ตอนที่ 29: พลังที่ไม่อาจควบคุมได้

เสี่ยวเฉิงพลันมองไปยังเศษแก้วบนพื้น อีกทั้ง ยังมีเศษแก้วชิ้นเล็กฝังอยู่ในฝ่ามือของเขาด้วย หลังจากสะบัดเศษแก้วออกไปหมดแล้ว เสี่ยวเฉิงก็พลันย่อตัวลงและหยิบมันขึ้นมาดู

ดูเหมือนมันจะไม่มีปัญหาอะไร แก้วใบนี้ดูจะเป็นแก้วที่มีคุณภาพมาก

แต่ทำไมมันถึงถูกทำให้แตกละเอียดได้ง่ายขนาดนี้เพียงแค่สัมผัสล่ะ?

ไหนจะเรื่องลูกบิดประตูก่อนหน้านี้อีก…

ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเฉิงก็พลันหันกลับไปมองที่ลูกบิดอีกรอบ มันเป็นโลหะผสมอลูมิเนียมสแตนเลส ในทางทฤษฎีแล้ว มันก็ไม่น่าจะพังง่ายขนาดนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน เขาเดินจากห้องออกกำลังกายและเข้าไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมครุ่นคิดอยู่สักพัก ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันเห็นว่าหรานจิงและเซินเหยากลับมาแล้ว หรานจิงเผยท่าทีที่สดใสพร้อมจ้องมองไปยังกองเอกสารตรงหน้าและฮัมเพลงขึ้นมาอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับเซินเหยา เธอกลับเผยสีหน้าราวกับเป็นผู้ป่วยที่เพิ่งจะรอดชีวิตจากอาการหัวใจวายออกมา เธอนอนอยู่บนโซฟาและจ้องมองไปยังเพดานอย่างเดาใจไม่ถูก

เสี่ยวเฉิงพลันคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเฉิงก็เดินไปยังโต๊ะทำงานของหรานจิง เขาวางมือลงบนโต๊ะพร้อมถามขึ้นด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน?”

“จากประสบการณ์ในการสืบสวนคดีอาชญากรรมที่ฉันสั่งสมมานาน ดูเหมือนว่าเธอน่าจะได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนักเลยล่ะ” หรานจิงตอบกลับ

เสี่ยวเฉิงพลันพยักหน้า เขาคิดว่าน่าจะเดินไปให้กำลังใจเซินเหยาสักหน่อย

ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวเฉิงจึงเดินเข้าไปยังโซฟาตรงหน้า

แต่ทว่า ในระหว่างที่เสี่ยวเฉิงยกมือขึ้นจากโต๊ะทำงาน หรานจิงก็พลันรู้สึกตกใจไม่น้อย นั่นเป็นเพราะเธอสังเกตเห็นรอยฝ่ามือที่ค่อนข้างลึกยุบติดไปกับไม้เนื้อแข็งของโต๊ะทำงาน!

หรานจิงพลันอ้าปากค้างทันทีที่มองไปยังแผ่นหลังของเสี่ยวเฉิง เธอกำลังตกตะลึงกับเบื้องหลังของผู้ชายตรงหน้าอยู่…

“ฉันเคยได้ยินมาว่าเวลาพวกผู้หญิงรู้สึกแย่ พวกเธอก็จะมีความสุขอีกครั้งหลังจากที่ได้กินของอร่อย… ฉันว่านี่น่าจะเป็นเรื่องจริงสำหรับสาวสวยอย่างเธอเลยนะ” เสี่ยวเฉิงเดินไปกล่าวกับเซินเหยา

ในตอนแรก เซินเหยาไม่ได้สนใจเสี่ยวเฉิงเลยแม้แต่นิดเดียว เธอกำลังจมปรักอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็หันหลับมาพร้อมกล่าวคำพูด “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?”

“ฉันบอกว่า… ถ้าเธอรู้สึกแย่ ก็ควรจะไปหาของอร่อยกิน เธอจะได้รู้สึกดีขึ้น” เสี่ยวเฉิงพูดซ้ำ

“ไม่ใช่ประโยคนั้น” เซินเหยาพลันส่ายหัว

เสี่ยวเฉิงพลันขมวดคิ้ว “แล้วมันประโยคไหนกัน?”

“เมื่อกี้นายเรียกฉันว่าอะไรนะ?”

“สาวสวยน่ะเหรอ?” เสี่ยวเฉิงสงสัย

“นี่นายนับว่าฉันเป็นสาวสวยด้วยงั้นเหรอ?” เซินเหยาถามขึ้น

เสี่ยวเฉิงพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ!”

“งั้นถ้าเทียบกับหลินจื้อซือล่ะ?”

เสี่ยวเฉิงพลันรู้สึกลังเลอยู่สักพัก “เอ่อ… พวกเธอสองคนก็สวยกันคนละแบบแหละนะ”

ทันใดนั้น เซินเหยาก็พลันพูดขึ้นมาทันที “งั้นทำไมตอนที่ฉันถอดแว่นกันแดดออก พวกแฟนคลับคลั่งรักนั่นถึงไม่สนใจฉันเลยสักนิดล่ะ?! ตอนแรกพวกเขาวิ่งไล่ตามฉันอย่างกับเห็นดาราดังระดับฮอลลีวูด แต่พอฉันถอดแว่นออก คนพวกนั้นกลับหายไปเลย! ให้ตายเถอะ! ถึงฉันจะไม่ใช่หลินจื้อซือ แต่ฉันก็ยังสวยอยู่ไม่ใช่หรือไงกัน? แบบนี้มันไม่หยาบคายไปหน่อยเหรอ?!”

เสี่ยวเฉิงพลันลังเลและกล่าวความเห็นออกมา “เธอยังเก็บเรื่องนั้นมาคิดอยู่อีกเนี่ยนะ?”

“งั้นทำไมพวกเขาต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?” เซินเหยารีบลุกขึ้นยืน “ผู้ชายทุกคนที่เคยเข้ามาจีบฉันส่วนมากก็เป็นพวกคนรวยแล้วก็คนมีอำนาจทั้งนั้น อีกอย่าง พวกเขาไม่เคยแสดงท่าทีหยาบคายแบบนั้นออกมาให้เห็นเลยสักครั้งด้วย! พวกเขามีแต่จะพยายามทำให้ฉันรู้สึกดีและมีความสุข”

ทันใดนั้น หรานจิงก็พลันเผยเสียงหัวเราะออกมาระหว่างนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไม่ช้า เธอก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้กับเสี่ยวเฉิงฟัง “นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น พวกแฟนคลับกว่าร้อยคนวิ่งไล่ตามเซินเหยาไปไกลกว่าสามช่วงตึกเชียวนะ นายน่าจะเคยเห็นฉากพวกนั้นในหนัง แต่พอเธอวิ่งไปเจอทางตัน พวกแฟนคลับก็ดันเธอเข้ามาจนตัวแทบจะติดกำแพง หลังจากที่ทนไม่ไหว เธอก็รีบถอดแว่นกันแดดออกแล้วก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องพร้อมกับหลับตาปี๋ ตอนแรกฉันคิดว่าเซินเหยาคงจะจินตนาการว่าตัวเองจะต้องถูกแฟนคลับพุ่งเข้าใส่หรือข่มขืนแน่ และหลังจากนั้น ดูเหมือนว่าเซินเหยาจะตั้งใจทำตัวอ่อนแอเพื่อให้พวกแฟนคลับสงสารหรือไม่ก็หลงในความงามของเธอ…”

เสี่ยวเฉิงเผยยิ้มออกมา “แล้วเป็นยังไงต่อ?”