บทที่ 156 แพนด้า

บทที่ 156 แพนด้า

เสี่ยวเป่า “แล้วของพวกนี้ขายได้หรือไม่?”

นางเปิดกล่องใบเล็กที่มีเพชรพลอยน้ำดีบรรจุอยู่ในนั้น ด้านในยังมีของล้ำค่าอย่างหยกมันแพะ*[1] สองชิ้น และหยกเนื้อดีสีเขียวมรกต

แม้หินแร่จะมีมาก ทว่ากำลังซื้อนั้นมีน้อย ฉะนั้นต่อให้เพชรพลอยเหล่านี้จะสวยงามเพียงใด แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม สุดท้าย เมืองหน้าด่านจึงยังมีคนยากจนอยู่จำนวนมาก

ต้องนำมาถวายราชวงศ์ต้าเซี่ยจึงจะขายได้ราคาดีขึ้น แต่เทียบกันแล้ว ผู้คนในสมัยนี้นิยมไข่มุกเม็ดกลมกลึงและหินหยก*[2] เนื้อดีมากกว่าเพชรพลอยหรือหยกเขียว

เป็นเหตุให้กล่องหินของเสี่ยวเป่ามีราคาแพงกว่าหยกมันแพะเนื้อดีสองชิ้นนั้น บางทีอาจขายได้หลายร้อยตำลึงเงิน

หนานกงสือเยวียนมิได้โปรดปรานอัญมณีที่มีดีแค่สวยงาม ทว่าไร้ซึ่งประโยชน์เหล่านี้ สิ่งที่เขาโปรดปรานมีเพียงเงินตรา

เพราะเงินสามารถแลกเปลี่ยนเป็นข้าวปลาอาหารได้

“มอบให้ท่านอาเจ็ดของเจ้านำมันไปขายสิ”

แม้เขาจะไม่ต้องการ แต่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ชอบสะสมเครื่องประดับล้ำค่าเหล่านี้ โดยเฉพาะพวกที่ไม่ทำการทำงาน วัน ๆ เอาแต่ใช้เงิน

ขอเพียงเปลี่ยนมันเป็นเงินเพื่อมอบให้พี่รองได้ จะขายให้ผู้ใดก็มิใช่ปัญหา

ต่อมาเสี่ยวเป่าก็ได้ขอให้ท่านพ่อคำนวณดูว่า ของล้ำค่าในกล่องสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้กี่มากน้อย

หนานกงสือเยวียนได้แต่ก้มมองเด็กเล็กหน้านิ่ง ก่อนจะออกคำสั่งไปว่า “ตามคนจากกรมวังมาตรวจสอบ”

เขาไม่ใช่พ่อค้าอัญมณี จะรู้ได้อย่างไรว่าของพวกนี้มีมูลค่าเท่าใด

ขันทีผู้หนึ่งรับคำสั่งเสียงขันแข็ง ก่อนจะล่าถอยออกไป

หนานกงสือเยวียน “ข้าวของที่อาสี่ของเจ้าส่งมาให้มาถึงแล้ว”

เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายทันที “ท่านอาสี่!”

นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอาสี่ส่งของมาให้นาง!

หนานกงสือเยวียนหันไปสั่งการ “เรียกพวกเขาเข้ามา”

ฝูไห่ก้มหัวตอบรับก่อนจะเดินออกไป ผ่านไปไม่นานก็กลับมาพร้อมคนหอบหิ้วข้าวของมากมายตามหลังเข้ามา

ในบรรดาข้าวของดังกล่าว เป็นผลไม้นานาชนิดที่สะดุดตากว่าสิ่งใด

เสี่ยวเป่าสอดส่องสายตาสำรวจ จึงเห็นว่ามีมะพร้าว มะม่วง มะปราง มะเฟือง และอื่น ๆ อีกมากมาย…

ผลไม้ทั้งหลายถูกบรรจุในตะกร้าไม้ แต่ละชนิดมีมากกว่าหนึ่งตะกร้า

ในบรรดาผลไม้ทั้งหมด ลี่จือ*[3]เป็นผลไม้ที่บอบบางที่สุด มันจึงถูกเก็บช้ากว่าผลไม้ชนิดอื่น เพราะต้องรอจนกว่าของอื่น ๆ ออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้วสองสามวัน ถึงจะส่งลี่จือตามหลังไปได้ และในระหว่างที่ม้าเร็วทำการขนส่งยังต้องคงความสดด้วยน้ำแข็งตลอดทาง

ทันใดนั้นเสี่ยว เป่าพลันนึกถึงชาติก่อนของตน นางมักจะได้ยินบทกวีที่กล่าวถึงลี่จือไว้ว่า

เห็นม้าเร็วพระสนมพลันแย้มสรวล ผู้ใดเลยจะรู้ว่าเหตุเพราะลี่จือมา*[4]

เสี่ยวเป่ากวาดสายตามองข้าวของละลานตากองอยู่ตรงหน้าจนดวงตาอ่อนล้า!

“ผลไม้เยอะ… เยอะมาก!”

ด้านหนานกงสือเยวียนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “อาสี่ของเจ้ามอบให้เจ้าทั้งหมด”

ตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ หนานกงสือเยวียนไม่เคยได้รับของกำนัลใด ๆ เป็นกรณีพิเศษเช่นนี้จากน้องสี่ของตนเลย ทุกครั้งที่มีม้าเร็วจากเจิ้นหนานอ๋องมาถึง เขาจะได้รับเพียงฎีกาทางการทหาร และจดหมายร้องทุกข์ว่าขัดสนขอให้สนับสนุนเสบียงกองทหาร

ฝูไห่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “องค์หญิงเก้าอย่าได้ทรงร้อนใจไป ยังมีอีกพ่ะย่ะค่ะ”

เขากล่าวพลางเรียกให้คนนำของส่วนที่เหลือเข้ามา

คราวนี้เป็นอาหารทะเลนานาชนิด เสี่ยวเป่ากวาดตามอง สิ่งที่เห็นนั้นมีทั้งแมงดาทะเลตัวโตเกือบจะเท่าขาคน กุ้งมังกรยักษ์ตัวใหญ่ยาวกว่าแขนคน ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกมันล้วนยังมีชีวิตอยู่! แม้ดูเหมือนกำลังจะตายในไม่ช้าก็ตาม

ส่วนปลาทะเลชนิดอื่น ๆ ก็ถูกแปรรูปเป็นปลาเค็มตากแห้งเกือบทั้งหมด

มีคนผู้หนึ่งถือกล่องสีสดใส ข้างในเป็นไข่มุกเม็ดกลมกลึงหลากหลายสี

เสี่ยวเป่าเห็นของเหล่านั้นพลันเบิกตากว้าง โดยเฉพาะยามที่นางจับจ้องปูทะเลยักษ์และกุ้งมังกรยักษ์ น้ำลายนางแทบทะลักออกมา

เพียงแรกพบสบตาพลันสัมผัสได้ว่านี่คือ อาหารรสเลิศ!

หนานกงสือเยวียนสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย “เหล่าซื่อเพิ่งจะเขียนจดหมายมาร้องทุกข์กับข้าว่ากำลังขัดสนมิใช่หรือ?”

แล้วมีไข่มุกล้ำค่าเหล่านี้ได้อย่างไร?

ฝูไห่ “…”

“เอ่อ… เหมือนว่ายังมีอีกพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่า “มีอีกหรือ!? ท่านอาสี่สุดยอดเกินไปแล้ว!”

ส่งของมาตั้งมากมาย!

แน่นอนว่านี่ต้องเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วจริง ๆ

ซึ่งมันเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง

ทันทีที่ผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก เสี่ยวเป่าก็ร้องว้าวออกมาทันใด

เสี่ยวเป่า “!!!”

เจ้าตัวอ้วนกลมขนสีขาวดำนั่นช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน!

อ๋อ! คิดออกแล้ว เหมือนว่ามันจะเป็นสมบัติแห่งชาติในชีวิตที่แล้วของนาง

หากจะถามว่าเหตุใดนางถึงรู้น่ะหรือ? ก็เพราะภูตพฤกษาตัวน้อยอย่างนางอิจฉาเจ้าสมบัติแห่งชาตินี้น่ะสิ ผู้คนมากมายชื่นชอบเจ้าตัวนี้ ทั้งที่วัน ๆ มันแค่กินแล้วก็นอน ทั้งยังมีคนคอยนำอาหารมาให้พวกมันอีกด้วย!

แน่นอนว่านางเองก็ชื่นชอบเจ้าตัวอ้วนกลมขนนุ่มฟูนี้เช่นกัน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชีวิตที่แล้ว นางเกิดในอาณาเขตของชาติดังกล่าวหรือไม่ที่ทำให้นางชื่นชอบวัฒนธรรมบางอย่างของชนชาติดังกล่าวด้วย

“แพนด้ายักษ์!”

ฝูไห่ “แพนด้ายักษ์? นี่คือสัตว์ร้ายกินเหล็ก*[5] มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เสี่ยวเป่ามองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ “ก็มันคือแพนด้ายักษ์นี่นา”

ฝูไห่หัวเราะชอบใจ “เทียบกับชื่อสัตว์ร้ายกินเหล็กแล้ว แพนด้ายักษ์ที่องค์หญิงกล่าวดูจะเหมาะสมกว่าจริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่ารีบสะบัดก้นลุกจากตักท่านพ่อ ก่อนจะวิ่งพรวดไปหยุดอยู่ตรงหน้ากรงแพนด้ายักษ์

หนานกงสือเยวียนเองก็ไม่ได้ห้ามนาง

เทียบกับหมาป่าแล้ว แพนด้ายักษ์ดูไร้เดียงสาและไม่มีพิษมีภัย

ทว่าเขาก็มิได้ประมาทเจ้าตัวเล็กนี้ด้วยการตัดสินว่ามันไม่ดุร้าย เจ้าตัวนี้โตขึ้นมันจะเหมือนหมีชนิดหนึ่ง อีกอย่างเขารู้ดีว่ามันเป็นสัตว์ร้ายกินเหล็กตัวสูงใหญ่เท่าหมี เรี่ยวแรงที่มันมีนั้นเกินจะคาดหมาย ฉะนั้นย่อมไม่ควรประมาท

เพียงแต่หมีนั้นได้ชื่อว่าสัตว์กินเนื้อ ในขณะที่อาหารหลักของเจ้าตัวนี้คือไผ่ ตราบใดที่มันไม่อารมณ์เสีย นิสัยของมันก็ค่อนข้างอ่อนโยน

ลูกแพนด้ายักษ์ในกรงขนาดตัวใกล้เคียงกับเสี่ยวเป่า นอนแผ่พุงอยู่ในกรง แทะผิงกั่วในมืออย่างสบายอกสบายใจ หาได้สนใจว่าบัดนี้ตนอยู่ที่ใด สนใจแค่ว่ามีสิ่งใดให้กินบ้าง

ทันทีที่มันเห็นมนุษย์เนื้อตัวขาวสะอาดขนาดตัวพอ ๆ กับตนเองก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า มันเอียงศีรษะพลางใช้ ดวงตากลมเหมือนเม็ดลำไยเมียงมองเสี่ยวเป่า

หนึ่งคนหนึ่งแพนด้าสบตากันผ่านกรงขังเพียงแวบแรก

“ฮู่~”

ลูกแพนด้ายักษ์ส่งเสียงร้อง ทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นผิงกั่วในอุ้งเท้าที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งให้คนตรงหน้า ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยขนปุกปุยมองเสี่ยวเป่าเหมือนจะสื่อว่า ‘อยากกินหรือไม่?’

เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายทันที นอกจากไม่คิดจะแย่งผิงกั่วจากมันแล้ว นางยังยื่นกล้วยให้มันอีกด้วย

ดวงตาของลูกแพนด้าเป็นประกายในทันที มันกัดผิงกั่วส่วนที่เหลืออีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินบิดบั้นท้ายอวบอ้วนไปหาเสี่ยวเป่า

ในขณะที่ทุกคนในตำหนักฉินเจิ้งต่างจับจ้องด้วยความลุ้นระทึก เพราะเกรงว่ามันจะทำร้ายเสี่ยวเป่า

โชคดีที่เจ้าแพนด้าเพียงเดินมานั่งลง เพื่อดึงกล้วยหนึ่งผลในมือของเสี่ยวเป่าไปกอดไว้เท่านั้น

นอกจากจะไม่เสียอาหารในปากแล้ว มันยังได้อาหารเพิ่มอีกด้วย ลูกแพนด้ามีความสุขมากจนหางสั้น ๆ ส่ายไปมา

ฝูไห่ “ดูเหมือนว่าแพนด้าตัวนี้จะชอบองค์หญิงเก้ามากนะพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่าหันมาถามหนานกงสือเยวียนด้วยท่าทางกระตือรือร้น พร้อมทำตาปริบ ๆ “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเลี้ยงมันได้หรือไม่!”

หนานกงสือเยวียนปรายตามองสัตว์ร้ายกินเหล็กพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เจ้าสัตว์ร้ายกินเหล็กตัวนี้ยังเด็ก คงไม่ทำอันตรายเป็นแน่ อีกทั้งธิดาของเขายังชอบมันมาก เขาจึงพยักหน้าตอบรับคำขอของนาง

“แต่หากมันโตแล้วจะต้องส่งมันไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึก ๆ พร้อมร้องขอให้คนมาเปิดกรง

“ถวนจื่อ*[6] ออกมาเร็ว”

ชื่อนี้ช่างเหมาะสมยิ่งนัก ทั้งยังเป็นชื่อที่ฟังดู… นุ่มนิ่มอีกตามเคย

ถวนจื่อ… นี่คงไม่ใช่ว่าตั้งชื่อตามรูปร่างของมันหรอกนะ

ถวนจื่อที่เพิ่งมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง หันมองเสี่ยวเป่าด้วยดวงตากลมสีดำสนิทพลางแทะผิงกั่วจนหมดก่อนจะค่อย ๆ เดินอุ้ยอ้ายออกจากกรง

ทันทีที่ก้าวพ้นกรง เจ้าตัวเล็กทั้งสองขนาดตัวไล่เลี่ยกันก็กระโจนเข้าไปกอดกันกลม

หนานกงสือเยวียนเห็นเช่นนั้นพลันไม่ชอบใจ

“นางกำนัล พาองค์หญิงเก้ากับเจ้านั่นไปชำระกายเสีย”

[1] หยกมันแพะ หมายถึง หยกเนื้อดีสีไขมันแพะ เป็นหยกโปร่งใสสีขาวปนเหลืองอ่อน ๆ

[2] หินหยก หมายถึง แร่หรือหินชนิดอื่นที่มีลักษณะคล้ายหยก พบได้หลากหลายสี

[3] ลี่จือ คือ ลิ้นจี่

[4] ​เป็นบทกวีที่กล่าวถึง​หยางกุ้ยเฟยผู้โปรดปรานลี่จือ ฮ่องเต้ถังเสวียนจงใน​สมัยราชวงศ์​ถังจึงทรงมีพระบัญชาให้ม้าเร็วเร่งขนส่งลี่จือมายังเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

[5] ในอดีตมีบันทึกไว้ว่า แพนด้าไม่ทำร้ายคน ทว่าชอบทำลายผานไถ จอบ มีด และขวานของชาวบ้านด้วยการกัดแทะข้าวของเหล่านั้นจนเสียหาย เป็นเหตุให้ผู้คนในอดีตให้สมญานามว่า สัตว์ร้ายกินเหล็ก

[6] ถวนจื่อ หมายถึง ก้อนแป้ง มักใช้เรียกคนหรือสัตว์ที่มีลักษณะอวบอ้วนและน่ารักน่าเอ็นดู