ตอนที่ 151 ยืนกราน (3)

มั่วเชียนเสวี่ยกระโดดลงมาจากหน้าต่าง สู้บอกว่าตกลงมาจากด้านบนยังจะดีเสียกว่า สะโพกของนางปวดร้าวมาก มือก็ถลอกเนื่องจากใช้ดันกับพื้นเพื่อชละความเร็วในการร่วงหล่น

อย่างไรก็ตาม เจ็บไปหมดทั้งตัว ร้าวไปหมดทั้งร่าง

เพียงแต่ความเจ็บปวดนี้มาได้เวลาพอดี ความเจ็บปวดนี้ดูเหมือนจะทำให้มั่วเชียนเสวี่ยมีสติขึ้นมาอีกครั้ง นางลุกขึ้น ทว่ากลับล้มลง

โชคร้าย ดูเหมือนข้อเท้าของนางจะแพลงอีกครา

ตั้งสติเล็กน้อย เสียงรอบตัวดังขึ้นมาในหู ในห้องที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่คล้ายจะมีเสียงโวยวาย มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิดในใจ หรือว่าคนจับชู้มาแล้ว

ยังไม่ทันได้ฟังเสียงจับชู้อะไรนั่นให้ถี่ถ้วน เสียงจัดโต๊ะและเก้าอี้ก็ดังมาจากในห้อง พร้อมกับถ้อยคำหยาบคายจากคุณชายรองเจี่ยน

ต้องรีบไปจากที่นี่ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของนางทันที มั่วเชียนเสวี่ยรีบคลานออกไปจากที่วุ่นวายแห่งนี้ เพียงแต่ เวลานี้ เรี่ยวแรงทั้งหมดที่นางมีถูกใช้ไปหมดแล้ว และศีรษะของนาง ก็เริ่มวิงเวียน ตัวของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ เพลิงไฟชั่วร้ายในร่างกายปะทุขึ้นมา

ทำให้ทั้งตัวของนาง ชาไปหมด

ท่ามกลางความสะลึมสะลือ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสิ้นหวัง!

ใช้เรี่ยวแรงสุดท้าย กัดฟันแน่น นางหยิบปิ่นปักผมในมือ แทงต้นขาของตนเอง

ซูชีที่ตอนแรกควรจะออกไปแล้ว หวนคิดเสียงกรีดร้องนั่น คุ้นหูยิ่งนัก เสียงนั้นคล้ายกับเสียงที่เขาได้ยินในฝัน

ซูชีหันหลัง เดินไปยังต้นเสียง

สตรีคนนั้นสวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อยนางกำลังก้มหน้าลง คล้ายอยากจะคลานออกไปจากที่ตรงนี้ แตกต่างจากหญิงงามในความคิดของเขาหลายลี้ น่าขัน เขาอยากจะกลับมาหาเพราะเสียงนี้เนี่ยนะ

เพียงเพื่อ มองคนที่เปล่งเสียงคล้ายกับเสียงของนางครู่หนึ่ง

ผมของสตรีคนนั้นสยายลงมา หายใจหืดหอบ สภาพของนางน่าเวทนายิ่งนัก ใส่ถุงเท้าเพียงข้างหนึ่ง ไม่แม้แต่จะสวมรองเท้า เงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างที่อยู่ทางด้านบนของนาง ฟังเสียงด้านใน ซูชีจะมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก

ที่แท้ สตรีคนนั้นกระโดดลงมาจากหน้าต่าง เพราะไม่อยากถูกทำร้าย

เรือนหลังของตระกูลเจี่ยนช่างโสมมเสียจริง เขาอยู่ทางนั้นถูกผู้อื่นคิดร้าย สตรีคนนี้กลับถูกคนคิดร้ายที่นี่

เพียงแต่ เรือนหลังที่โสมมนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ขณะที่ซูชีกำลังจะหันหลังกลับไป เห็นสตรีหยิบปิ่นในมือ แทงต้นขาของตนเอง มือที่ถือปิ่น ทั้งเหี้ยมโหดและมั่นคง ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย การตัดสินใจแน่วแน่ ความเหี้ยมโหดนี้ ทำให้เขารู้สึกนับถือจากใจ ช่างเถอะ พบเจอคือวาสนา ช่วยเล็กน้อยก็ไม่เป็นเช่นไร ซูชีเคลื่อนตัวเข้าไปหานาง

ขณะที่ปิ่นกำลังจะปักลงไปบนต้นขา มือใหญ่จับมือที่กำปิ่นของมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้

มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น ซูชีก้มหน้าลง ดวงตาทั้งคู่ประสานกัน

“เป็นเจ้าได้อย่างไร!”

“เป็นท่านได้อย่างไร!”

ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน

อาการของมั่วเชียนเสวี่ยย่ำแย่มากแล้ว

ดวงหน้าดุจไข่มุกสวยดั่งหยก งดงามยิ่งกว่าดอกกุหลาบแดงที่บานสะพรั่ง คำว่า ‘เป็นท่านได้อย่างไร’ เป็นคำถามเชิงยืนยัน ทว่าเสียงกลับอ่อนโยนดั่งนกกระจิบ

ซูชีดูอาการของมั่วเชียนเสวี่ยเพียงปราดหนึ่งก็รู้ว่านางถูกคนวางยาอย่างเห็นได้ชัด

อีกทั้ง ความร้อนของนางที่แผ่ซ่านออกมาจากมือ ร้อนผิดปกติ เห็นชัดว่าปริมาณยาต้องมากพอควร ฤทธิ์ยาเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ยาปลุกกำหนัดชั้นต่ำที่เขาดื่มเมื่อครู่อย่างแน่นอน

ตกตะลึง! ปวดใจ! โมโห! บ้าคลั่ง…ความรู้สึกทั้งหมดปะทุออกมา!

ดวงตาแหลมคมที่หรี่ลงฉายแรงสังหารออกมาดั่งฝนธนู ปากบางที่เม้มแน่นคมกริบยิ่งกว่ามีดดาบ

เวลานี้คุณชายรองเจี่ยนปีนออกมาจากหน้าต่างแล้ว สตรีผู้นั้นอย่าคิดฝันว่าจะหนีไปจากเขาได้

ซูชีถอดผ้าคลุมแล้วห่มตัวมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความทะนุถนอม ได้ยินเสียงด้านบนดังขึ้น ตบฝ่ามือออกไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น

ฝ่ามือวาโยเคลื่อนไป คุณชายรองเจี่ยนล้มลงจากหน้าต่างเข้าไปในห้อง ตกลงมาจากเก้าอี้และกลิ้งไปยังบนตก จากนั้นล้มลงบนพื้น พลังของฝ่ามือนั้นทำให้เก้าอี้พังยับเยิน โต๊ะพังยับเยิน คุณชายรองเจี่ยนล้มลงบนพื้น กระอักเลือดสีแดงสดออกมาทันที จากนั้นหมดสติไป

ได้ยินเสียงดังโครม ซูชีเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่าง กำลังลังเลว่า จะกระโดดเข้าไปเพิ่มอีกฝ่ามือ ให้คนไร้ยางอายสิ้นใจไปเลยดีหรือไม่

เสียงติดติดขัดขัดของมั่วเชียนเสวี่ยดังขึ้น “พาข้า…ไปจาก…ที่นี่”

มั่วเชียนเสวี่ยมองซูชีด้วยความอ้อนวอน สติเริ่มเลือนรางแล้ว แต่นางรู้ดีว่าตอนนี้ซูชีคือความหวังเดียวของนาง เห็นซูชีหยุดนิ่งไม่ขยับ มั่วเชียนเสวี่ยร้อนใจเล็กน้อย เดิมทีอยากจะจับแขนเสื้อของซูชี ทว่าตาของนางพร่ามัวแล้ว จึงจับโดนมือของซูชี

ความร้อนแผ่ซ่านขึ้นมาจากฝ่ามือ ซูชีก้มหน้าลงด้วยความอ่อนโยน

หากเป็นยามปกติ ซูชีไม่มีวันปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน ต้องทำให้เขาตายทั้งเป็น เพียงแต่…อาการของมั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้เห็นชัดว่าไม่อาจอยู่ที่นี่นาน

ซูชีช้อนตัวมั่วเชียนเสวี่ยขึ้น แล้วทะยานตัวออกจากจวนเจี่ยนด้วยความร้อนใจ เพียงครู่หนึ่ง เขาก็นั่งอยู่บนรถม้าของตนแล้ว

เขากำลังลำบากใจ หากพามั่วเชียนเสวี่ยกลับหมู่บ้านหวังจยาเช่นนี้ ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม เกรงว่ายังไม่ถึงหมู่บ้านหวังจยา เพลิงไฟชั่วร้ายในกายมั่วเชียนเสวี่ยคงจะแผดเผาจนเลือดออกทวารทั้งเจ็ด

แต่…หากพานางกลับไปยังเรือนพักผ่อนตระกูลซูในเมืองเทียนเซียง ถูกสาวใช้ที่จงรักภักดีต่อท่านย่าอวี๋เห็นเข้า ว่าเขาพาหญิงแปลกหน้ากลับไป ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ไม่แน่ยังไม่ทันได้กลับเมืองหลวง ก็มีคนมาสืบเรื่องของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว

อีกทั้ง สตรีที่มีสามีเช่นนางหากกลับไปเช่นนี้ ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งสองที่ล้วนไม่ควรไปเป็นอย่างมาก

เช่นนั้น…พานางไปไป๋อวิ๋นจวีก็แล้วกัน

ซูชีย่อมไม่รู้ว่าตอนนี้หนิงเซ่าชิงไม่อยู่หมู่บ้านหวังจยา แต่อยู่ทิงเฟิงเฉวียนซึ่งห่างจากไป๋อวิ๋นจวีไม่มาก

“กลับไป๋อวิ๋นจวี”

ก่อนหน้านี้มั่วเชียนเสวี่ยร้อนเกินไป นางเปิดสาบเสื้อขึ้นจนเป็นเส้นยาว เปิดลงไปจนสุด อาภรณ์แลดูซอมซ่อไม่อาจปิดบังเรือนร่างให้มิด แม้สิ่งที่ควรบดบังบนเรือนร่างยังล้วนบดบังเอาไว้ แต่ว่า บางครั้งการบดบังบ้างเปิดเผยบ้างกลับยั่วยวนคนยิ่งกว่าการเปิดเผยให้เห็นจนหมด

ผ้าไหมสีน้ำเงินที่ยาวถึงเอวตกลงมาดั่งผ้าต้วน สยายอยู่ในรถม้า คลุมบนตัวซูชี มีอีกผืนหนึ่งเพราะเมื่อครู่เหินลอยอยู่แล้วมีลมพัดผ่าน เวลานี้ข้องอยู่บนศีรษะของซูชี ทำให้มีความรู้สึกแปลกพลุ่งพล่านออกมาจากหัวใจของซูชี

ชั่วขณะหนึ่ง ซูชีอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง กลืนน้ำลายสองครั้งอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำใจไม่ได้ที่จะเอามือที่ถูกมั่วเชียนเสวี่ยจับเอาไว้ออก เขาไม่กล้าเคลื่อนไหว และยิ่งไม่อยากเคลื่อนไหว ทำได้เพียงหันไปอีกทางไม่มองนางอีก

มั่วเชียนเสวี่ยสะลึมสะลือ รู้สึกเพียงฝ่ามือ มีความหนาวเย็นแผ่ซ่านขึ้นมา ช่างสบายยิ่งนัก

เวลาเดียวกันที่ความเย็นนั้นทำให้นางรู้สึกสบาย ก็ทำให้นางรู้สึกปรารถนามากยิ่งขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยลืมตา พบว่าตนซบอยู่ในอ้อมกอดของซูชี!