงมากขึ้น
ในหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วมองหลิงเอ๋อร์ซึ่งกำลังกังวลใจเล็กน้อย เขาจึงยิ้มและกล่าวว่า “ในครั้งนี้ เจ้าทำได้ดีแล้ว เจ้ารู้ว่าควรห่วงใยท่านอาจารย์ แล้วยังเข้ามาคุยกับข้าอีก เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยละเอียดรอบคอบและใส่ใจมากขนาดนี้มาก่อน เอาละ ข้าจะไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนแล้ว เจ้าเพียงแค่ใส่ใจมุ่งมั่นไปที่การฝึกบำเพ็ญของเจ้านับจากนี้ต่อไป”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เมื่อกี้ท่านชมข้าหรือเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วพลันหัวเราะออกมา “ข้าดุมากจนดุด่าเจ้าได้ทุกวันถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
“ก็สิ่งที่ท่านทำคือดุข้าอยู่ตลอดเวลานี่นา…”
หลิงเอ๋อร์กล่าวพลางทำหน้าบูดบึ้งทว่าอารมณ์ของนางดีขึ้นในทันใด
ก่อนหน้านี้มันดูเหมือนมะเขือม่วงเคลือบน้ำค้างแข็ง แต่บัดนี้มันกลายเป็นเหมือนมะเขือเทศเปล่งปลั่งใสแวววาวหลังพิรุณโปรย
“ศิษย์พี่ เตานี้ดูน่าทึ่งยิ่ง”
“ห้ามยุ่งนะ เดี๋ยวมันจะทำร้ายเจ้า”
“หึ…ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้มีอายุแค่สิบสองหรือสิบสามปีนะเจ้าคะ…ข้าจะยุ่ง! ชิ! อู้ย! เหตุใดถึงมีคาถาสายฟ้าอยู่ด้วย!!”
“ข้าได้เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเปิดเตาหลอมโอสถใบนี้”
หลี่ฉางโซ่วที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูยิ้มอย่างสงบและอ่านต่อไป
และในขณะที่กำลังยืนอยู่ข้างเตาหลอมโอสถ หลิงเอ๋อร์ก็เอียงศีรษะของนางพลางกดนิ้วสีแดงของนาง มองดูอย่างโล่งอก
หลังจากนั้น นางก็เดินไปรอบๆ บ้านครึ่งรอบ และพบคัมภีร์ที่นางอ่านไปครึ่งหนึ่งก่อนหน้านี้ นางจึงลากเบาะนั่งสมาธิออกไปนั่งด้านนอกประตูและอยู่ที่นั่นกับหลี่ฉางโซ่ว
บัดนี้ พวกเขาเป็นเหมือนเทพพิทักษ์ประตู
แสงแดดยามบ่ายอบอุ่น และสายลมในป่าก็พัดนุ่มนวล
เหล่าแมลงกรีดร้องเสียงแหลม และผีเสื้อบินว่อนฟ้อนรำ ในขณะที่บรรดาเซียนล่องลอยไปอยู่ในหมู่เมฆ
หลี่ฉางโซ่วมีจิตอริยะ แต่เขายังคงสงบอยู่ ยอมรับทุกสิ่งที่เขาเข้าใจโดยไม่เผยแผ่พลังผันผวนใดๆ ออกมา
บัดนี้เมื่อขอบเขตพลังของเขาสูงขึ้น ในที่สุดก็เริ่มเข้าสู่สภาวะเฉิงเต๋า
เขากังวลเกี่ยวกับจิตอริยะของเขามากที่สุด ความจริงแล้ว เขาถูกดึงดูดเข้าสู่สภาวะเฉิงเต๋าในระหว่างการต่อสู้แห่งเต๋ากับผู้อื่น…
“ศิษย์พี่เจ้าคะ เวลานี้ ท่านอยู่ในขอบเขตใดแล้วเจ้าคะ”
“คืนกลับอนัตตาขั้นสี่”
“โอ้ วิเศษยิ่ง” หลันหลิงเอ๋อร์ตอบรับก่อนจะก้มศีรษะลงอ่านม้วนตำราต่อไปในขณะที่นึกถึงบางสิ่งอยู่ในใจ
……
ในศาลสวรรค์ ตำหนักเทพเฒ่าจันทราถูกล้อมรอบไปด้วยค่ายกลขนาดใหญ่
ขณะนี้ มีเด็กชายสองคนกำลังถือป้ายไม้สองอันขณะนั่งอยู่หน้าประตูตำหนักที่ปิดสนิท
ป้ายด้านซ้ายอ่านว่า
‘เทพเฒ่าจันทราไม่อยู่’
ป้ายด้านขวาอ่านว่า
‘ขอเต๋าสวรรค์โปรดปกป้องสถานที่แห่งนี้ด้วย’
ทันใดนั้น เด็กน้อยก็พึมพำออกมาว่า “ศิษย์พี่ หากพวกเราไม่บอกความจริงกับท่านอาจารย์ พวกเราจะทำให้เรื่องเลวร้ายลงหรือไม่ขอรับ”
“ชู่ว์ เงียบนะ เจ้าอยากให้อาจารย์ทำให้พวกเรากลับคืนสู่สภาพเดิมใช่หรือไม่” เด็กชายที่โตกว่ากลอกตาแล้วเอ่ยต่อว่า “เดิมที พวกเราเป็นเพียงกิ่งก้านของต้นเซียงสองกิ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเราจะได้รับโอกาสจากท่านอาจารย์ของพวกเราให้เปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องห่วงน่า ท่านอาจารย์จะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน”
“ขอรับ” เด็กน้อยเม้มปากขณะที่รู้สึกอับจนหนทาง
หลังจากนั้น เด็กชายทั้งสองก็เฝ้ารออยู่ที่นั่นวันแล้ววันเล่า ทว่าพวกเขารอมาครึ่งปีแล้ว แต่เฒ่าจันทราก็ไม่เคยกลับมา
เฒ่าจันทราไปที่ใดกัน
อันที่จริง เขาไม่ได้ออกไปไกลจากตำหนักแห่งการครองคู่มากนัก เขาไปที่วังอมตะที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ซึ่งเขาพบเจ้าหน้าที่เซียนคนหนึ่งที่ว่างงานตลอดทั้งปี เขามอบของขวัญให้เจ้าหน้าที่คนนั้นเพื่อเตรียมชดเชยความผิดพลาดของเขา
เทพเฒ่าจันทราเข้าใจดีว่า เขาไม่มีคนสนับสนุนหรือภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าล่วงเกินผู้ใดให้ขุ่นเคืองใจ
แต่ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้รับการแต่งตั้งจากเง็กเซียนฮ่องเต้ให้ดำรงตำแหน่งของเทพเฒ่าจันทรา และมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะไม่ลำเอียงต่อพลังใดๆ หรือฝ่ายใด
โดยปกติแล้ว แม่ทัพสวรรค์และเทพธิดาจะมาขอให้เขาช่วยให้พวกเขาได้ครองคู่กับผู้อื่น ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
หากเทพเฒ่าจันทราอาศัยอำนาจที่เต๋าสวรรค์ประทานให้จัดการกับการครองคู่จริงๆ เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับกรรมร้ายเท่านั้น แต่จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่โตอีกด้วย
ทว่าเต๋าสวรรค์ยังเฝ้าติดตามดูแลตำหนักเทพเฒ่าจันทราอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเทพเฒ่าจันทราเจตนาก่อภัยอันตราย เขาจะได้รับคำเตือนจากเต๋าสวรรค์ในครั้งแรก แล้วจะลงทัณฑ์ในครั้งที่สอง และจากนั้นเขาก็จะถูกทำลายล้างด้วยสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงในครั้งที่สาม…
เวลานี้ ศาลสวรรค์กำลังตกต่ำในขณะที่สำนักเต๋ากำลังทรงอำนาจ
ต่อให้เป็นศิษย์ธรรมดา แต่เทพเฒ่าจันทราก็ไม่ต้องการทำให้เขาขุ่นเคือง
สาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดในรูปปั้นดินเหนียวคือการกระทำหุนหันพลันแล่นของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ทว่าเสวียนตูได้รับการคุ้มครองจากท่านเทพาจารย์และสมบัติเซียนเทียนของท่านเทพาจารย์ก็คือแผนภาพไท่จี๋ซึ่งใช้สังหารเขาได้ เขาได้ยับยั้งตัวเองเพื่อไม่ให้มีกรรมและได้รับผลกระทบจากกรรมใด ๆ และมันก็ยิ่งทำให้ทรงพลังแข็งแกร่งมากขึ้น…
แล้วเขา เทพเฒ่าจันทราผู้ไม่มีความสำคัญใดๆ จะกล้าไปกล่าวโทษปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูได้อย่างไรเล่า
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบเรื่องนี้
เทพเฒ่าจันทราครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานกว่าครึ่งค่อนคืน
ยิ่งเขาลากเรื่องนี้จนล่าช้านานไปเท่าใด เขาก็ยิ่งทำผิดพลาดได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาต้องรีบจัดการมันโดยเร็วที่สุด
หลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เทพเฒ่าจันทราจึงตัดสินใจออกจากตำหนักครองคู่และไปที่ ‘หอเสิ่นเว่ย’
ในเวลานี้ เทพเฒ่าจันทราพร้อมกับผู้รับผิดชอบตำหนักเสิ่นเว่ยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เซียนในชุดเกราะทองคำที่ไม่เป็นที่รู้จัก ต่างกำลังยืนอยู่ตรงหน้าสมบัติแห่งเต๋าสวรรค์ นั่นคือ ‘เครื่องเชิญฝันสวรรค์ซิงหลัว’
และในขณะนั้นเจ้าหน้าที่เซียนก็อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องเชิญฝันสวรรค์ซิงหลัวให้เทพเฒ่าจันทรารับรู้อย่างละเอียด