บทที่ 134 หลักการของ เซี่ยซิว(ปลาย)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 134 หลักการของ เซี่ยซิว(ปลาย)

ในขณะเดียวกันสีหน้าของ ซ่างเชียน ก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมากกว่าเดิม อาญาจากการพยายามลอบสังหารสมาชิกของตระกูลอ๋องเป็นเรื่องร้ายแรงเป็นอย่างมาก และเมื่อบวกกับเห็นความมุ่งมั่นในการที่จะเอาเรื่องสำนักดอกบ๊วยของคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่และกองทัพผ้าคลุมสีชาด ที่ล้อมรอบพวกเขาเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดถึงสำนักดอกบ๊วย โดยประมาทอีกต่อไป เขากลัวว่าจะทำให้บิดาของเขาต้องตกไปอยู่ในจุดที่ยากลำบากหลังจากนี้

ในเวลาเดียวกันหัวใจของ เหมยเชาฟง ก็เต้นตูมตามอย่างบ้าคลั่ง นี่เขากำลังจะถึงจุดจบแล้ว งั้นเหรอ?

เมื่อคิดเช่นนี้ แววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายทันทีในขณะที่เขากำลังตัดสินใจอย่างรวดเร็ว อย่างน้อย ๆ วันนี้ข้าไม่ยอมตายคนเดียวแน่นอน ข้าจะลากพวกมันลงนรกไปกับข้าให้ได้มากที่สุด!!

แต่แล้วในระหว่างที่สถานการณ์กำลังตึงเตรียดถึงขีดสุด จู่ๆเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังขึ้น ในหัวของ เหมยเชาฟง “เขียนตั๋วหนี้จำนวน 7,500,000 ตำลึงเงิน เพื่อทำให้เรื่องนี้ยุติไปก่อน!”

เหมยเชาฟงรู้ได้เลยว่านี่เป็นเสียงของ เสวี่ยเอ๋อร์ ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักว่าสาเหตุที่ตระกูลฉู่ พยายามอย่างหนักกับเขานั้นเป็นเพราะหนี้จำนวน 7,500,000 ตำลึงเงิน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่นี้ มันเป็นเรื่องดีจริง ๆ งั้นเหรอที่เขาจะยอมเขียนตั๋วหนี้ให้กับตระกูลฉู่เช่นนี้?

เมื่อสัมผัสได้ถึงความลังเลของ เหมยเชาฟง เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบพูดอีกครั้งว่า “นี่เจ้าโง่เหรอไงยังรีรออะไรอยู่อีก? แม้ว่าเจ้าจะเขียนตั๋วหนี้ แต่หลังจากนี้เจ้าก็ยังสามารถคิดหาวิธีได้อีกเป็นร้อยเพื่อที่จะชะลอการชำระหนี้หรือหลีกเลี่ยงหนี้ทั้งหมดในภายหลังได้! แต่ถ้าหากตระกูลฉู่ถอนรากถอนโคน สำนักดอกบ๊วยของเจ้าทั้งหมดในวันนี้ ความพยายามหลายปีของนายน้อยจะสูญเปล่าทันที!” เหมยเชาฟง ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมจากนั้นเขาตอบนางผ่านทางพลังชี่ “แต่ว่าตระกูลฉู่ ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินข้าไม่ใช่เหรอไง และถ้าหากพวกเขากล้าที่จะลงมือกับข้าที่นี่ หลังจากนี้พวกเขาจะต้องโดนผู้ตรวจการซ่างหงเล่นงานแน่นอน พวกเขาจะกล้าลงมือกับข้าจริง ๆ ได้ยังไง?”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้น เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าหากเจ้าถูกจับที่นี่เจ้าจะถูกส่งตัวไปให้กับ เจ้าเมืองจันทร์กระจ่าง ซึ่งเขาเป็นคนของราชันย์ฉีนอกจากนี้เมื่อไหร่ที่เจ้าถูกจับ เมื่อนั้นจะมีคนมากมายที่ก้าวออกมาเป็นพยานปรักปรำเจ้า เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าหลายปีที่ผ่านมานี้สำนักของเจ้าไป ทำชั่วอะไรมาบ้าง ถ้าพวกเจ้าโดนตรวจสอบจริงๆขึ้นมาเมื่อไหร่ ทั้งเจ้าและคนของสำนักเจ้าทั้งหมดก็ถือว่าจบเห่!” เมื่อรู้ว่า เหมยเชาฟง ยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ เสวี่ยเอ๋อร์ จึงอธิบายภาพรวมให้เขาฟัง

เหมยเชาฟง รู้สึกขัดแย้งเป็นอย่างมากในตอนนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตัดสินใจที่นี่ ดังนั้นเขาจึงหันไปหา ฉู่ชูเหยียน และโค้งคำนับขอโทษ “สำนักดอกบ๊วยของเราได้ประพฤติตัว ไม่เหมาะสมที่นี่ในวันนี้และทำให้คุณหนูใหญ่ฉู่ขุ่นเคือง ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ข้าหวังว่าท่านจะมีเมตตายกโทษให้เราสำหรับความผิดพลาดของเราในวันนี้”

การพูดจาโอนอ่อนต่อหน้าฝูงชนมากมายเช่นนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเคยทำ มันทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปด้วยความอับอาย เขานึกภาพออกเลยว่าตนจะต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้คนแน่นอนหลังจากเรื่องในคืนนี้ผ่านพ้น ชื่อเสียงที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างอุตสาหะจะต้องพังทลายลงทั้งหมดแน่นอน

อย่างไรเสีย เขาไม่มีทางเลือกอื่น เขาไม่กล้าเดิมพันกับความตั้งใจของตระกูลฉู่ที่จะจัดการ กับเขา หากตระกูลฉู่เกิดบ้าจี้สั่งให้กองทัพจับตัวทุกคนของสำนักดอกบ๊วยขึ้นมาจริง ๆ มันคงเป็นจุดสิ้นสุดของสำนักเขาอย่างแน่นอน

ถ้าสำนักนี้เป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แค่เพียงคนเดียว เขาอาจจะยังคิดที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเขาเอง แต่สำนักดอกบ๊วยจริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นของเขาแค่คนเดียว…

มีใครบางคนชักใยเขาอยู่ซึ่งคน ๆ นั้นได้ทุ่มเททั้งความพยายามและทรัพยากรมากมายเพื่อสนับสนุนเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากสำนักดอกบ๊วยถูกทำลายภายในคืนเดียว ต่อให้เขาจะสามารถรอดชีวิตหนีออกไปจากที่นี่ได้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนผู้นั้นที่หนุนหลังเขาอยู่จะตามล่าเขาจน สุดหล้าฟ้าเขียวแน่นอน และเมื่อไหร่ที่เขาโดนจับตัวได้ ชะตากรรมที่โหดร้ายมากกว่าความตายหลาย สิบเท่ารอเขาอยู่อย่างแน่นอน

ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่ลดศักดิ์ศรีของตัวเองลงและกล่าวขอโทษหญิงรุ่นลูกอย่างจนใจท่ามกลางสายตาของฝูงชนที่กำลังเหยียดหยามเขาอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม คำขอโทษของ เหมยเชาฟง ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้ ฉู่ชูเหยียน รู้สึกพอใจ แม้แต่น้อย ซึ่ง เหมยเชาฟง เองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยคำขอโทษเพียงไม่กี่คำ ดังนั้นเขาจึงตะโกนว่า “เด็ก ๆ ไปเอากระดาษและพู่กันมาให้ข้า!”

ในไม่ช้า ผู้ใต้บังคับบัญชาก็นำกระดาษมาและพู่กันมาวางไว้บนโต๊ะพนัน เหมายเชาฟง รีบเขียนตั๋วหนี้และส่งไปให้ ฉู่ชูเหยียน ทันที “คุณหนูใหญ่ฉู่ นี่คือตั๋วหนี้ 7,500,000 ตำลึงเงิน เรายินดีที่จะยอมรับการสูญเสียของเราและจ่ายเงินให้กับพวกท่านทั้งหมด แต่ข้าต้องขอยอมรับกับท่านตรง ๆ ว่าตอนนี้พวกเราคงยังไม่อาจรวบรวมเงินจำนวนมหาศาลที่พวกเราต้องจ่ายให้ท่านมาได้ในทันที ซึ่งท่านก็น่าจะเข้าใจว่าเงินจำนวนขนาดนี้แม้แต่ตระกูลใหญ่ก็ไม่สามารถรวบรวมได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้น ข้าจึงต้องขอให้ท่านให้เวลาเราบ้าง เราจะจ่ายดอกเบี้ยให้กับพวกท่านทุกปี ส่วนเงินต้นพวกเราจะหาวิธีจ่ายให้ท่าน เรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอแน่นอน ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับข้อเสนอนี้?”

เหมยเชาฟง แอบเล่นเล่ห์เล็กน้อยที่นี่ ในตั๋วหนี้นั้นระบุเอาไว้ว่าเป็นหนี้ของ ซูอัน ไม่ใช่ของตระกูลฉู่ การทำเช่นนี้หากเขาพยายามหลบเลี่ยงหนี้ มันก็จะเป็นการหลบเลี่ยงหนี้ของซูอัน ไม่ใช่ของตระกูลฉู่ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ากันเป็นอย่างมาก

ฉู่ชูเหยียน สังเกตเห็นรายละเอียดนี้เช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาว่าเงินทั้งหมดนี้มันเป็นเงินของ ซูอัน อยู่แล้วดังนั้นนางจึงไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมที่จะระบุไปเช่นนี้ มันจะยิ่งเป็นการไม่เหมาะสมมากกว่าหากนางสั่งให้ เหมยเชาฟง แก้รายละเอียดในตั๋วหนี้ว่าเงินทั้งหมดนี้เป็นของตระกูลฉู่เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงหันไปหา ซูอัน และถามว่า “เจ้าคิดอย่างไร?”

ซูอัน รู้สึกยินดีที่เห็นว่า ฉู่ชูเหยียน หันมาถามความเห็นของเขาก่อน ชายหนุ่มหยิบตั๋วหนี้มาดูและพูดขึ้นด้วยสีหน้าละอายใจว่า “เฮ้อๆ ถ้าท่านเจ้าสำนักเหมยทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เรื่องมันก็คงไม่บานปลายถึงขนาดนี้แล้ว ท่านนี่มันไม่ต่างอะไรกับกระท้อนเลยจริงๆที่ต้องทุบก่อนมันถึงจะออกรสหวาน!”

ท่านยั่วยุ เหมยเชาฟง สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +888!

เหมยเชาฟง แทบจะกระอักเลือดออกมาทันที ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะตระกูลฉู่อยู่ที่นี่ ข้าตัดลิ้นของ ไอ้เด็กเปรตนี่แน่!

เขาเกือบจะพุ่งไปหาซูอันเพราะโดนความโกรธเข้าครอบงำ แต่เมื่อมองไปที่ ฉู่ชูเหยียน และ กองทัพผ้าคลุมสีชาด เขาก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความคับข้องใจของเขาลงไป

ซูอันดูตั๋วหนี้แล้วพูดว่า “หืม? ในนี้ระบุว่าเจ้าจะจ่ายดอกเบี้ยให้ด้วยนี่นา? ก็ดี ๆ เป็นอย่างที่รู้กันอยู่แล้วใช่ไหมว่าข้าเป็นคนที่ชอบเมตตาคน งั้นข้าจะเมตตาเจ้าสักหน่อยก็แล้วกันข้าจะเรียกเก็บดอกเบี้ยเจ้าแค่…1ใน10 ต่อปีก็แล้วกันข้าเชื่อว่าเจ้าคงพอจะจ่ายไหวถูกต้องไหม?”

“ไหวข้าจ่ายไหว!” เหมยเชาฟงตอบกลับพร้อมกับกัดฟันกรอด

อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยอัตรา 1 ใน 10 ต่อปีมันนับว่าไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับเงินกู้ดอกเบี้ยสูงที่สำนักของเขาเรียกเก็บกับชาวบ้าน ทว่าเป็นเพราะเหตุใดไม่รู้เขาจึงรู้สึกสะเทือนใจเป็นพิเศษเมื่อได้ยินประโยคนี้ออกจากปากของ ซูอัน? ไม่ต้องพูดถึง แววตาที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาปนเวทนาของซูอันที่กำลังมองมาที่เขาซึ่งมันทำให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นเหมือนกับขอทานยังไงยังงั้น…

ท่านยั่วยุ เหมยเชาฟง สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +345!

เมื่อได้ยินคำตอบกลับของ เหมยเชาฟง ซูอันก็โบกมือและพูดว่า “ยอดเยี่ยม! ในเมื่อเจ้าตกลงแล้ว ถ้างั้นข้าขอเรียกเก็บดอกเบี้ยของปีนี้ก่อนเลยก็แล้วกัน! 1ใน10 ของ 7,500,000 ตำลึงเงิน เท่ากับ 750,000 ตำลึงเงิน เอาล่ะเจ้าจะจ่ายด้วยแท่งเงินหรือตั๋วเงินดี?”

“…” เหมยเชาฟง

“…” ซ่างเชียน

“…” เซี่ยซิว

“…” ผางชุน