บทที่ 155 การเติบโตของหนานกงฉีโม่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 155 การเติบโตของหนานกงฉีโม่

บทที่ 155 การเติบโตของหนานกงฉีโม่

จดหมายที่หนานกงฉีโม่เขียนถึงเสี่ยวเป่าเริ่มต้นด้วยเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่เขาจะอธิบายว่าตนเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ก่อนจะเลือกเรื่องน่าสนใจจำนวนไม่น้อยมาเขียนลงจดหมาย

เล่าว่าเพราะได้ออกกำลังกายกับเหล่าทหาร ร่างกายของเขาจึงแข็งแรงขึ้นมาไม่น้อย จากนั้นก็เขียนขอบคุณนางสำหรับเหล่าผลไม้ที่ส่งมา ไม่ได้มีเพียงแค่เขาที่ชอบ แต่เหล่าแม่ทัพเองก็ชื่นชอบเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ถึงกับเกิดการต่อสู้แย่งชิงแตงโมขึ้นมาในค่าย

อีกทั้งยังมีเรื่องยาของนาง เพราะพกพาได้ง่ายและมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม จึงนับได้ว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในสนามรบ

สุดท้าย เขาก็เขียนถามเสี่ยวเป่าอย่างจริงจังว่าสามารถเขียนวิธีทำปุ๋ยส่งมาได้หรือไม่ หากสามารถส่งคนที่เชี่ยวชาญด้านการทำปุ๋ยมาสอนคนในท้องถิ่นได้ก็จะดีเป็นอย่างยิ่ง

บนจดหมายยังเล่าว่า เมื่อเขาและแม่ทัพเฒ่าเซี่ยออกสำรวจสภาพชาวบ้านในบริเวณชายแดน ได้เห็นถึงความยากลำบากในการเพาะปลูกบนดินแดนอันแห้งแล้ง แม้ทำงานหนักตรากตำมาทั้งปี แต่ผลผลิตที่สามารถเก็บเกี่ยวกลับมีน้อยนิดจนน่าเวทนา อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษี ชาวบ้านเหล่านั้นไม่อาจกระทั่งกินอย่างอิ่มท้องได้ทั้งปีเสียด้วยซ้ำ

ยามได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ หนานกงฉีโม่พลันนึกถึงปุ๋ยที่น้องหญิงเคยกล่าวเอาไว้ว่า การใส่ปุ๋ยเป็นวิธีช่วยเพิ่มผลผลิตการเพาะปลูก

หนานกงฉีโม่เองก็ไม่เคยคิดเลยว่า ปุ๋ยที่ตนเองเคยรังเกียจเมื่อครั้งอยู่ในเมืองหลวง มาวันนี้กลับต้องการจะรู้วิธีทำมันขึ้นมา

อันที่จริง จดหมายฉบับนี้ควรเขียนถึงหนานกงสือเยวียนมากกว่าเขียนใส่ในจดหมายของเสี่ยวเป่า

แต่หนานกงฉีโม่รู้ดีว่า จดหมายฉบับนี้อย่างไรเสียก็ต้องถึงมือเสด็จพ่อ เพราะน้องหญิงยังไม่รู้ตัวอักษรมากนัก

หลังจากอ่านจดหมายจบแล้ว เสี่ยวเป่าก็พยักหน้าใส่จดหมายให้พี่รองทันที

“เสี่ยวเป่าจะเขียนส่งให้พี่รอง!”

ขอเพียงแค่ช่วยพี่รองได้ก็พอแล้ว นางรีบร้อนจนแทบจะหยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนจดหมายให้พี่รองในทันที

แต่เด็กเล็กก็ถูกบิดาดีดหน้าผากหยุดเอาไว้เสียก่อน “รีบร้อนอันใดเล่า”

ฮ่องเต้จับเด็กน้อยกลับมานั่งดี ๆ จากนั้นก็เปิดจดหมายที่องค์ชายรองเขียนส่งมาให้ตนเอง

นี่คือรายงานการรบ หัวข้อสำคัญเขียนถึงความผิดปกติของเผ่าเป่ยหมาน

หนานกงฉีโม่ยังคงไม่ลืมจุดประสงค์หลัก การที่เขาเดินทางไปยังเมืองชายแดนนั้นก็เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเผ่าเป่ยหมาน

สถานที่ตั้งหลัก*[1]ของเผ่าเป่ยหมานนั้นเป็นความลับ พวกเขาต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะสามารถหาพบได้ หลังจากนั้น ก็ส่งคนเข้าไปสอดแนมสถานที่แห่งนั้น ทำให้ได้รับข่าวที่ชวนน่าตกตะลึงมา

ข่านแห่งเผ่าเป่ยหมานถูกลอบสังหาร มิหนำซ้ำผู้ที่ลงมือยังเป็นบุตรชายที่ตนเองไม่เห็นค่าอยู่ในสายตา

เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น พวกหนานกงฉีโม่จำต้องลงแรงคนไปไม่น้อย แต่ยังดีที่ได้ข่าวสารที่ดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมากกลับมา

เมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน ข่านจับหญิงงามผู้หนึ่งมาจากที่ใดก็ไม่ทราบเพื่อมาเป็นสนมของตน ทว่าสตรีผู้นั้นเด็ดเดี่ยวยึดมั่น ภายในใจยังคงต้องการหวนกลับไปยังเผ่าของตน

ทว่าข่านหรือจะยอมให้เป็นเช่นนั้นได้ หลังจากที่สตรีผู้นั้นพยายามหลบหนีและถูกจับได้อยู่หลายครั้ง นางก็ถูกหักขาขังเอาไว้ในวังหลัง ส่วนตัวข่านนั้นก็ค่อย ๆ หมดความสนใจในตัวนางลง

หลังจากนั้น สนมผู้นี้ก็ได้ให้กำเนิดโอรสออกมา แต่สองแม่ลูกนั้นค่อนข้างจะมีชีวิตยากลำบากอยู่บ้างภายในวังหลัง พวกเขาเป็นหนามยอกอกในสายตาของสนมคนอื่น เป็นผลให้มักถูกรังแกระรานอยู่เสมอ

กษัตริย์แห่งเผ่าเป่ยหมานเองก็ไม่ได้สนใจเหลียวแลสองแม่ลูกคู่นี้แม้แต่น้อย อย่างไรเสียเขาก็มีโอรสอยู่หลายคนแล้ว

เมื่อโอรสผู้นั้นอายุได้ห้าขวบ สนมผู้เป็นมารดาก็จากไป ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งยากลำบากมากขึ้น

ยามเด็กชายอายุได้เจ็ดขวบ ข่านแห่งเผ่าเป่ยหมานก็เตรียมตัวส่งทัพไปโจมตีอาณาจักรต้าเซี่ย ขณะเดียวกันนั้น องค์ชายน้อยก็ถูกกลั่นแกล้งจนเกือบเอาตัวไม่รอด ทว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง อุปนิสัยกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กลายเป็นมุทะลุดุร้ายเจ้าอารมณ์ผิดปกติ ในคืนหนึ่งระหว่างที่กษัตริย์แห่งเป่ยหมานกำลังพักผ่อน เขาได้ลอบเข้าไปในห้องบรรทมเพื่อลงมือลอบสังหาร

ประเด็นสำคัญคือการที่เด็กอายุเจ็ดขวบ ผู้ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนใด ๆ มาก่อน กลับสามารถลอบสังหารได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถหลบหนีไปได้โดยจนบัดนี้ก็ยังไม่ถูกค้นพบตัว

กษัตริย์แห่งเป่ยหมานถูกลอบสังหารอย่างกะทันหัน ไม่ได้ทิ้งพระราชโองการสืบตำแหน่งใดเอาไว้ ทำให้เหล่าโอรสธิดาต่างก็เริ่มต่อสู้แย่งชิงกันเอง

เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ขึ้น ผู้ใดกันจะยังมีใจอยากรุกรานอาณาจักรต้าเซี่ยอยู่ พวกเขาย่อมต้องการแย่งชิงตำแหน่งกันให้เสร็จสรรพเสียก่อน

นอกจากข่าวคราวเหล่านี้ที่สืบมาได้แล้ว หนานกงฉีโม่ยังเขียนในจดหมายอีกด้วยว่า พวกเขากำลังรวบรวมกองทัพ ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในการแย่งชิงอำนาจ แม้จะไม่สามารถทำลายศูนย์กลางอำนาจของเป่ยหมานให้สิ้นซากได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำลายคูเมืองและกำแพงบางส่วนลงได้

ในตอนท้ายของจดหมาย หนานกงฉีโม่กล่าวถึงเรื่องของปุ๋ยและเมล็ดพืชอีกครั้ง

อาหารหลักที่สำคัญในพื้นที่ชายแดนเช่นนี้คือข้าวสาลี แต่เพราะความแห้งแล้ง ข้าวสาลีที่ปลูกไม่ค่อยงอกงามเสียเท่าไหร่นัก

แม้ว่าหนานกงฉีโม่จะไม่เข้าใจเรื่องการเพาะปลูก แต่ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ยินคำพูดของเสี่ยวเป่ามาบ้าง เมล็ดพันธุ์ยิ่งดียิ่งมีอัตราการงอกเงยสูง พืชผลที่จะเก็บเกี่ยวได้ในอนาคตก็จะมากขึ้นด้วย

ทว่าที่เมืองชายแดนมีเมล็ดข้าวสาลีคุณภาพดีน้อยเกินไป ดังนั้นหนานกงฉีโม่จึงต้องรอขอความช่วยเหลือจากเสด็จพ่อ เขาต้องการเมล็ดพันธุ์ชั้นดีและก็ปุ๋ย ชาวบ้านในเมืองชายแดนยากจน กองทัพของพวกเขาก็อัตคัดขัดสน เสบียงแทบจะไม่เหลือพอแล้ว

‘เสด็จพ่อ บุตรชายของท่านอดอยากจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกอยู่แล้ว เหล่าชาวบ้านกับทหารในกองทัพเองก็แทบไม่มีอันจะกิน มีเพียงแต่เสด็จพ่อเท่านั้นที่สามารถช่วยส่งเมล็ดพันธุ์มาได้ อีกทั้งโปรดอย่าได้ลืมเรื่องสำคัญอย่างปุ๋ยของน้องหญิง คงจะดียิ่งกว่าหากเสด็จพ่อสามารถส่งผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกและทำปุ๋ยมาได้ ที่นาหลวงของเสด็จพ่อมีคนจำนวนมากมาย ท่านคงเต็มใจใช่หรือไม่ ಥ_ಥ’

ข้อความน่าเวทนาในตอนท้ายของจดหมาย เห็นได้ชัดว่าเรียนรู้มาจากผู้ใด

หนานกงสือเยวียน “…”

เขาไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งตนจะถูกบุตรชายแสร้งร่ำไห้ร้องทุกข์กับตัวเอง

ทว่าหนานกงสือเยวียนไม่โกรธแต่อย่างใด ที่มุมปากกลับยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มจาง ๆ เสียด้วยซ้ำ

เพราะว่าจากจดหมายฉบับนี้ เขาสามารถเห็นได้ถึงการเติบโตของบุตรชายตนเอง

สุนัขจิ้งจอกน้อยที่เติบโตขึ้นมาอย่างเพียบพร้อมภายในพระราชวัง เมื่อได้ออกไปสัมผัสกับสภาพแวดล้อมภายนอก ก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนสามารถขบคิดวิธีแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี

หนานกงสือเยวียนไม่ใช่ฮ่องเต้ขี้ระแวงหรือมีอคติต่อผู้อื่นไปทั่ว เขาปฏิบัติกับบุตรชายทุกคนอย่างเท่าเทียม มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจยอมรับได้คือ การที่บุตรชายของเขาเติบโตขึ้นมาเป็นเศษขยะไร้ค่า

ดังนั้น เขาจึงมีความสุขมากที่ได้เห็นการเติบโตของบุตรชายคนรอง

นอกจากจดหมายจากองค์ชายรองแล้ว ยังมีรายงานการทหารจากแม่ทัพเฒ่าเซี่ย สิ่งที่เขียนมาคล้ายกับในจดหมายของหนานกงฉีโม่ เพียงแต่เป็นทางการกว่ามาก อีกทั้งยังมีการเขียนขออภัยโทษที่พวกเขาได้เริ่มเปิดสงครามกับเผ่าเป่ยหมานก่อนจะมีพระราชโองการลงมา

หนานกงสือเยวียนไม่ติดใจเอาความ ถึงแม้จะยังไม่มีพระราชโองการ แต่หากแม่ทัพเฒ่าเซี่ยไม่ยอมคว้าโอกาสที่ดีเช่นนี้เอาไว้ เขาจะต้องสงสัยในความสามารถของแม่ทัพเฒ่าผู้นี้อย่างแน่นอน

“ท่านพ่อ ท่านดูมีความสุขมาก”

พอเสี่ยวเป่าสัมผัสได้ถึงความสุขของท่านพ่อ นางก็แย้มยิ้มออกมาเหมือนดอกทานตะวันต้นน้อย ๆ

“ท่านพ่อ ท่านเอาเพชรพลอยไป แล้วแลกกับการส่งเงินไปให้พี่รองได้หรือไม่?”

หนานกงสือเยวียน “…เจ้าจะโกยเงินของข้าไปให้พี่รองของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

ดวงตาของเสี่ยวเป่าร้อนรนขึ้นมา นิ้วน้อย ๆ จิ้มเข้าหากัน “แลกเปลี่ยนกับเพชรพลอย”

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนเรียบเฉย “เพชรพลอยไม่ได้มีค่าอันใดสำหรับข้า”

[1] สถานที่ตั้งหลัก (王廷) เป็นเหมือนที่รวมศูนย์อำนาจการปกครองของชนเผ่า ประมาณราชสำนัก