หลานเสี่ยวถางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย และเมื่อเห็นผู้ปกครองโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างๆเธออย่างหลานเล่อซิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะไม่ชินกับมันยังไงมารยาทที่เหมาะสมนั้นก็ควรต้องมี ดังนั้นเธอจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และยิ้มให้โจวเหวินซิ่ว: “สวัสดีค่ะคุณแม่ ”
การเรียกสรรพนามเช่นนี้ มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ราวกับว่าทำให้ลิ้นของเธอนั้นพันกันจนพูดติดอ่าง
โจวเหวินซิ่วพยักหน้า แต่พูดด้วยความสับสนเล็กน้อย :“มูเฉิน ลูกแต่งงานแล้วเหรอ?ไหนแม่ได้ยินหลานเล่อซินบอกแม่ว่าได้หมั้นหม้ายกับลูกตั้งแต่แรกแล้วไง? ผู้หญิงคนนี้ก็มีนามสกุลแซ่หลานเหมือนกัน และแม่คิดว่าเธอก็รู้จักเล่อซิน ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเธอ ……”
สือมูเฉินรีบอธิบายทันทีว่า: “เสี่ยวหลานเป็นน้องสาวของเล่อซินครับ ดังนั้นเธอจึงนามสกุลแซ่หลานเหมือนกันครับ”
“โอ้” โจวเหวินซิ่วพยักหน้า: “ก่อนหน้าหน้าเพราะแม่จากไปเร็ว ดังนั้นเคยเจอแต่เล่อซิน แต่ยังไม่เคยเจอเสี่ยวถางเลย”
หลานเสี่ยวถางเข้าใจว่าคุณแม่ของสือมูเฉินรู้จักหลานเล่อซินเท่านั้น เพราะเมื่อสมัยที่เธอทิ้งสือมูเฉินไปนั้น หลานเสี่ยวถางยังเป็นเด็กและอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และเธอไม่รู้เลยว่าในอนาคตนั้นจะมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของตระกูลหลานและตระกูลสือ
ดูเหมือนว่าโชคชะตามักจะตาลปัตรเสมอ และหลายสิ่งหลายอย่างในความมืดผูกมัดคนสองคนที่ดูเหมือนจะอยู่ในโลกที่แตกต่างกันอย่างแน่นหนา และไม่อาจแยกจากกันไปได้
“ในเวลานั้นเสี่ยวถางยังไม่ได้อาศัยอยู่บ้านตระกูลหลาน” สือมูเฉินอธิบายกับคุณแม่ของเขาว่า: “เสี่ยวถางนั้นคุณย่าหลานเป็นคนรับมาเลี้ยงดูในภายหลัง ซึ่งอายุน้อยกว่าผมห้าปีครับ”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็จับไหล่ของโจวเหวินซิ่วและพูดว่า: “คุณแม่ครับเราขึ้นบ้านก่อนแล้วผมจะค่อยๆเล่าให้คุณแม่ฟังนะครับ ตอนนี้รถของผมยังจอดอยู่ที่ประตู และเมื่อกี้ผมลืมดับเครื่องด้วยครับ”
“โอเค” โจวเหวินซิ่วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงดึงมือของหลานเล่อซินพร้อมพูดขึ้นว่า :“มูเฉิน เล่อซินกลับมาแล้ว ทำไมลูกถึงไม่กล่าวคำทักทายกับเธอบ้างล่ะ?”
เวลานี้สือมูเฉินเพิ่งจะมองไปที่หลานเล่อซินด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ: “คุณหลานครับ สวัสดีครับ”
เมื่อหลานเล่อซินได้ยินเขาเรียกด้วยคำสรรพนามเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะงุนงงอยู่ชั่วขณะ แล้วยิ้มพร้อมตอบกลับว่า :“มูเฉิน สวัสดีค่ะ”
เมื่อโจวเหวินซิ่วได้ยินคำกล่าวทักทายที่สุภาพและรู้สึกห่างเหินของมูเฉิน เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอก็ยังพูดต่อไปว่า:“มูเฉิน ถ้าเช่นนั้นลูกไปจอดรถก่อนเถอะ พวกเรามีเพียงเสี่ยวถางพาขึ้นตึกก็พอแล้วล่ะ”
สือมูเฉินเหลือบมองไปที่หลานเสี่ยวถาง จากนั้นหยุดพูดพร้อมกับพยักหน้า และเดินเข้าไปในรถ
ระหว่างทางที่เดินเข้าบ้านนั้นโจวเหวินซิ่วถาม :“เสี่ยวถาง เธอแต่งงานกับมูเฉินมานานแค่ไหนแล้ว?”
หลานเสี่ยวถางกล่าวว่า:“เราแต่งงานกันมาสี่เดือนแล้วค่ะ และเราได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วค่ะ แต่แค่ยังไม่ได้จัดงานแต่งงาน”
โจวเหวินซิ่วพยักหน้าและพูดว่า :“เธอและมูเฉินน่าจะรู้จักกันมานานแล้วใช่ไหม?”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินคำถามของเธอ เธอกังวลว่าโจวเหวินซิ่วจะคิดว่าตัวเองนั้นได้ขโมยคู่หมั้นของพี่สาว* และรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า: “อันที่จริงแล้วเราเคยเจอกันแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นค่ะ และเราแทบไม่เคยได้พูดอะไรกันเลยค่ะ จะบอกว่ารู้จักน่าจะเป็นช่วงระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ค่ะ ”
“พูดอีกอย่างก็คือ หลังจากที่พวกเธอรู้จักกันได้ไม่นานก็แต่งงานกันแล้ว?” โจวเหวินซิ่วถามอีกครั้ง
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า
ในขณะนี้ ทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าลิฟต์แล้ว หลานเสี่ยวถางกดลิฟต์และขึ้นไปจากชั้น B2 และประจวบเหมาะสือมูเฉินก็อยู่ด้านในแล้ว
เขายิ้มให้ทั้งสามคน: “กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องอะไรครับ?”
“ไม่มีอะไร แม่แค่ถามเสี่ยวถางไม่กี่คำถามเอง” โจวเหวินซิ่วกล่าวว่า:“อย่ากังวลไปเลยแม่ไม่ได้รังแกภรรยาของลูกหรอก ดูทำน่าตาสิตื่นเต้นจนดูไม่ได้เลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลานเล่อซินก็อดไม่ได้ที่จะมองตามไป และเธอก็เห็นว่าใบหน้าของสือมูเฉินนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูราวกับว่าเขายอมรับคำพูดของโจวเหวินซิ่วเมื่อสักครู่นี้จริงๆ
ริมฝีปากของเธองอเล็กน้อย และใบหน้าของเธอก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมามากนัก
ทั้งสามคนเดินมาถึงชั้นบนด้วยกัน หลานเสี่ยวถางหยิบรองเท้าแตะที่ยังไม่ได้เปิดใช้งานสองคู่ออกมาจากด้านใน คู่หนึ่งยื่นให้กับโจวเหวินซิ่ว และอีกคู่หนึ่งยื่นให้กับหลานเล่อซิน หลังจากเข้าไปในห้องแล้วเธอก็ถามว่า:“คุณแม่คะ พี่คะ พวกคุณต้องการดื่มอะไรหน่อยไหมคะ?”
โจวเหวินซิ่วกล่าวว่า :“น้ำอุ่นก็พอจ๊ะ”
หลานเล่อซินก็พูดตามเช่นกัน
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า รินน้ำอุ่นสองแก้ว จากนั้นเดินไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับสือมูเฉินและพูดคุยกับพวกเธอ
หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง หลานเล่อซินก็ลุกขึ้นและพูดว่า:“เสี่ยวถาง เราทั้งสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานแล้ว ไปนั่งข้างในกันเถอะ พี่คิดว่ามูเฉินต้องมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับคุณป้าตามลำพัง”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าทักทายโจวเหวินซิ่วอีกครั้ง จากนั้นเดินไปที่ห้องแต่งตัวพร้อมกับหลานเล่อซิน
ในห้องรับแขก สือมู่เฉินถามว่า :“คุณแม่ครับ หลายปีที่ผ่านมานี้คุณแม่ไปอยู่ที่ไหนมาครับ? ผมออกตามหาคุณมาเป็นเวลานานแต่ไม่มีข่าวคราวจากคุณแม่เลย เวลานั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”
โจวเหวินซิ่วกล่าวว่า:“ในตอนนั้นแม่หนีออกจากบ้าน มันเป็นเพียงแค่อารมณ์โกรธชั่ววูบ และไม่เคยคิดอยากหนีไปไกล ใครไปจะรู้ว่าระหว่างที่หนีออกไปแม่ก็ประสบอุบัติเหตุ”
สือมูเฉินท่าทางตกใจมาก: “คุณแม่ครับ เวลานั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
“บางทีตอนนั้นแม่แต่งตัวดีเกินไปดังนั้นจึงถูกลักพาตัว ส่งผลให้รถของพวกเขาประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำตกเหว ตอนนั้นแม่ได้รับการช่วยเหลือ แต่ความทรงจำกลับหายไป จากนั้นเพื่อความอยู่รอดแม่จึงจำเป็นต้องไปทำงานต่างประเทศกับครอบครัวนั้น จนกระทั่งผ่านมาอีกหลายปี เป็นเพราะแม่ป่วยจึงได้เจอเล่อซินที่โรงพยาบาล ต่อมาพอเรามีการติดต่อกันมากขึ้น และเราเหมือนมีความผูกพันต่อกันมานาน” โจวเหวินซิ่วกล่าว :“เธอค่อยๆเล่าเรื่องราวที่อยู่หนิงเฉิงให้แม่ฟัง จากนั้นความทรงจำของแม่ก็ค่อยๆฟื้นคืนกลับมา และในที่สุดแม่ก็จำเรื่องราวในอดีตได้”
เมื่อสือมูเฉินได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขารู้สึกเสียใจและโทษตัวเอง: “คุณแม่ครับ เวลานั้นเป็นเพราะผมไม่รู้จักโต ตอนนั้นผมเห็นคุณแม่และคุณน้ายืนอยู่ข้างนอกฉินซิงด้วยกัน ผมจึงเข้าใจผิด กลับไปถึงบ้านยังพูดเรื่องไร้สาระ ผมเป็นต้นเหตุทำให้คุณแม่หนีออกจากบ้าน เพราะเรื่องนี้คุณพ่อก็รู้สึกผิดกับเหตุการณ์นั้นมาโดยตลอด และไม่ถึงสองปีท่านก็จากเราไป ……”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาเอามือจับผมของตัวเอง และเขาแสดงออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียใจและเจ็บปวดอย่างมาก
“มูเฉิน ลูกอย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ เวลานั้นลูกยังเด็กอยู่” โจวเหวินซิ่วพูดพลางตบหลังมูเฉิน: “เป็นเพราะเวลานั้นแม่ใจร้อนและเย่อหยิ่งมากเกินไป และแม่ไม่ได้อธิบายให้คุณพ่อของลูกเข้าใจ จึงส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆตามมาเช่นนี้ และโชคดีมากที่ได้พบกับเล่อซิน เมื่อตอนที่แม่อยู่ต่างประเทศนั้นเธอดูแลแม่อย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ แม่ก็จำไม่ได้ว่าตัวเองนั้นเป็นใคร และเราก็ไม่สามารถกลับมาพบกันได้อีกครั้งแบบนี้!”
สือมูเฉินพยักหน้า: “คุณแม่ครับ ผมขอโทษที่ทำให้คุณแม่ต้องลำบากขนาดนี้! ในเมื่อคุณแม่กลับมาแล้ว ต่อไปนี้บ้านของผมก็บ้านของคุณแม่ครับ คุณแม่ไม่ต้องไปไหนอีกแล้วนะครับ!”
โจวเหวินซิ่วพยักหน้า เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตก็รู้สึกคิดถึงและน้ำตาคลอเบ้า
สองแม่ลูกแยกจากกันมายี่สิบปีแล้ว และมีเรื่องราวมากมายอยากจะพูด พวกเขาสนทนากันไปจนถึงดึกดื่น
สือมูเฉินเห็นว่าสีหน้าของคุณแม่นั้นดูเหนื่อยล้ามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงขึ้นพูดว่า :“คุณแม่ครับ ผมจะเตรียมน้ำให้คุณแม่อาบน้ำนะครับ คืนนี้คุณแม่นอนพักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้เราจะคุยกันใหม่นะครับ”
“ดี” โจวเหวินซิ่วมองลูกชายของตัวเองด้วยความพึงพอใจ
จากนั้นสือมูเฉินจึงเดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อเตรียมน้ำ เมื่อเขาออกมา เขาก็เห็นหลานเสี่ยวถางและหลานเล่อซินยังคงพูดคุยกันอยู่ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และค่อย ๆ ปลดประตูและเปิดเบา ๆ
หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา: “มูเฉิน”
สือมูเฉินกล่าวว่า :“เสี่ยวถางช่วยไปทำความสะอาดห้องพักคุณแม่หน่อยนะ ต่อไปนี้คุณแม่จะอาศัยอยู่กับเรานะ ”
“รับทราบค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าพร้อมลุกยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องพักสำหรับรับแขกทันที
ในขณะนี้สือมูเฉินยังยืนอยู่ที่ประตู และในห้องนั้นเหลือเพียงแต่หลานเล่อซินเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ในห้อง
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า:“คุณหลานครับ คุณกับคุณแม่ของผมเพิ่งมาถึงวันนี้ คุณจองโรงแรมแล้วหรือยังครับ?”
เมื่อหลานเล่อซินได้ยินเช่นนั้นเธอก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที และเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว: “มูเฉิน ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันไปพักที่โรงแรมก็ได้ค่ะ”
ในขณะที่พูดอยู่นั้นหลานเล่อซินจึงเดินไปที่ห้องรับแขกและพูดกับโจวเหวินซิ่วว่า: “คุณป้าคะ นี่เวลาก็ดึกพอสมควรแล้ว เดี๋ยวหนูไปพักที่โรงแรมนะคะ คุณป้าพูดคุยเพื่อหวนคิดถึงอดีตกับมูเฉินให้มีความสุขนะคะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะมาเยี่ยมคุณป้าใหม่นะคะ”
เมื่อโจวเหวินซิ่วได้ยินเช่นนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว: “เล่อซิน นี่มันก็ดึกขนาดนี้แล้วลูกจะไปไหน?เราเพิ่งมาถึงวันนี้และไม่มีเวลาจองโรงแรมเลย ดึกมากขนาดนี้เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวออกไปข้างนอกมันไม่ปลอดภัยเลยนะ!”
ในขณะที่เธอพูดอยู่นั้น เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่มูเฉิน:“มูเฉิน ลูกยังมีห้องว่างเหลืออยู่อีกไหม ถ้าหากไม่มี คืนนี้แม่จะนอนกับเล่อซิน !”
“คุณป้าคะ หนิงเฉิงใหญ่มากขนาดนี้ น่าจะมีห้องพักในโรงแรมเหลืออยู่ค่ะ ส่วนฝั่งมูเฉิน หนูจะไม่สร้างปัญหาให้อีกแล้วล่ะค่ะ” ในขณะที่หลานเล่อซินพูดอยู่นั้นก็ได้หยิบกระเป๋าแล้วกำลังจะออกไป
สือมูเฉินไม่ได้เคลื่อนไหว แต่โจวเหวินซิ่วคว้าตัวเธอไว้และพูดกับสือมูเฉินด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย: “มูเฉิน เมื่อตอนที่แม่อาศัยอยู่ต่างประเทศนั้น เล่อซินปฏิบัติต่อแม่เป็นอย่างดี ในเวลานี้เมื่อกลับประเทศ แค่ห้องว่างห้องเดียวลูกก็เตรียมให้ไม่ได้เลยเหรอ?”
สือมูเฉินรู้สึกหมดหนทางและอธิบายว่า: “คุณแม่ครับ ผมไม่มีห้องว่างเหลือจริงๆ ครับ แต่ถ้าคุณแม่ไม่รังเกียจ คืนนี้ก็ให้คุณหลานนอนด้วยกันกับคุณแม่ได้เลยนะครับ !”
“นี่ลูกยังเรียกคุณหลานอยู่อีกเหรอ!” โจวเหวินซิ่วกล่าวว่า: “ในเมื่อลูกแต่งงานกับเสี่ยวถางแล้ว เล่อซินเป็นพี่สาวของเธอ ก็ไม่ควรเรียกดูห่างเหินขนาดนี้แล้ว ลูกอายุมากกว่าเล่อซินสามปี เรียกพี่คงจะไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นให้เรียกเหมือนเมื่อก่อน เรียกว่า เล่อซินดีกว่านะลูก”
“โอเคครับ เข้าใจแล้วครับ” น้ำเสียงของสือมูเฉินเรียบเฉย และฟังไม่ออกว่าน้ำเสียงนั้นดูมีความสุขหรือความทุกข์
และเมื่อหลานเสี่ยวถางเพิ่งทำความสะอาดห้องเสร็จออกมา เธอก็ได้ยินประโยคสนทนาเหล่านี้
เธอรู้สึกไม่มีสบายใจเล็กน้อย แต่เธอก็เข้าใจว่าคุณแม่กับหลานเล่อซินตอนที่อยู่ต่างประเทศนั้นได้รู้จักกันมาสี่ปีแล้ว ตอนนี้เมื่อพวกเธอกลับมาที่ประเทศจีน เป็นไปได้ว่าโจวเหวินซิ่วอาจคิดว่าสือมูเฉินกำลังจะแต่งงานกับหลานเล่อซิน แต่กลับมีเธอหลานเสี่ยวถางโผล่ขึ้นมา ดังนั้นเป็นธรรมชาติที่เธอจะรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนัก
อย่างไรก็ตาม เธอตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับสือมูเฉินแล้ว ไม่ว่าคนรอบข้างจะรู้สึกอย่างไร ตราบใดที่สือมูเฉินไม่ทอดทิ้งเธอ เธอก็จะไม่มีวันปล่อยมือเด็ดขาด!
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอกสงบลง หลานเสี่ยวถางก็เดินไปที่ห้องรับแขกพร้อมกับชุดนอนชุดใหม่แล้วยื่นให้โจวเหวินซิ่ว: “คุณแม่คะ ห้องจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ น้ำสำหรับอาบน้ำของคุณแม่ก็เตรียมพร้อมแล้วค่ะ”
“ตกลง ขอบคุณ” โจวเหวินซิ่วตอบกลับอย่างสุภาพแล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำทันที
“พี่คะ ที่บ้านไม่มีชุดนอนตัวใหม่อีกแล้ว คืนนี้ใช้ของหนูชั่วคราวไปก่อนได้ไหมคะ?” หลานเสี่ยวถางถาม
หลานเล่อซินพยักหน้า: “เสี่ยวถาง ต้องรบกวนแล้วนะ ก่อนหน้านี้เราก็ไม่กล้ามั่นใจ ดังนั้นจึงรอให้คุณป้าได้เจอกับมูเฉินแล้ว ค่อยให้บริษัทขนย้ายสัมภาระจากต่างประเทศขนกลับมา ดังนั้นวันนี้เราจึงพกมาแค่เอกสารสำคัญเท่านั้น สิ่งของอย่างอื่นไม่ได้นำติดตัวกลับมาด้วย ต้องรบกวนพวกคุณเกรงใจจริงๆเลย”
“พี่คะ พี่ไม่จำเป็นต้องเกรงใจมากขนาดนี้หรอกนะคะ สมัยก่อนตอนที่อาศัยอยู่บ้านตระกูลหลานนั้น พี่ก็ดูแลหนูเป็นอย่างดี แม้ว่าเราจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่หนูก็คิดว่าพี่เป็นพี่สาวแท้ๆของหนูมาโดยตลอดค่ะ ” ในขณะที่หลานเสี่ยวถางพูดอยู่นั้น และพาหลานเล่อซินเดินไปที่ห้องนอน และเลือกชุดนอนให้กับเธอหนึ่งชุด: “พี่คะ พี่ใส่ชุดนี้ไปชั่วคราวก่อนนะคะ หนูพึ่งซักเมื่อวันก่อนนี่เองค่ะ”
“โอเค ขอบคุณมากนะเสี่ยวถาง!” หลานเล่อซินกล่าวว่า: “พรุ่งนี้พี่ต้องการไปดูบ้านเก่าสักหน่อย เสี่ยวถาง เธอจะไปด้วยกันกับพี่ได้ไหม?”
“ได้อย่างแน่นอนค่ะ” หลานเสี่ยวถางกล่าวว่า: “เพียงแต่ว่าบ้านหลังเก่าถูกธนาคารอายัดไว้แล้ว ตอนนี้ เราไม่สามารถเข้าไปได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร แค่มองดูจากข้างนอกก็เพียงพอแล้ว” หลานเล่อซินยิ้มเบา ๆ