บทที่ 133 หลักการของ เซี่ยซิว(ต้น)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 133 หลักการของ เซี่ยซิว(ต้น)

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทั้งลูกชายของเจ้าเมืองและคุณหนูใหญ่ฉู่ กำลังมองเขาอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะเลือกอะไร เขาจะเป็นศัตรูกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริง ๆ

แต่แล้วในขณะนั้นเองกลับมีเสียงกีบเท้าม้าจำนวนมากดังขึ้นข้างนอก ซึ่งมันทำให้สีหน้าของ ซ่างเชียน และ เหมยเชาฟง เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม

ในเมืองจันทร์กระจ่าง ทั้งหมด ไม่มีกองทหารไหนที่มีกองทหารม้านอกจากตระกูลฉู่

ในไม่ช้า ชายในชุดเกราะผู้ที่ดูสูงเหมือนหอคอยเหล็กก็เดินเข้ามาในบ่อนพร้อมกับกลุ่มทหาร ทหารทั้งหมดเหล่านี้สวมชุดเกราะสีทองและผ้าคลุมสีแดง สายตาของทหารเหล่านี้เต็มไปด้วยความเฉียบขาดจนทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดหวั่น ทันทีที่บรรดาทหารชุดใหม่เข้ามาในบ่อน พวกเขาตั้งแถวตีวงล้อมรอบทุกคนที่อยู่ในบ่อนทันที

ทั้งการย่ำเท้าที่พร้อมเพรียงกันและวินัยที่เป็นระเบียบของพวกเขาสร้างบรรยากาศที่กดดันอันใหญ่หลวงให้กับทุกคนในบ่อน

“นี่มันกองทัพผ้าคลุมสีชาดของตระกูลฉู่! เมื่อเทียบกันแล้ว กองทหารลาดตระเวนลำน้ำกลายเป็นเด็กอมมือไปเลย!”

“ชู่ววว เงียบเดี๋ยวนี้! เจ้าอยากหัวหลุดออกจากบ่ารึไง!?”

คำพูดเสียงเบาของฝูงชนเช่นนี้ทำให้คิ้วของซ่างเชียนกระตุกขึ้นทันที เขาก้าวไปข้างหน้าและตะโกนว่า “เยว่ซาน เจ้ากำลังจะทำอะไร! ตระกูลฉู่ กล้าระดมกองทัพส่วนตัวโดยปราศจากเหตุผลอันชอบธรรมได้อย่างไร? เจ้ากำลังวางแผนก่อกบฏที่นี่งั้นเหรอ?”

แม้ว่า ซ่างเชียน จะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนักแต่เขาก็ยังจำผู้บัญชาการกองทัพผ้าคลุมสีชาดของตระกูลฉู่ได้

“เราได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ของเรากำลังถูกรังแก เราจึงมาที่นี่เพื่อปกป้องนาง นี่มันเป็นขั้นตอนปกติจองตระกูลฉู่เราที่มีไว้ใช้เพื่อรับรองความปลอดภัยของสมาชิกในตระกูล!” เยว่ซาน ตอบกลับด้วยสีหน้าดุดัน

หลังจากพูดจบ เขาเดินไปหา ฉู่ชูเหยียน และคุกเข่าคำนับนางทันที “เยว่ซาน คารวะ คุณหนูใหญ่!”

เหตุการณ์พลิกผันนี้ทำให้ ซูอัน ตื่นเต้นมากขึ้น จะดีแค่ไหนถ้าเขาเรียกข้าว่านายน้อย ต่อหน้าทุกคนทั้งหมดที่นี่ด้วย?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูอัน จึงรอให้ เยว่ซาน ทักทายเขาเช่นกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่น่าเสียดาย ที่ฝั่งตรงข้ามกลับเหลือบมามองเขาอย่างลังเลแค่เพียงครู่เดียวก่อนจะหันหน้าหนีไปโดยไม่พูดอะไร ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่า เยว่ซาน ไม่ใส่ใจตัวตนของซูอันเลย

ในขณะเดียวกัน ฉู่ชูเหยียน ยิ้มตอบพร้อมกับเอื้อมมือไปช่วย เยว่ซาน ลุกขึ้น

หลังจากทักทายกันเสร็จเรียบร้อย เยว่ซาน ก็พูดขึ้นเข้าประเด็นทันที “คุณหนูใหญ่ นายท่านได้ฝากบอกมาว่า ไม่ว่าตระกูลฉู่ ของเราจะอ่อนแอเพียงใด แต่เราจะไม่ยอมให้องค์กรใต้ดินเล็ก ๆเช่นนี้หยามเกียรติพวกเราได้ ขอแค่เพียงท่านออกคำสั่งมาแค่เพียงคำเดียว กองทัพผ้าคลุมสีชาดจะลบสำนักดอกบ๊วยออกไปจากโลกในทันทีวันนี้!” คำพูดประโยคนี้เรียกเสียงอื้ออึงเป็นอย่างมากจากฝูงชนในทันที

แม้แต่ เหมยเชาฟง ยังขนลุกเกรียวเมื่อได้ยินเช่นนี้ สำนักดอกบ๊วยสามารถอยู่ได้ดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะพวกเขาแข็งแกร่ง แต่มันเป็นเพราะพวกผู้มีอำนาจได้รับประโยชน์จากพวกเขาและปล่อยให้พวกเขาดำรงอยู่ต่อไปโดยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาเกิดทะเลาะกับตระกูลใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ ต่อให้สำนักของพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนที่มีอำนาจก็ตาม มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหากตระกูลใหญ่เช่นตระกูลฉู่ตั้งเป้าว่าจะบี้พวกเขาให้แบนจริง ๆ !

ไม่ต้องพูดถึง อ๋องฉู่ที่เป็นผู้บ่มเพาะระดับ8 เอาแค่กองทัพผ้าคลุมสีชาดของตระกูลฉู่ ก็มากเกินพอที่จะกำจัดสำนักดอกบ๊วยทั้งหมด!

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันไปหาซ่างเชียนเพื่อขอความช่วยเหลือ

ซ่างเชียน รู้สึกตกตะลึงกับความเด็ดขาดของตระกูลฉู่เช่นกัน สถานการณ์ที่รุนแรงขนาดนี้เขาเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันที

เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีปฏิกิริยาอย่างไร ซูอัน ก็รู้สึกเบิกบานใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเลือกได้ถูกต้องแล้วจริง ๆ ที่อยู่ข้างตระกูลฉู่ เขารู้สึกดีเป็นอย่างมากที่ได้กดขี่คนอื่นถึงแม้ว่ามันจะมาจากความสัมพันธ์ของเขาก็ตาม!

ตอนนี้เขาลืมไปหมดแล้วเรื่องที่จะ ‘สละเรือที่กำลังจม’ ลำนี้

ในท้ายที่สุด ผางชุน กระแอมเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นแทรกว่า “อะแฮ่มๆ คุณหนูใหญ่ฉู่ ข้าว่ามันออกจะเกินไปสักหน่อยไหมที่ท่านจะเข้ามาแทรกแซงการตัดสินคดีความที่นี่?”

คำพูดประโยคนี้ทำให้ซ่างเชียนได้สติทันที เขารีบเสริมอย่างรวดเร็วว่า “ถูกต้อง! ตระกูลฉู่ ตั้งใจจะวางแผนก่อกบฏที่นี่งั้นหรือไง!?”

ฉู่ชูเหยียน ก้าวออกมาข้างหน้าทันทีและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “การกำจัดองค์กรใต้ดินที่ต่ำช้าจะถือว่าเป็นการกบฏได้ยังไง? ข้าต้องขอให้เจ้าระวังคำพูดของเจ้า มิฉะนั้นข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดว่าเจ้ากำลังปรักปรำตระกูลฉู่โดยเจตนา!”

ทันทีที่ฉู่ชูเหยียนพูดจบประโยค บรรดาทหารของตระกูลฉู่ ต่างก็ตั้งท่าพร้อมโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกันทันที แค่เพียงพวกเขาได้รับคำสั่งเท่านั้นการสังหารหมู่จะเริ่มขึ้นแน่นอน

ซ่างเชียน กลืนน้ำลายดังเอื้อกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “สำนักดอกบ๊วยเป็นองค์กรใต้ดินหรือไม่ และควรจะลงโทษอย่างไร มันเป็นเรื่องที่เจ้าเมืองจะตัดสินใจ มันผิดกฎสำหรับตระกูลฉู่ ที่จะก้าวก่ายอำนาจของทางการที่นี่”

“ก็ได้ งั้นเรามาว่ากันตามกฎก็ได้!” ฉู่ชูเหยียน หรี่ตาลงจากนั้นนางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชากับ ผางชุน “ก่อนหน้านี้มีคนวางแผนสังหารสามีของข้าโดยการนำเขาไปมัดเอาไว้กับต้นไม้ที่ นอกเมืองเพื่อให้ฟ้าผ่าตายและเมื่อไม่นานมานี้ มีคนพยายามใช้ตั๋วหนี้ของเขาเพื่อตัดแขนขาของเขา… ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับสำนักดอกบ๊วยโดยตรง เอาล่ะท่านรองเจ้าเมืองผาง โปรดจับกุม เหมยเชาฟง และลูกบุญธรรมของเขาทั้งหมด 13 คนรวมไปถึงทุกคนในสำนักของเขาด้วยเพื่อนำไปไต่สวนอย่างละเอียดไม่เช่นนั้น ตระกูลฉู่ของข้าจะไม่ยอมท่านแน่ ๆ !”

“อา นั่น…” ผางชุน ถูกทำให้อยู่ในจุดยืนที่ลำบากอีกแล้ว… เขารีบหันไปหา เซี่ยซิว เพื่อขอความช่วยเหลือทันที

ทางด้านของ เซี่ยซิว ก็ยังไม่แน่ใจเช่นกันว่าเขาควรจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร เขาเคยได้ยินข่าวลือว่า ซูอัน ไม่ได้รับการต้อนรับในตระกูลฉู่ มากนัก แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าข่าวลือมันกลายเป็นเชื่อไม่ได้สักเท่าไหร่ อย่างน้อย ๆ ตอนนี้จากที่เขาเห็นมันก็ ดูเหมือนว่า ฉู่ชูเหยียน พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อ ซูอัน

การรับรู้นี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาอย่างสุดซึ้ง แม้ว่าเขาจะเป็นมิตรกับ ซูอัน อยู่บ้าง แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชายอยู่ ไม่มีชายคนใดที่จะไม่สะทกสะท้านเมื่อเห็นผู้หญิงที่สวยอย่าง ฉู่ชูเหยียน ออกหน้ารับแทนเพื่อผู้ชายอีกคนหนึ่งอย่างไรก็ตาม เซี่ยซิว ปรับสภาพจิตใจของเขาได้อย่างรวดเร็วเพราะจริง ๆแล้วเป้าหมายในใจของเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบเหมือน ฉู่ชูเหยียน ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าผู้หญิงจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน ความสุขที่นางมอบให้ก็ไม่สามารถเทียบได้กับฮาเร็มที่เขาวางแผนจะสร้าง

ในเวลาเดียวกัน ผางชุน ก็ยังคงรอให้ เซี่ยซิว สั่งให้เขาทำอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเขาเห็น เซี่ยซิว กลับแสดงสีหน้าเหม่อลอยแบบแปลกประหลาดแทน มันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกหดหู่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี

ตอนนั้นเองที่ ฉู่ชูเหยียน พูดขึ้นอีกครั้งว่า “หากท่านผางกำลังกังวลเกี่ยวกับการต้องเป็นศัตรูกับใครก็ตามที่ท่านกังวล ถ้างั้นทำไมท่านไม่อนุญาตให้ข้าจับกุมตัวพวกคนเหล่านี้ไปส่งที่ศาลให้จะดีกว่าไหม?”

“คุณหนูใหญ่ฉู่ โปรดท่านใจเย็น ๆ ก่อน” ผางชุน หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “ข้าคิดว่าเรื่องนี้พวกเราควรคุยกันให้ดีก่อน”