“ลูกสะใภ้?” สือมูเฉินขมวดคิ้ว
“ตอนเที่ยงคุณหนูหลานคนนั้นนะเหรอ พวกเราเห็นกันหมดแล้วล่ะ และรูปพื้นหลังในเวยป๋อนั้น น่าจะเป็นคุณหญิงสือแน่?” เพื่อนร่วมงานคนนั้นกล่าวว่า :“ได้ยินมาว่ามื้อเที่ยงทานอาหารอย่างกับราชา เมนูอาหารกับข้าวสี่อย่าง และน้ำซุปอีกหนึ่ง แล้วยังมีผลไม้จานเล็กๆ หลังอาหารอีกด้วยนะ ……”
“คุณไปได้ยินมาจากที่ไหนว่าผมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเธอ?” สือมูเฉินรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆออกมา
“ตอนนี้ข่าวลือน่าจะกระจายไปทั่วบริษัทแล้วล่ะ!” เพื่อนร่วมงานคนนั้นกล่าวต่อว่า :“ก็เสี่ยวเฉิงนั่นแหละ เขารู้จักคุณมานานหลายปีแล้ว ได้ยินเขาพูดว่าคุณมีคู่หมั้นแล้ว* เธอนามสกุลแซ่หลาน รู้สึกว่าก่อนหน้านั้นเธอไปศึกต่อที่ต่างประเทศ และเพิ่งกลับจากต่างประเทศได้ไม่นาน เป็นเธอคนนี้ใช่ไหมล่ะ?ท่านประธานสือ คุณไม่ต้องปิดบังแล้วนะ…… เวลานี้ถ้าทุกคนเห็นคุณหนูหลานคนนั้นก็จะเรียกเธอว่าท่านภริยาประธานสือ!”
เมื่อสือมูเฉินฟังแล้ว ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะดื่มชาหมดหรือไม่เขาก็ไม่สนใจแล้ว เขารีบเดินออกจากฟิตเนส
เขาเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองทันที จากนั้นกดสายโทรออกทันที และเขาก็ได้เชิญเลขาคนนั้นเข้ามาพบเขา
เลขาเดินเข้ามาและพูดด้วยความประจบประแจงว่า:“ ท่านประธานสือคะ คุณต้องการอะไรคะ?” แม้ว่าที่ผ่านมานั้นสือมูเฉินไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาสักเท่าไหร่ แต่เขาไม่มีท่าทีที่วางอำนาจใดๆ
ดังนั้น พนักงานหญิงหลายคนในสำนักงานจึงไม่เกรงกลัวเขามากนัก หลายคนยังแอบกรี๊ดกร๊าด ยิ่งตอนนี้สือมูเฉินได้เป็นถึงประธานบริษัท ทุกคนก็ยิ่งเพ้อฝันมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นเมื่อเลขาสาวถูกเรียกเข้ามาพบ หัวใจของเธอก็สั่นไหวและเต้นไม่เป็นจังหวะแรงถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ไปที่แผนกบุคคล และทำตามขั้นตอนการลาออก” สือมูเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย: “ผมได้แจ้งแผนกบุคคลไว้แล้ว เงินเดือนของวันนี้ก็จะคิดให้คุณเช่นกัน เดี๋ยวคุณไปรับเงินเดือนที่แผนกการเงินแล้วกันนะครับ ”
หลังจากฟังคำพูดของสือมูเฉินแล้ว เลขาสาวก็กะพริบตาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองนั้นฟังไม่ผิด จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที: “ท่านประธานสือคะ ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?คุณจะไล่ฉันออกเหรอคะ ต่อไปนี้ฉันจะตั้งใจทำงาน และจะไม่ทำงานผิดพลาดอีกแน่นอนค่ะ !”
บริษัท Times Group นั้น นอกจากจะเป็นบริษัทใหญ่ที่มั่นคงแล้ว ยังเป็นกลุ่มบริษัทที่ติด Top ในหนิงเฉิงอีกด้วย สวัสดิการดีและโอกาสในการพัฒนาก็สูง ถ้าหากถูกบริษัทแห่งนี้ไล่ออกแล้ว แม้ว่าจะไม่มีประวัติการโดนไล่ออกบันทึกเอาไว้ คาดว่าเธอจะหางานตำแหน่งงานที่ดีและสวัสดิการที่ดีแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“ซุบซิบนินทาเรื่องของเจ้านายและเผยแพร่ข่าวลือในช่วงเวลาทำงาน ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กรของบริษัท” สือมูเฉินโบกมือให้รีบออกไปอย่างรำคาญ: “ออกไปเถอะ การตัดสินใจของผมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน”
“ท่านประธานสือคะ……” เลขาสาวกำลังจะร้องไห้
ในขณะนี้ มีเสียงเคาะประตูห้องของสือมูเฉินดังขึ้น
“เข้ามาสิ” สือมูเฉินกล่าว
สือเพ่ยหลินเดินเข้ามา และเห็นเลขาสาวที่กำลังยืนร้องไห้ ดวงตาของเธอหรี่ลง: “คุณอาครับ ทำไมคุณอาถึงต้องรังแกผู้หญิงด้วย ทำแบบนี้ได้อย่างไรกันครับ?”
“มาหาอามีอะไรหรือเปล่า? ” ในขณะที่สือมูเฉินพูดอยู่นั้น สายตาของเขาก็เหลือบมองไปที่เลขาสาว แม้เธอจะร้องไห้ฟูมฟายขนาดไหนเขาก็ไม่หวั่นไหว: “คุณออกไปได้แล้ว”
เลขาสาวมองไปที่สือมูเฉิน แล้วมองไปที่สือเพ่ยหลินเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่มีใครตอบสนอง เธอจึงต้องรีบเอามือปิดหน้าและวิ่งออกไป
“คุณอาครับ ผมได้ยินข่าวสือทั้งหมดของบริษัทแล้ว” สีหน้าของสือเพ่ยหลินเคร่งขรึมเล็กน้อย : “ในเมื่อคนรักเก่าของคุณอากลับมาแล้ว ถ้าเช่นนั้น คุณอามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับผู้หญิงทั้งสองคนในเวลาเดียวกันแบบนี้ มันจะไม่ยุติธรรมกับเสี่ยวถางหรือเปล่าครับ?”
“แกรู้ข่าวเร็วมากนี่” สือมูเฉินไขว้ขาขึ้น และพูดอย่างเกียจคร้าน: “เสี่ยวถางเป็นภรรยาของอา เพ่ยหลิน แกยุ่งมากเกินไปหรือเปล่า
?”
“คุณอาครับ คุณอารู้ไหมครับว่าผมหมายถึงอะไร! ใครไม่รู้บ้างว่าหลานเล่อซินนั้นเป็นอดีตคู่หมั้นของคุณอา* คุณอาให้เธอมาทำงานที่บริษัทแบบนี้ มันหมายความว่ายังไงครับ?” สิ่งที่น่าอึดอัดที่สุดสำหรับสือเพ่ยหลินในตอนนี้ก็คือท่าทางที่ไม่รู้สึกรู้สาของสือมูเฉิน และเป็นเพราะสีหน้าที่เรียบเฉยไม่มีปฏิกิริยาใดๆแบบนี้ จึงทำให้เขาและคุณพ่อพ่ายแพ้หุ้นส่วนของบริษัท Times Group!
“แกก็รู้ว่าเป็นอดีตคู่หมั้น งั้นแกยังจะมาโทษอาอีกเหรอ!” สือมูเฉินขมวดคิ้ว:“เรื่องของอาคนอื่นอย่าเข้ามายุ่ง เพ่ยหลินถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะก็ อายังมีงานต้องทำอีก เชิญออกไป”
“เยี่ยมจริงๆ!” สือเพ่ยหลินรีบยืนขึ้นและหันหลังกลับด้วยความโมโหทันที: “ตอนนี้รู้กันทั้งบริษัทแล้วว่าคุณอาและหลานเล่อซินเป็นคู่รักกัน คุณอาครับ ผมจะรอดูว่าคุณอาจะอธิบายกับเสี่ยวถางยังไง”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็ดึงประตูและก้าวออกไปอย่างเร็ว
วันนี้ ช่วงกลางวันหลานเสี่ยวถางได้เร่งทำงานของตัวเองจนเสร็จ พอช่วงบ่าย เธอก็ออกไปซื้อผลไม้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตตามเคย
ทันทีที่เธอเดินไปที่ถนนตรงข้ามชุมชน ก็มีรถสปอร์ตสีน้ำเงินแซฟไฟร์เข้ามาจอดและหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
จากนั้น กระจกรถก็เลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของสือเพ่ยหลิน
“เสี่ยวถาง” เขารีบดับเครื่อง และรีบเดินลงจากรถ
“มีอะไรหรือเปล่า?” หลานเสี่ยวถางถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน
“อืม ผมมีธุระจึงมาหาคุณ ” สือเพ่ยหลินพูด: “เราไปหาสถานที่นั่งคุยกันเถอะ!”
“ฉันมีธุระค่ะ คุณมีธุระอะไรก็พูดตรงนี้แหละ ” หลานเสี่ยวถางกลัวว่าสือเพ่ยหลินจะลากเธอขึ้นรถ ดังนั้นเธอจึงจงใจเดินก้าวถอยหลังเพื่อให้ห่างจากรถสปอร์ตของเขาประมาณสามสี่ก้าว
การกระทำของเธอทำให้สือเพ่ยหลินรู้สึกเจ็บแปลบๆ เขาขยับริมฝีปาก: “เสี่ยวถาง คุณต้องทำตัวระวังผมขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมื่อการกระทำของหลานเสี่ยวถางถูกสือเพ่ยหลินมองออก เธอรู้อึดอัดเล็กน้อยและยิ้มกลบเกลื่อนแล้วพูดต่อว่า: “เป็นสิ่งที่ดีที่ผู้คนจะรู้จักระมัดระวังตัวมากขึ้น”
แววตาของสือเพ่ยหลินเศร้าหม่นทันที: “เสี่ยวถาง คุณทำตัวระวังผมขนาดนี้ คุณไม่คิดจะระวังคุณอาของผมบ้างเลยเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางดูออกว่าเขานั้นต้องมีอะไรบางอย่างแอบแฝงเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงถามว่า: “คุณหมายความว่าอย่างไร?”
“ตอนนี้พี่สาวของคุณยังเตรียมมื้อเที่ยงให้กับเขา และทั้งบริษัทก็รู้ว่าพวกเขาเป็นอดีตคู่หมั้นกัน*” สือเพ่ยหลินจ้องมองตาของหลานเสี่ยวถาง อยากเห็นว่าเธอจะแสดงอาการแบบไหนออกมา: “และฉากพื้นหลังบนเวยป๋อของคุณและของเธอนั้นเหมือนกันอย่างกับแกะ และตอนนี้หลายคนในบริษัทยังแอบเรียกเธอว่าท่านภริยาของประธานสือ”
มือของหลานเสี่ยวถางจิกลงบนกระเป๋าอย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกคับข้องใจและเหมือนกำลังจะหายใจไม่ออก
อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมาเธอก็ตระหนักว่านี่เป็นเพียงคำพูดฝ่ายเดียวของสือเพ่ยหลิน และการตั้งค่าภาพพื้นหลังที่เธอและหลานเล่อซินตั้งค่านั้น มันก็เป็นภาพที่คล้ายกันอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติสำหรับคนนอกที่จะไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดได้ง่ายๆอยู่แล้ว
ดังนั้นทำไมเธอถึงด่วนสรุปเรื่องๆหนึ่งได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้นะ?
แม้ว่าเธอปฏิเสธไม่ได้ว่าภายในจิตใจของเธอนั้นจะรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ……
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” หลานเสี่ยวถางยังคงทำหน้าเรียบเฉย: “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”
เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นปฏิกิริยาของเธอแล้วไม่มีการตอบสนองใดๆ เขาก็เดินไปข้างหน้าสองสามก้าวพร้อมขมวดคิ้ว: “เสี่ยวถาง คุณรักคุณอาของผมเข้าแล้วใช่ไหม ? คุณเชื่อใจเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลานเสี่ยวถางจะถูกถามเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอที่มีต่อสือมูเฉิน แต่ครั้งนี้มันเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ายอมรับอย่างตรงไปตรงมา: “ใช่ค่ะ ฉันรักเขา เขาดีกับฉัน ทำไมฉันจะต้องไม่รักเขาล่ะ? ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อกันนะสักที?!”
สือเพ่ยหลินดวงตาเบิกกว้างทันที และเขาก็ส่ายหัว :“พวกคุณเพิ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาไม่ถึงครึ่งปี ทำไมคุณถึง ……”
“ระยะเวลาเป็นตัววัดความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ?” หลานเสี่ยวถางเม้มริมฝีปากพร้อมยิ้มเยาะเย้ย: “ถ้าอย่างนั้นการที่คุณรู้จักฉันมาสองปีแล้ว ระยะเวลาก็ไม่ถือว่าสั้นเลย? แต่ว่า ……”
เมื่อนึกถึงอดีต สือเพ่ยหลินเหมือนหายใจไม่ออก เขาก้าวเดินไปข้างหน้า และจับไหล่ของหลานเสี่ยวถาง: “เสี่ยวถาง เรารู้จักกันมานานแล้วและผมก็ปฏิบัติต่อคุณ……ก่อนหน้านั้นผมยังไม่รู้ตัว จนมาถึงตอนนี้ ……”
“เพ่ยหลิน” ในขณะนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงคนชราดังขึ้น โจวเหวินซิ่วเดินเข้ามาหาพวกเขา และสายตาของเธอก็จ้องมองไปที่สือเพ่ยหลิน: “นี่คือ……”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น ดูเหมือนว่าเธอจะเพิ่งเห็นหลานเสี่ยวถางอยู่กับสือเพ่ยหลินสองต่อสอง เธอทำท่าตกใจ: “เสี่ยวถาง ทำไมเธอกับสือเพ่ยหลินถึง ……”
หลานเสี่ยวถางหันกลับไป เธอใจหายวาบ: “คุณแม่คะ……”
“เสี่ยวถาง ในเมื่อเธอแต่งงานกับสือมูเฉินแล้ว ก็ไม่ควรมีความสัมพันธ์กับเพ่ยหลินอีกต่อไป!” โจวเหวินซิ่วโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ :“เธอมาเล่นกับความรู้สึกของลูกชายฉันและหลานชายแท้ๆของฉันแบบนี้ เธอจะรับผิดชอบไหวเหรอ!”
“คุณแม่คะ มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ –” หลานเสี่ยวถางต้องการอธิบาย แต่ถูกโจวเหวินซิ่วตัดบทพูดพร้อมยิ้มเยาะเย้ย และเธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“เธอคิดว่าสิ่งที่พวกเธอทำลับๆล่อๆเมื่อกี้นี้ ฉันจะไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ ?”
“คุณย่าครับ มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวถาง……” สือเพ่ยหลินอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง: “เมื่อกี้เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบของผม เลยล่วงเกินเธอเกินเลยไปหน่อยครับ ”
“และยังมีหลานอีกคน สือเพ่ยหลิน!” โจวเหวินซิ่วจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา: “แม้ว่าก่อนหน้านี้หลานจะเคยแต่งงานกับหลานเสี่ยวถางมาแล้วสองปี แต่ตอนนี้เธอแต่งงานกับคุณอาของหลานแล้ว ต้องรู้จักหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อพิพาทได้! หรือเป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชาย หลงเสน่ห์ทั้งอาทั้งหลานชายแบบนี้?!”
หลานเสี่ยวถางต้องการอธิบาย แต่ในขณะนี้ เธอก็ตระหนักได้ว่าแม้ว่าเธอจะอธิบายให้โจวเหวินซิ่วฟังยังไง เธอก็ไม่ฟังอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงต้องหยุดพูด เธอถือของบางอย่างและกำลังจะเดินกลับไป
“หยุด!” โจวเหวินซิ่วร้องตะโกนอยู่ด้านหลังของเธอและสั่งให้หยุด: “ทำไมเธอถึงปฏิบัติต่อแม่สามีอย่างฉันแบบนี้ ฉันเป็นคนตัดสินใจเองไม่ได้ แต่ฉันหวังว่าเธอจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้กับมูเฉินได้อย่างชัดเจน!”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น โจวเหวินซิ่วก็เดินไปทางเขตชุมชนทันที
เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นสถานการณ์ลงเอยแบบนี้ เขาก็รู้สึกผิด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและคิดที่จะเดินตามไป
แต่ว่า เขาเดินตามไปมีกี่ก้าวก็ถูกโจวเหวินซิ่วไล่กลับ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงชายตามองดูหลานเสี่ยวถางอย่างกังวลใจก่อนจะจากไป
เมื่อสือมูเฉินกลับมา เขาบังเอิญเห็นโจวเหวินซิ่วกำลังจัดกระเป๋าเดินทางของตัวเองและกำลังจะจากไป
เขาอดไม่ได้ที่จะรีบขัดขวางทันที: “คุณแม่ครับ นี่คุณแม่จะไปที่ไหนครับ ?”
“แม่อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว!” โจวเหวินซิ่วกล่าวว่า: “ลูกสะใภ้ที่ดีของลูก มีความสัมพันธ์กับชายอื่นหน้าประตูทางเข้าเขตชุมชน แม่รู้สึกอับอายจนไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อแล้ว!”
“เสี่ยวถาง?” สือมูเฉินมองไปที่หลานเสี่ยวถาง:“เกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนที่แม่กำลังเดินกลับมาอยู่นั้น แม่เห็นสือเพ่ยหลินกำลังจับไหล่เธออยู่ และทั้งสองคนเกือบจะกอดกันแล้ว!” โจวเหวินซิ่วกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย: “มูเฉิน แม่ไม่รู้หรอกนะว่าลูกแย่งเธอมาจากเพ่ยหลินได้อย่างไร แต่ลูกกับเพ่ยหลินเป็นอาหลานแท้ๆกันนะ ดังนั้นเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่ควรทำลายความสัมพันธ์ระหว่างอาและหลานชายแบบนี้!”
“คุณแม่ครับ คุณแม่ใจเย็นๆก่อนนะครับ” สือมูเฉินกล่าวว่า:“เสี่ยวถางและเพ่ยหลินน่าจะบังเอิญเจอกัน และก่อนที่เราจะแต่งงานกัน เพ่ยหลินเป็นคนทอดทิ้งเธอก่อน เรื่องนี้ ผมเคยอธิบายให้คุณแม่ฟังแล้วนะครับ?”
“ถ้าเช่นนั้นลูกหมายความว่า ลูกเชื่อใจภรรยาของลูก แต่กลับสงสัยแม่อย่างนั้นเหรอ ?!”โจวเหวินซิ่วพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ “มูเฉิน ลูกโตแล้วและมีความคิดเป็นของตัวเอง ถึงแม่จะพูดอะไร ลูกก็คงไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วล่ะ …… ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ไปอาศัยอยู่เล่อซินเอง มีแต่เธอเท่านั้นที่เป็นคนมีจิตใจดีงามและเข้าใจแม่!”
“คุณแม่ครับ คุณแม่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ครับ? หลานเล่อซินไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับลูกเลยนะครับ นี่ผมเป็นลูกแท้ๆของคุณแม่ คุณแม่กลับไม่อาศัยอยู่กับลูกของตัวเอง แต่กลับจะไปอาศัยอยู่กับเธอทำไมกันครับ?” ในขณะที่สือมูเฉินพูดอยู่นั้น เขาก็คว้ากระเป๋าเดินทางของโจวเหวินซิ่วไว้
“มันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่?” โจวเหวินซิ่วพูดโดยไม่สนใจอะไรทั้งๆที่รู้ว่าหลานเสี่ยวถางก็ยืนอยู่ข้างๆ และพูดโดยตรงๆว่า: “เล่อซินเป็นคู่หมั้นของลูกไง! ย้อนกลับไปในตอนนั้น เป็นเพราะคุณพ่อและคุณย่าของลูกเป็นผู้หมั้นหมายเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว!”