บทที่ 111 สุขบ้างทุกข์บ้าง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 111 สุขบ้างทุกข์บ้าง
บทที่ 111 สุขบ้างทุกข์บ้าง

ไม่มีอะไรทำให้เธอสุขใจมากไปกว่ามีฐานะร่ำรวยอีกแล้วล่ะ

แต่ชาติก่อนซูเสี่ยวเถียนเป็นคนธรรมดา เรื่องหาเงินล้วนเป็นเรื่องไกลตัว

ทักษะในการหาเงินไม่ใช่สิ่งที่จะมีได้ในเวลาอันสั้น

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ สภาพแวดล้อมที่อยู่ในตอนนี้รวมถึงสภาพของเธอไม่เหมาะจะหาเงินเลย

พูดได้ว่าเรื่องฐานะร่ำรวยอะไรนั่น จังหวะเวลาและโอกาสไม่มีเลยสักนิด หนทางข้างหน้าจะยากแน่

นึกขึ้นได้ว่าชาติก่อน ฉืออี้หย่วนเป็นหัวหน้าใหญ่ เธอรู้สึกว่าอาจได้ปรึกษาเรื่องนี้กับอีกฝ่าย

พอคิดอีกทีเจ้าตัวเป็นแค่เด็กวัยรุ่นเอง

ถึงจะเก่งแต่ยังเด็กเกินไป!

ซูเสี่ยวเถียนคิดเยอะขนาดนี้ สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ตัดสินใจยากอยู่ดี เรื่องแบบนี้ต้องคิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ขณะที่เธอกำลังพินิจพิเคราะห์ ทุกครัวเรือนเริ่มนึ่งหมั่นโถว ส่วนในชุมชนฆ่าหมูสำหรับปีใหม่

ปีนี้ชุมชนหงซินเลี้ยงหมูได้ไม่น้อยเลย หลังจากที่จัดการฆ่าหมูสำหรับปีใหม่จะส่งให้กับกลุ่ม ส่วนเนื้อที่เหลือจะแบ่งเป็นรายคน คนในชุมชนจะได้เนื้อคนละสองจินกับอีกสี่เหลี่ยง

ตัวเลขมากกว่าปีที่แล้วเสียอีก เหล่าสมาชิกต่างจับฉลากกันอย่างมีความสุขแล้วต่อแถวรอแบ่งเนื้อ

โชคของซูเสี่ยวเถียนดี ตระกูลผู้เฒ่าซูจึงเป็นบ้านหลังแรกที่ได้เลือกเนื้อ

สมาชิกในบ้านมีสิบแปดคน รวมกันแล้วได้เนื้อสี่สิบกว่าจิน มันเยอะมากจริง ๆ

คุณย่าซูเลือกมันหมูมาสิบจิน เนื้อส่วนที่เลือกเป็นหมูสามชั้น

อันที่จริงซูเสี่ยวเถียนอยากได้ซี่โครงไม่ก็เครื่องใน แต่ถ้าไม่เลือกส่วนดี ๆ แล้วเลือกแต่ของพวกนี้ เกรงว่าจะโดนดุเอา

ตอนที่คุณย่าซูพาลูกหลานกลับบ้านพร้อมกับเนื้อ คนในชุมชนอิจฉากันจะตายอยู่แล้ว

เนื้อสี่สิบกว่าจิน ซึ่งเยอะที่สุดในชุมชนเลย

“บ้านคุณป้ายังดีเหมือนเดิมเลย เนื้อเยอะขนาดนี้ต้องได้กินเยอะแน่!” หลี่จู้จื่อกล่าวอย่างอิจฉา

บ้านซูเป็นครอบครัวที่ได้เนื้อเยอะที่สุดในชุมชน แต่ตัวเขาที่เป็นสมากชิกเพียงคนเดียวของบ้านจึงเป็นคนที่ได้เนื้อน้อยที่สุด

แล้ววันนี้มือก็ไม่ขึ้นอีกแล้ว จับฉลากรอบก่อนต้องรอจนถึงสุดท้ายจึงจะได้เลือกเนื้อ กว่าจะถึงตอนนั้นคาดว่าเนื้อดี ๆ คงไม่มีอีกแล้ว!

คุณย่าซูก็ชอบหลี่จู้จื่อเช่นกัน ก่อนหน้านี้ดูไม่ออกเลยว่าเด็กคนนี้จะเป็นคนดีถึงเพียงนี้

“ตอนปีใหม่ก็มากินที่บ้านฉันสิ รอแต่งงานปีหน้าเดี๋ยวไม่มีโอกาสได้มากินช่วงปีใหม่แล้วนะ” คุณย่าซูพูดอย่างร่าเริง

โรคเรื้อนบนศีรษะของหลี่จู้จื่อรักษาหายขาดแล้ว เขากำลังคบหาดูใจกับผู้หญิงคนหนึ่ง และวางแผนจะเลือกวันแต่งงานในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

“ได้ครับ ถึงตอนนั้นผมจะมากินข้าวที่บ้านป้านะ” หลี่จู้จื่อกล่าวอย่างสุภาพ

ตอนที่พูดบังเอิญเหลือบไปเห็นซูเถาฮวาที่ห่อตัวเองแน่น

คนอื่นไม่รู้ แต่คุณย่าซูรู้เรื่องที่ซูเถาฮวาแท้ง จึงพูดด้วยสองประโยค

“ขอบคุณมากเลยค่ะคุณป้า” หลังจากซูเถาฮวากล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มก็เดินไปหยิบเนื้อ

ครอบครัวของเธอมีสมาชิกเพียงห้าคน ได้เนื้อสิบกว่าจิน

ซูเถาฮวาถือเนื้อชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่ด้วยความพอใจ ในที่สุดใบหน้าก็มีรอยยิ้มปรากฏ

ที่บ้านมีสมาชิกน้อย แค่นี้ก็พอกินแล้ว!

“แม่ครับ ผมอยากกินหมูก้อน!” เสี่ยวกังวิ่งไปมาอยู่ข้างหน้าด้วยใบหน้าปรีดา

“ได้สิ เดี๋ยวแม่ทำให้กินนะ ตอนปีใหม่จะห่อเกี๊ยวให้ด้วย” ซูเถาฮวาพูดอย่างเริงร่าเมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของลูกชาย

ทว่าซูเถาฮวาไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่พูดสัญญากับลูกชายกลับไม่สามารถทำได้

หลังจากแบ่งเนื้อ ก็ใกล้ถึงวันส่งท้ายปีเก่า

ในวันนี้ สมาชิกทุกคนกำลังเตรียมตัวสำหรับปีใหม่

ซูเถาฮวารวบรวมสติได้ประมาณหนึ่งแล้ว ก่อนพยายามใช้แรงใจเตรียมห่อเกี๊ยว

นักบัญชีหลี่นอนอยู่บนเตียงเตา ท่าทางหยิ่งผยอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องช่วยเลย เขาเอาแต่พูดประชดประชันกันด้วยซ้ำ

ความคิดที่แสดงออกมาให้เห็นทั้งภายในและนอกคือ ซูเถาฮวาเป็นหญิงแก่ไม่มีความน่าสนใจ

เพราะเป็นปีใหม่ เธอจึงไม่คิดทะเลาะด้วย เอาความคับแค้นแปรเปลี่ยนเป็นความเข้มแข็งใต้ฝ่ามือ

เธอกลั้นหายใจ แล้วลงแรงนวดแป้งหนัก ๆ

ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงคังอี้เยี่ยจากนอกประตูใหญ่

“นักบัญชีหลี่ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณค่ะ สะดวกมาหรือเปล่าคะ?” น้ำเสียงอ่อนเรี่ยวอ่อนแรงเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างคนคนนั้นไปเสียแล้ว

พอได้ยินเสียงเทพธิดา นักบัญชีหลี่ไม่นอนอีกต่อไปแล้วกลิ้งตัวตลบขึ้นมา ท่าทางตื่นเต้นเต็มประดา

เขาวิ่งไปด้วยใส่รองเท้าไปด้วย เปิดม่านได้ก็พุ่งออกไปเลย

ซูเถาฮวามองสามีอยากจะวิ่งเท้าเปล่าออกไป โมโหจนเกือบร้องไห้ออกมา

“แม่…” เสี่ยวกังลูกชายคนเล็กของซูเถาฮวาเอ่ยกระซิบ

“เสี่ยวกัง แม่ไม่เป็นไร” ผู้เป็นแม่มองลูกชายแล้วปลอบโยนเสียงเบา

“แม่ครับ พ่อเขา…” เสี่ยวกังเป็นเด็กอายุสิบกว่าปี รู้ความเยอะแล้ว

ในตอนนี้ คนในชุมชนเอาแต่บอกว่าพ่อทำรองเท้าขาด ส่วนคังอี้เยี่ยเป็นคนสกปรก

เสี่ยวกังรู้ความแล้วจึงไม่กล้าออกไปข้างนอก กลัวว่าคนที่นี่จะมองเขาแตกต่างไปจากเดิม

เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาพวกนั้นเลยไปอยู่บ้านน้าเล็กกับพี่ชายพี่สาวอยู่ช่วงหนึ่ง

ไม่คิดว่าหลังจากที่พวกเรากลับมาก็พบว่า พ่อกลับทำตามอำเภอใจขึ้นไปอีก

ต่อหน้าแม่แท้ ๆ กลับเดินตามผู้หญิงคนนั้นไป

“เสี่ยวกัง แม่ไม่มีความสามารถเอง มาเถอะ พวกเรามาห่อเกี๊ยวกินเกี๊ยวกัน!” ซูเถาฮวาพูดด้วยรอยยิ้ม

นักบัญชีหลี่ถูกนังปีศาจนั่นเรียกไปแล้วจะไม่กลับมาอีกแน่นอน แค่กลัวว่าถ้าพรุ่งนี้จะไม่กลับมาอีก ถ้าเป็นแบบนั้นต่อให้ทำเป็นไม่มีผู้ชายคนนี้ก็ไม่เป็นไร

แต่เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวกังไม่ได้คิดเช่นนั้น

เด็กชายหน้าแดงจัด ไม่พูดอะไรสักคำ

พี่คนโตสองคนไม่อยู่บ้านมาสักพักแล้ว เลยไม่มีใครช่วยซูเถาฮวาพูดปลอบลูกชายคนเล็ก

“เสี่ยวกังต่อให้มีพ่อหรือไม่มี ชีวิตเราในตอนนี้ก็ต้องดำเนินต่อไป ปีนี้และปีต่อ ๆ ไปด้วย” ซูเถาฮวากล่าว

“แต่พ่อชอบเอาอาหารบ้านเราไป” เสี่ยวกังพูดอย่างโกรธเคือง

อาหารครึ่งหนึ่งของบ้านโดนเอาไป แล้วพวกเราจะกินอะไรกันล่ะ?

สีหน้าของซูเถาฮวายิ่งแย่ลงไปอีก

ชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์บัดนี้กลับพังทลายลง

เธอเก็บแป้งสาลีสำหรับปีใหม่ด้วยความยากลำบาก แต่เมื่อวานก็ถูกเอาไปแล้ว เธอแย่งกลับมาได้นิดหน่อยจึงพอทำเกี๊ยวกินเย็นนี้พอดี

ทว่าเนื้อส่วนใหญ่ก็ถูกขโมยเอาไปให้คังอี้เยี่ยหมดแล้ว ซึ่งสิ่งที่เธอเคยให้คำมั่นสัญญากับลูกชายมันไม่มีอีกแล้ว และเกี๊ยวในคืนนี้ก็มีแต่ผักผสมกับน้ำมันนิดหน่อยเท่านั้น

ตอนที่สองแม่ลูกมองหน้ากัน ลูกชายคนโตอย่างเสี่ยวเหลียงกับลูกสาวอย่างเสี่ยวเหมยก็กลับบ้านมา