บทที่ 137 สั่งสอนจวนจี้กั๋วกง

เมื่อเห็นเอี๋ยนเฉาพยักหน้ารับ เผยยวนจึงดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากโต๊ะ “ลงชื่อและประทับลายนิ้วมือลงไปซะ”

เอี๋ยนเฉาต้องการดูสิ่งที่เขียนไว้บนกระดาษแผ่นนั้น แต่เผยยวนกลับคว้ามือของเขาไว้แล้วกดลงไปทันที เหงื่อบนหน้าผากของเอี๋ยนเฉาหยดลงมา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “ท่านพี่เผยยวน บนนั้นเขียนว่าอย่างไรหรือ?”

เผยยวนเลิกคิ้วขึ้นพลางหัวเราะใส่เขา แต่แววตากลับแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายอย่างไม่ปิดบัง “อ่อ เงินสองแสนตำลึงนี่ถือเป็นเงินขั้นต่ำ และทุกสองเดือนข้าจะมาเก็บดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนเท่านี้อีก”

รอยยิ้มของเอี๋ยนเฉาแข็งค้างอยู่อย่างนั้น “ว่า…ว่าอย่างไรนะ!?”

สองแสนตำลึงถือเป็นเงินขั้นต่ำ แล้วยังต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เขาทุกสองเดือน และไม่ต่ำกว่าสองแสนตำลึงอีก นี่เท่ากับว่าช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาต้องเอาทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลมาให้เผยยวนอย่างนั้นหรือ

“เจ้าเป็นคนประทับลายนิ้วมือด้วยตัวเอง หากทำไม่ได้ก็ไปขอร้องพวกพี่น้องของเจ้าสิ แต่เจ้าเป็นตระกูลแรก เพราะข้าก็จะไปหาพวกเขาเหมือนกัน” เผยยวนคิดไปคิดมา ก็ตบลงที่บ่าของเอี๋ยนเฉา “ตั้งใจหาเงินล่ะ

ขาดไปแม้แต่เหวินเดียว…”

เอี๋ยนเฉาถึงกับตัวสั่นขึ้นมา “ข้ายอมแล้ว…ข้าจะให้”

รอเขามีโอกาสเมื่อใด เขาจะฆ่าเจ้าเผยยวนผู้นี้ทิ้งซะ

“ข้าขอเตือนว่า เจ้าอย่าเล่นตุกติกจะดีกว่า เรื่องชั่ว ๆ ที่เจ้าทำเอาไว้พวกนั้นข้ามีหลักฐานอยู่ในมือ ศาลต้าหลี่*กำลังจับตามองตระกูลเอี๋ยนของพวกเจ้าอยู่นะ”

* ศาลต้าหลี่ (大理寺) หมายถึง ศาลยุติธรรม ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีอาญา

เอี๋ยนเฉาเกลียดชายผู้นี้เข้ากระดูกดำ แต่เขาจะทำอะไรได้นอกจากเฝ้าดูเขาพาคนของตัวเองหายไปในดินแดนที่ไร้ผู้คน!

สองบุปผาแบ่งบาน ต้องพรรณนาความงามทีละดอก* ทางด้านนี้เผยยวนถุงเงินว่างเปล่าจึงต้องไปทวงหนี้เพื่อซื้อภูเขาให้ครอบครัว ส่วนอีกด้านหนึ่งรถม้าของจวนจี้กั๋วกงก็ปรากฏขึ้นบนถนนหลวงอย่างเงียบ ๆ

* สองบุปผาเบ่งบาน ต้องพรรณนาความงามทีละดอก (花开两朵各表一枝) เป็นการเปรียบเปรยหมายความว่า เรื่องราวมีความซับซ้อน ต้องอธิบายไปทีละเรื่อง

จี้หมิงซูคำนวณเวลาเรียบร้อยแล้ว และวางแผนว่าจะทำเป็นบังเอิญไปพบกับไท่ซ่างหวงที่เขาชิงหลิงในวันนี้

ทุกอย่างอยู่ในแผนการของนาง ขอเพียงนางได้รับความโปรดปรานจากไท่ซ่างหวง เช่นนั้นการแต่งงานระหว่างองค์ชายรองกับนางก็จะไม่มีอุปสรรคอีก

ถึงเวลาอาศัยใบบุญของไท่ซ่างหวง นางก็จะสามารถลบคำครหาของคนในเมืองหลวงในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาได้!

เพียงแค่จี้หมิงซูคิดถึงท่าทางของทุกคนในจวนจี้กั๋วกง ที่ถูกคนด่าทอ และไม่สามารถเชิดหน้าได้ ในใจก็รู้สึกเจ็บแค้นอย่างมาก

นางกลับชาติมาเกิดไม่ใช่เพื่อให้คนด่าทอนาง เหยียบหน้านางต่อไปเช่นนี้อีก!

นางจะต้องอยู่เหนือผู้อื่น! เป็นมารดาแห่งแคว้น! เป็นสตรีที่มีเกียรติที่สุดของต้าจิ่น!

จี้หมิงซูคิดถึงตรงนี้ ก็มองไปยังลู่อวิ๋นเซียงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “อวิ๋นเซียง อีกเดี๋ยวหากพบไท่ซ่างหวง ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ”

อย่างไรเสียลู่อวิ๋นเซียงก็มาจากตระกูลหมอเทวดา แค่อาการปวดหัวธรรมดาคงไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ตอนนี้นางตาบอดไปข้างหนึ่ง เมื่อจี้หมิงซูอยากได้ยาจากนาง ดังนั้นจึงต้องขอร้องเช่นนี้

ถึงเวลา รอนางได้แต่งงานกับองค์ชายรองแล้ว ลู่อวิ๋นเซียงก็ต้องให้เกียรตินาง

ถือว่านางเห็นแก่มิตรภาพระหว่างสหาย

ลู่อวิ๋นเซียงนั้นความจริงแล้วไม่ได้อยากตามจี้หมิงซูมา เพราะดวงตาของนางเจ็บปวดอย่างมาก นางจึงอยากจะพักผ่อนให้เต็มที่ ถึงเวลาแค่ใส่ของปลอมเข้าไป ก็สามารถปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนได้เหมือนเดิมแล้ว

อีกอย่างนางยังอยากหาเวลาไปคิดบัญชีกับสาวชาวบ้านคนนั้นอยู่!

จี้หมิงซูตอนนี้ชื่อเสียงเหม็นโฉ่เพียงนี้ เรื่องเละเทะในจวนแพร่สะพัดไปทั่ว ยังจะลากนางไปพบไท่ซ่างหวงอะไรนั่นอีก

ไท่ซ่างหวงใช่คนที่อยากพบก็พบได้อย่างนั้นหรือ?

ลู่อวิ๋นเซียงจึงคิดเสียว่าตัวเองมาพักผ่อน อย่างไรเสียตอนนี้ถังหมิงผู้นั้นก็ยังประจบเอาใจนางอยู่ จึงยังพอหาประโยชน์จากเขาได้บ้าง และถือเป็นการเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ให้ตัวเอง

ตอนที่มาถึงเขาชิงหลิง เกือบจะถึงยามซื่อ*แล้ว คนที่มาขึ้นเขาเพื่อกราบพระจึงมีอยู่ไม่น้อย

* ยามซื่อ (巳时) เวลา 09.00 – 11.00 น.

จี้หมิงซูสวมชุดกระโปรงสีขาวราวกับแสงจันทร์ ยิ่งขับให้ร่างของนางดูโดดเด่นกว่าคนทั่วไป กลายเป็นทิวทัศน์ที่พิเศษท่ามกลางภูเขาที่เขียวขจีและน้ำทะเลสีคราม

คนที่ขึ้นเขามาจำนวนไม่น้อยต่างก็มองไปที่นาง

จี้หมิงซูอยากรู้อยากเห็นจึงเงยหน้าขึ้น ราวกับเด็กสาวที่ไร้เดียงสา แล้วเดินขึ้นบันไดไป

แต่เป้าหมายของนางนั้นชัดเจนมาก นั่นก็คือได้พบกับไท่ซ่างหวง นางยังได้นำเอาส่วนผสมที่พ่อครัวแม่ครัวเตรียมไว้แล้วมาด้วย

บริเวณใจกลางเชิงเขา ไท่ซ่างหวงกำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น จ้อง ‘ไก่ย่าง’ ตรงหน้าอยู่ ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติเหมือนกัน ทำออกมาได้หน้าตาเหมือนกัน แต่รสชาติกลับต่างกันราวฟ้ากับเหวจริง ๆ! นี่มันอะไรกัน

จางตงไหลเช็ดเหงื่อที่หน้าผากออก

คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าอาจารย์ของจางหยวนเฉียวที่อายุยังน้อยจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ นับตั้งแต่นายท่านกินยาเม็ดเล็ก ๆ ที่นางให้มา อาการปวดหัวก็บรรเทาลงมาก นอนหลับก็สนิทขึ้น เช้าตื่นขึ้นมายังสามารถออกกำลังกายได้อีกด้วย

เมื่ออาการป่วยดีขึ้น ดังนั้นปากเขาจึงว่างมาก เมื่อวานก็คิดแต่จะกินของอร่อย

แต่พ่อครัวหลวงที่อยู่ในห้องครัว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ทำออกมาไม่ได้รสชาตินั้น

นี่เป็นไก่ย่างที่ล้มเหลวตัวที่ห้าของวันนี้แล้ว

ขณะที่ไท่ซ่างหวงลุกขึ้น เตรียมที่จะไปคิดบัญชีกับพ่อครัวหลวง ทันใดนั้นก็มีเด็กสาวคนหนึ่งกระโดดออกมาจากชายป่า พลางดึงเขาเอาไว้พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นมา “ท่านผู้เฒ่า ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ วางใจเถอะเจ้าค่ะ มีข้าอยู่ด้วยไม่ต้องเป็นห่วง”

ไท่ซ่างหวงหนวดกระตุกและถลึงตาใส่นางทันที “เจ้าต่างหากที่เป็นอะไร ประสาทหรือ เช้า ๆ แบบนี้เป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!?”

จางตงไหลได้ยินก็โมโหเช่นกัน เด็กบ้าที่ไหนกัน ไม่มีมารยาทเลยสักนิด!

ร่างกายของไท่ซ่างหวงเพิ่งจะดีขึ้นได้สองวัน ก็ต้องเจอกับเรื่องซวย ๆ เช่นนี้แล้ว!

โดยเฉพาะคนที่อายุมากแล้ว มักจะเกลียดคำเหล่านี้ที่สุด ไท่ซ่างหวงเดิมก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว จึงสะบัดมือของจี้หมิงซูออกทันที “เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”

เสียสติไปแล้วหรือ คนเขารอกินไก่ย่างอยู่นะ

จี้หมิงซูได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าไท่ซ่างหวงกำลังแสร้งทำเป็นแข็งแรง นางจึงไม่ย่อท้อ

“ท่านผู้เฒ่า ข้าเป็นห่วงท่านนะเจ้าคะ อย่าปฏิเสธการรักษาเลย ข้าเห็นท่านร่างกายอ่อนแอ เมื่อครู่ก็เกือบจะเป็นลมล้มไป ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายของท่านจะทนไม่ไหวเอานะเจ้าคะ” จี้หมิงซูมองไท่ซ่างหวงด้วยสีหน้าจริงจัง

แต่เพราะท่าทางจริงจังเช่นนี้ ทำให้ไท่ซ่างหวงตกใจขึ้นมา

ฮึ นางเด็กบ้าขี้โกหก อย่าให้ข้ารู้ว่าเป็นลูกหลานบ้านไหนเชียว!

ไท่ซ่างหวงใกล้จะโมโหเต็มที และในตอนนั้นเองสาวใช้ข้างกายของจี้หมิงซูก็เอ่ยขึ้นมา “ท่านผู้เฒ่า รถม้าจวนจี้กั๋วกงของเรารออยู่ด้านล่าง หากท่านรู้สึกไม่สบาย ไม่สู้ตามพวกเราไปดีหรือไม่เจ้าคะ?”

จวนจี้กั๋วกง?

ไท่ซ่างหวงหรี่ตาลง จวนจี้กั๋วกงอะไรกัน ครอบครัวเช่นนี้ก็เป็นกั๋วกงได้อย่างนั้นหรือ ไม่รู้ว่าเป็นกั๋วกงมาตั้งแต่สมัยใด อาศัยตำแหน่งของบรรพบุรุษสืบทอดมาจนถึงตอนนี้ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!

ไม่แน่อาจเป็นเพราะรู้ว่าเขามาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ เลยจงใจมาพบกระมัง!

เมื่อคิดได้ดังนั้น ไท่ซ่างหวงก็ยิ่งเกลียดจี้หมิงซูที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่ยังเสแสร้งทำเป็นคนใสซื่อและจิตใจดีมากขึ้นไปอีก เขาอยากจะเตะนางลงเขาไปจริง ๆ

“เด็ก ๆ หิ้วตัวเจ้าคนจากจวนจี้กั๋วกงอะไรนี่ลงไปซะ ห้ามให้นางเข้ามาใกล้เขาชิงหลิงอีก!”

ไท่ซ่างหวงสะบัดแขนเสื้อพลางออกคำสั่ง จี้หมิงซูไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?

หรือว่าไท่ซ่างหวงไม่ได้รอให้นางมาช่วยหรอกหรือ? ชาติที่แล้วไท่ซ่างหวงตายอยู่ที่นี่นี่นา เวลาสำคัญเช่นนี้ไท่ซ่างหวงจะไล่นางไปได้อย่างไรกัน

จี้หมิงซูรีบแก้ไขสถานการณ์ทันที “ท่านผู้เฒ่า ข้าเห็นว่าไก่ย่างของท่านยังไม่สุก ให้ข้าช่วยท่านย่างดีหรือไม่เจ้าคะ”

ไท่ซ่างหวงมองไปที่ไก่มังสวิรัติที่ตนเองย่างจนไม่เหลือชิ้นดี และมองไปยังจี้หมิงซูด้วยสีหน้ารังเกียจ “ได้สิ เจ้าไปย่างสิ ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะย่างออกมาเป็นเช่นไร”

จี้หมิงซูไม่ได้สังเกตเห็นความดูถูกดูแคลนในน้ำเสียงของไท่ซ่างหวง นางหยิบเครื่องปรุงออกมา รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มความอร่อยให้เนื้อได้

แต่จี้หมิงซูกลับคิดไม่ถึงว่านี่จะไม่ใช่ไก่จริง ๆ เครื่องปรุงที่นางใส่ลงไปเหล่านั้น จึงทำให้รสสัมผัสของไก่แข็งขึ้นก็เท่านั้น

แล้วก็จริงตามนั้น เมื่อจางตงไหลให้ยอดฝีมือคนหนึ่งชิม

ยอดฝีมือดึงน่องไก่ออกมาน่องหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะหันหน้าไปและอาเจียนออกมา ท่ามกลางสายตาคาดหวังของจี้หมิงซู

ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นคนใบ้ที่ได้รับการฝึกฝนจากในวัง พวกเขาไม่รู้หนังสือและพูดไม่ได้ นอกจากฆ่าคนและปกป้องคนแล้ว ก็ทำอะไรไม่เป็นทั้งสิ้น

ดังนั้นอาหารอย่างหนึ่งอร่อยหรือไม่นั้น เขาไม่มีทางเสแสร้งได้เด็ดขาด

สีหน้าของจี้หมิงซูซีดเผือดลงทันที

เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?

ไท่ซ่างหวงไม่ได้สลบ และไม่กินเครื่องปรุงที่นางเตรียมมา นางควรทำเช่นไรดี?

“มัวอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่เอาตัวนางคนที่มีเจตนาแอบแฝงผู้นี้ลงไปอีก” ไท่ซ่างหวงหมดความอดทนแล้ว

จางตงไหลหรี่ตาลง มองดูจี้หมิงซูถูกคนลากลงเขาไป ก่อนจะเอ่ยสั่งการด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว “ไป บอกกับทางเมืองหลวงว่าให้ไปสั่งสอนจวนจี้กั๋วกงเสียหน่อย บอกพวกเขาอย่าได้ลืมว่าตัวเองเป็นใคร วาสนาบางอย่างแตะต้องไม่ได้ก็คือแตะต้องไม่ได้!”

สั่งการจบจางตงไหลก็ตามไท่ซ่างหวงไปทันที “ท่านว่าในเมื่อทำอย่างไรก็ไม่เหมือน ไม่สู้พวกเราทำตามที่เด็กคนนั้นบอก ไปเที่ยวหมู่บ้านตระกูลเฉิน จากนั้นก็หาอะไรกินสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ?”

ไท่ซ่างหวงชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง “เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ข้าไม่ได้อยากไป ยังไม่รีบไปเตรียมรถม้าอีก!”