ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!

การฆ่าล้างสกุลโอวหยางเพียงทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ลืมมันไปจากหัว

อย่างไรก็ตามเรื่องที่เขาทราบเป็นเรื่องต่อมากลับทำให้เขาขุ่นขึ้งใจไม่น้อย

‘ตัวบัดซบหวงเฉินนั่นมันหนีไปแล้วจริงๆ…’

สุดท้ายเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่อยากให้เกิด ก็ยังเกิด…

หวงเฉิง อาวุโสฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงผู้ที่ต้องการฆ่าเขา…มันได้เลือกที่จะออกจากนิกายไปแล้ว หลังจากฆ่าเขาไม่สำเร็จ…!

‘มันกลัวว่าพอข้ากลับมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสง แล้วข้าจะไปขอให้ศิษย์พี่ป๋ายฆ่ามันสินะ’

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยาก

ถึงแม้หวงเฉิงจะเป็นอาวุโสฝ่ายนอก แต่หากป๋ายลี่หงอยากให้มันตายมันก็ต้องตาย และสำนักก็ไม่มีใครคิดเอาความเรื่องนี้จากป๋ายลี่หงแน่นอน

ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ…

และหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสง ทั้งสำนักก็ปั่นป่วนอีกครั้ง หรืออย่างน้อยๆเขาก็ยากจะอยู่อย่างสงบๆได้…

นั่นเพราะนอกจากข่าวที่สกุลโอวหยางถูกฆ่าล้างตระกูลแล้ว เรื่องที่เขาทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วก็มาถึงสำนักจันทร์จรัสแสงแล้วเช่นกัน ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าแตกตื่นกันทั้งสำนัก

“สวรรค์ช่วย! ท่านย่าทวดมาเข้าฝันข้าสักครั้งแล้วบอกข้าทีเถอะว่านี่มันความฝัน!”

ศิษย์ฝ่ายในหลายคนหน้าเสียกันไม่น้อย

และศิษย์ฝ่ายในที่หน้าเสียนี้ ทั้งหมดคือคนที่ตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในวันที่เขาทุบตีกรรโชกทรัพย์เฮ่อจง!

พวกมันทั้งหมดมั่นใจหนักหนาว่าในวันที่ต้วนหลิงเทียนทุบตีเฮ่อจงนั้น เขายังพึ่งอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น

ทว่านี่เวลามันพึ่งผ่านไปเท่าไหร่กัน ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงทะลวงไปยังขอบเขตสู่เซียนแล้ว?

“เป็นโอสถเซียนทิพย์หรือสมุนไพรในตำนานอันใดกันแน่ ที่อาวุโสป๋ายลี่มอบให้ต้วนหลิงเทียนกิน?”

“เหอๆ…ข้าเกิดมามิเคยได้ยินโอสถเซียนทิพย์หรือสมุนไพรบัดซบอันใด ที่ทำให้ผู้คนทะลวงผ่านจากหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบมายังสู่เซียนได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้”

“ต้วนหลิงเทียนใช่ผู้คนแน่หรือ…หรือที่แท้แล้วเป็นเทพเซียนอมตะกลับชาติมาเกิดกัน?”

“อย่าได้กล่าวเหลวไหลเพ้อเจ้อกันให้มากนัก…ข้าว่าคงไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์โดยบังเอิญอันใดมานั่นล่ะ”

……

ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม แต่เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วก็เป็นความจริง!

เพราะในตอนที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยพลังฝึกปรือว่าบรรลุขอบเขตเซียนแล้ว นอกจากคนของสำนักจันทร์จรัสแสงไม่กี่คนวันนั้น เขายังกระทำมันต่อหน้าคนของขุมพลังทั้ง 8 เช่นกัน จึงยากที่จะเป็นข่าวลวงได้

เรียกว่าทั้งสำนักจันทร์จรัสแสงถึงกับเดือดพล่านเพราะข่าวนี้!

หากสำนักจันทร์จรัสแสงก่อนที่ต้วนหลิงเทียนมาอยู่เป็นน้ำนิ่งล่ะก็ ตอนนี้เสมือนทะเลที่มีมรสุมกระหน่ำ!

“ศิษย์น้อง…เจ้าทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วจริง?”

ป๋ายลี่หงที่พึ่งได้รับทราบเรื่องราวก็ตกใจไม่น้อย

ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือมากมายแพร่กันด้านนอก ว่าพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนก้าวหน้าไวว่องเพราะป๋ายลี่หง แต่ตัวป๋ายลี่หงรู้ดี ว่ามันไม่ได้ส่งเสริมหรือสนับสนุนใดๆต้วนหลิงเทียนในด้านการบ่มเพาะพลังทั้งสิ้น!

มันยังไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้น!

“ทะลวงแล้ว”

หันไปหาป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มตอบพร้อมพยักหน้ารับ

ครู่ต่อมาป๋ายลี่หงก็ฉีกยิ้มขื่นขมแววตาซับซ้อน “ตอนแรกข้าคิดว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดในเต๋าแห่งการจารึกของศิษย์น้องยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่ผู้ใดจะไปรู้พรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ของเจ้ายังน่ากลัวขนาดนี้…ไม่สิ! ไม่ใช่น่ากลัวธรรมดา…ยังน่ากลัวท้าทายสวรรค์นัก!!”

ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนกลับยกระดับจากหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบจนมาถึงขอบเขตสู่เซียน ความก้าวหน้านี้รวดเร็วท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว!

มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่รู้ว่าไฉนเขาถึงก้าวหน้าครั้งใหญ่ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน

ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะศักยภาพของเขานับว่าไม่เลว แต่ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

การไหลของเวลาที่เชื่องช้าในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ รวมถึงพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศอันหนาแน่นสุดที่ใครจะจินตนาการได้ ย่อมทำให้พลังฝึกปรือของเขาไล่ตามผู้อื่นทัน กระทั่งก้าวข้ามไปได้…

“ศิษย์น้อง เจ้าทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วแบบนี้…เช่นนั้นเจ้าก็จารึกอาคมเซียน 2 ดาวได้แล้วสิ?”

ป๋ายลี่หงกล่าวถาม

“อ่า”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า พอกลับมาถึงสำนักเขาเองก็ลองจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวดู หลังพลาดไป 2-3 ครั้งเขาก็สามารถจารึกมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“แล้วสามารถใช้เคล็ดจารึกพิสดารจารึกได้หรือไม่?”

ลูกตาป๋ายลี่หงส่องสว่างขึ้นมาเจิดจ้า เร่งกล่าวถามด้วยความร้อนใจ

“หลังจากที่ข้ากลับมา ข้าก็มีจำลองการจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวด้วยเคล็ดวิชาจารึกพิสดารในหัวอยู่บ้าง แต่ข้ายังไม่เคยฝึกหรือทดลองจารึกจริงๆจังๆเลย”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

“เช่นนั้นข้ามีโชคพอจะดูเจ้าทดลองจริงหรือไม่?”

ป๋ายลี่หงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“เอาสิ ไม่มีปัญหา”

ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยทันที หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทดลองใช้เคล็ดจารึกพิสดารจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวต่อหน้าป๋ายลี่หง

ด้วยเคล็ดวิชาจารึกพิสดาร ทำให้วัตถุดิบที่เขาต้องใช้ลดลงกว่าเดิมกว่า 2 เท่า

หลังจากที่ทดลองอยู่ไม่กี่ครั้ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็สามารถใช้เคล็ดจารึกพิสดาร จารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ

วัตถุดิบที่ต้องใช้ในการจารึกก็น้อยลงกว่าครึ่ง หากเทียบกับการจารึกแบบปกติ

“ศิษย์น้องต้วน กล่าวถึงวิถีจารึกแล้ว เจ้ามันสุดยอดอัจฉริยะชัดๆ!”

เห็นต้วนหลิงเทียนลองผิดลองถูกไม่กี่ครั้งก็สามารถใช้เคล้ดวิชาจารึกพิสดารจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้อย่างไร้ตำหนิ ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งชมออกมาด้วยความตื่นเต้น

“ข้ายังคิดโน้มน้าวเจ้าให้แบ่งเวลาไปกับการจารึกอาคมเซียนให้มากกว่าเดิมเสียหน่อย…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจักมิจำเป็นอันใด มิว่าจะในเชิงยุทธ์หรือการจารึก พรสวรรค์ของเจ้าก็เหนือกว่าผู้คนทั่วไปมากนัก”

“ผู้อื่นย่อมยากที่จะหาจุดลงตัวระหว่างการแบ่งเวลามาฝึกฝนการจารึกอาคมเซียนกับฝึกวรยุทธ์บ่มเพาะพลัง แต่นั่นมิใช่กับเจ้า”

ในวาจาของป๋ายลี่หงนั้น เห็นได้ชัดว่าศรัทธาในตัวต้วนหลิงเทียนถึงขั้นหน้ามืดตามัวแล้ว

“ศิษย์พี่ข้าว่าจะไปลงทะเบียนเข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายใน…ว่าแต่การทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในมันจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่หรือ?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

“ศิษย์น้องต้วน ด้วยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้…เรื่องการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในยังจำเป็นอีกหรือ? ข้าใช้ให้คนไปเอาป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในมาให้เจ้าเอง”

ป๋ายลี่หงกล่าว

ต้วนหลิงเทียนนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก็เห็นว่าจริงตามนั้น

ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็เกรงว่าจะไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย

ดังนั้นเขาก็ไม่คิดปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ของป๋ายลี่หง

“ศิษย์น้อง เจ้าคงยังมิได้ลืมสัญญาว่าจักย้ายมาอยู่กับข้าหลังเจ้ากลายเป็นศิษย์ฝ่ายในหรอกนะ?”

ป๋ายลี่หงหยีตากล่าวถาม

“ข้าจะลืมได้ยังไงศิษย์พี่หง”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากศิษย์พี่ไม่รังเกียจ งั้นตั้งแต่วันนี้ข้าจะมาอยู่บ้านท่านเลยแล้วกัน”

“ฮ่าๆๆ…ดี! มาเถอะ ข้าให้คนไปทำความสะอาดรอเจ้าเข้ามาอยู่ตลอด เจ้าจะมาอยู่ตอนไหนก็ได้”

หลังจากได้รับคำยืนยันจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ป๋ายลี่หงก็หัวเราะร่าออกมา มันมีความสุขไม่น้อย

ได้ยินคำนี้ของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนก็ตื้นตันใจไม่น้อย

“จริงสิ ไปเมืองหานเหอคราวนี้ เจ้าเจอปัญหาอะไรหรือไม่?”

ป๋ายลี่หงกล่าวถาม

มันไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้นกับต้วนหลิงเทียนระหว่างที่ไปเมืองหานเหอเลย กระทั่งเรื่องราวในเมืองหานเหอมันก็ไม่รู้เพราะมันไม่เคยถามใคร

อันที่จริงก่อนต้วนหลิงเทียนไป มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้วนหลิงเทียนออกเดินทางไปแล้ว

อย่างไรก็ตามมันไม่คิดตำหนิต้วนหลิงเทียนเรื่องนี้ เพราะมันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยากรบกวนมันหรือทำให้มันเป็นห่วง

ต้วนหลิงเทียนได้ยอมรับป๋ายลี่หงเป็น ‘พี่ชาย’ มานานแล้ว ถึงแม้ช่องว่างระหว่างวัยจะมีไม่น้อยก็ตาม

ดังนั้นเขาไม่คิดซ่อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางกับป๋ายลี่หง และเลือกที่จะกล่าวบอกออกไปเกือบทุกอย่าง

แน่นอนว่าเรื่องราวส่วนที่อันตรายเขาก็ตัดออกไป

เพราะไม่งั้นเกรงว่าคงทำให้ป๋ายลี่หงตกใจไปกันใหญ่

“อาวุโสฝ่ายนอกหวงเฉิงงั้นเหรอ ตัวบัดซบที่ละโมบนัก! กล้าดีอย่างไรถึงคิดฆ่าชิงทรัพย์เจ้า…สมควรตาย! ศิษย์น้องเจ้าอย่าได้กังวล ข้าจะใช้เส้นสายและความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีลากคอหวงเฉิงนั่นกลับมาให้เจ้าให้จงได้! ถึงตอนนั้นเจ้าจะแล่จะสับมันอย่างไรก็ตามใจเจ้า!!”

ป๋ายลี่หงนับว่าโมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ

หากตอนแรกกล่าวว่ามันรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้องเพราะคิดว่าอีกฝ่ายสามารถสืบทอดเคล็ดจารึกพิสดารได้ล่ะก็

มาตอนนี้มันเห็นอีกฝ่ายเป็นศิษย์น้องจริงๆแล้ว!

ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายสามารถฝึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารได้สำเร็จ กระทั่งอุปนิสัยใจคอยังเข้ากับมันได้ดี

ยามมันอยู่กับต้วนหลิงเทียน มันรู้สึกได้ถึงคำมิตรภาพของสหายต่างวัย

พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเกือบตายด้วยน้ำมือหวงเฉิง ป๋ายลี่หงย่อมโกรธแค้นเป็นฟืนไฟ

“ศิษย์พี่อย่าได้โมโหไปเลย ข้าไม่ได้กังวลเรื่องหวงเฉิงสักนิด”

ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ กล่าวออกด้วยความมั่นใจ

เขามั่นใจอย่างที่พูดจริงๆ

ถึงตอนนี้พลังฝีมือของเขาอาจจะยังไม่สามารถฆ่าหวงเฉิงได้ง่ายๆ แต่ขอเพียงมีเวลาอีกนิดเขาต้องฆ่ามันได้ง่ายๆแน่!

สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นอะไรที่ชั้น 2 ไม่อาจเทียบได้!

“ส่วนเจ้าคนชุดคลุมลมดำนั่น สมควรเป็นคนของตลาดมืดหยินชาน!”

ไม่นานป๋ายลี่หงก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โชคดีนักที่เจ้าได้พบกับผู้มีพระคุณ ไม่งั้นเรื่องราวคงจบลงเลวร้ายแล้ว”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่าถึงนักฆ่าในชุดคลุมลมดำออกไปเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเขาตัดเรื่องตราผนึกมารออกไป แต่เพิ่มยอดฝีมือลึกลับมากคุณธรรมที่บังเอิญผ่านมาเข้าไปแทน

“ใช่ ข้านับว่าโชคดีจริงๆที่ได้พบผู้มีพระคุณ…น่าเสียดายที่ข้าถามนามกับความเป็นมาของท่านเพื่อเอาไว้ตอบแทนบุญคุณในภายหลังแล้วแท้ๆ แต่ท่านกลับจากไปโดยไม่บอกอะไรข้าเลย”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจ ท่าทางยังสมจริงนัก

ป๋ายลี่หงย่อมไม่สงสัยเคลือบแคลงวาจาของต้วนหลิงเทียน “ผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเจ้า สมควรเป็นยอดฝีมือรักสันโดษ ที่มาอาศัยอยู่ในเขต 9 พันธมิตร…พลังฝีมือระดับนั้น น่ากลัวว่าจะเทียบได้กับผู้นำสำนักจันทร์จรัสแสง”

“ฟังจากที่เจ้าเล่า นักฆ่าในชุดคลุมลมดำของตลาดมืดหยินชานผู้นั้นสมควรบรรลุหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่แล้ว แต่การที่ผู้มีพระคุณเจ้าอาศัยฝ่ามือเดียวก็ฆ่ามันได้ง่ายๆ เห็นชัดว่ามิใช่ยอดฝีมือในขอบเขตเซียนธรรมดาๆ”

ป๋ายลี่หงกล่าวจบ แววตาก็เผยความสำนึกตื้นตันและขอบคุณ ‘ผู้มีพระคุณ’ ลึกลับคนนั้นไม่น้อย

ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่งของสำนักจันทร์จรัสแสง พอได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงสำนักอย่างปลอดภัย ทั้งทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว หลิวฮ่วนถึงกับโมโหเป็นฟืนไฟ ยังทำลายข้าวของอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง! พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน!

“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! มันไฉนยังอยู่ดี! ข้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว!!”

หลิวฮ่วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าเผยความตื่นตระหนก ยากยอมรับความจริง