บทที่ 146 อวี๋ฉู่

บทที่ 146 อวี๋ฉู่

คุณชายลู่และคุณชายเซียวเดินอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ได้ว่าเดินผ่านไปกี่ที่ ฝูงชนคึกคักรอบข้างค่อย ๆ หายไป

เมื่อทั้งสองกลับมามีสติ พวกเขาพบว่าถนนหลักตรงหน้าแทบไม่มีผู้คน ประตูร้านทั้งสองฝั่งปิดสนิท ไม่ไกลกันนั้น มีร้านธรรมดายิ่งที่เปิดประตูอยู่

เมื่อมองไกลออกไป พวกเขาพบว่าประตูดังกล่าวมัวหมองยิ่ง เป็นการยากที่จะมองเห็นว่าอะไรอยู่ข้างใน

บนแผ่นป้ายประตู มีเพียงตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘สาขาอาวุธเทพ’

“ที่นี่คืออะไรหรือพี่ลู่?”

เซียวเทียนเกาศีรษะ ราวกับไม่เข้าใจว่าฝูงชนจำนวนมากก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่เหลือเลย?

ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลังขณะตรวจสอบรอบข้าง เขาเบิกเนตรเทวะทันที

สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือค่ายกลค่ายหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นภัยคุกคามแต่อย่างใด ชายหนุ่มถึงขั้นสามารถมองเห็นรอยร้าวได้อย่างชัดเจน

การออกแบบค่ายกลนี้แปลกประหลาดยิ่งเช่นกัน ขอเพียงเดินไปข้างหน้า ก็จะเข้าไปในค่ายกล ขอเพียงเดินถอยกลับมา ก็สามารถออกจากค่ายกลได้

ค่ายกลที่ติดตั้งไว้ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีจุดประสงค์ไว้ทำร้ายผู้คน

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลู่หยวนอยากเดินเข้าไปดู

เขาหันมาถามเซียวเทียนว่า “พี่เซียว ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็มาพักผ่อนกันดีกว่า ลองเข้าไปดูด้วยกันหน่อย?”

เซียวเทียนพยักหน้า ก่อนเดินตรงไปยังประตูที่เปิดอยู่

ลู่หยวนอยู่ห่างจากบุตรแห่งโชคชะตาเผ่ามังกรเพียงครึ่งก้าว ยันต์จารึกฟ้าจำนวนมากถูกใช้จากภายในแขนเสื้อกว้าง

เมื่อทั้งสองก้าวเข้าประตู เกิดเสียง ‘ฟู่’ ดังขึ้น ภายในประตูมืดมิด พลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา เปลวเพลิงสีน้ำเงินอ่อนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากอากาศ ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

เซียวเทียนกุมกระบี่ที่อยู่ด้านหลังทันที พลางมองรอบข้างอย่างระแวดระวัง และถามอย่างเย็นชาว่า “ใครกัน? เลิกเสแสร้งได้แล้ว ทำไมถึงพาพวกข้ามาที่นี่?”

เขาย่อมรู้ว่าตนกับลู่หยวนไม่ได้เข้ามาที่นี่โดยธรรมชาติ สถานที่ปิดตายนี้มีรูปทรงเหมือนกับค่ายกล แสดงว่าใครบางคนต้องล่อให้พวกเขาเข้าามา

“ข้าแค่อยากดูว่า ใครกันที่ซื้อกระเบื้องสีดำไป”

“ถึงอย่างไรการได้พานพบกับลูกหลานของตระกูลลู่และลูกหลานตระกูลเซียวก็นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายนัก”

หลังจากสิ้นเสียง พลันมีคนผู้หนึ่งสาวเท้าออกมาจากด้านหลังร้าน ชายชราผู้ให้ความรู้สึกเหมือนกับเซียนปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสองคน

ชายผู้นี้สวมชุดคลุมเต๋า มีสายตาที่อ่อนโยน ต่อให้ไม่เอ่ยวาจา ใบหน้าของเขาก็คล้ายกับกำลังยิ้มอยู่ ทำให้หัวใจของผู้พบเจอได้รับการปลอบประโลมอย่างน่าประหลาด ก่อเกิดความสงบสุขขึ้นในจิตใจ ไร้ซึ่งโทสะใด ๆ อีกต่อไป

ลู่หยวนจ้องชายชราสักพัก จากนั้นพลันถามว่า “พระพุทธองค์หรือ?”

ชายชราลูบเครา “ผู้น้อยจากตระกูลลู่ช่างมีความรอบรู้เสียจริง”

เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้รับการยืนยันแล้ว เขาจึงยกมือขึ้นคารวะ “เป็นเจ้าสำนักอวี๋นี่เอง”

คนผู้นี้คืออดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์นามว่าอวี๋ฉู่ เพราะคนผู้นี้ชอบฝึกฝนวิถีเร้นลับ สำแดงเจตจำนงแห่งสวรรค์ ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนใบหน้าให้คล้ายกับพุทธองค์ เพียงแค่ได้มอง ก็ทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงได้

ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่า ‘พระพุทธองค์อวี๋ฉู่’

ถึงแม้ลู่หยวนจะยกมือขึ้น แต่เพราะอยู่ในฐานะผู้น้อย ทำให้ในใจของเขารู้สึกยำเกรง

อวี๋ฉู่ผู้นี้นับว่าเป็นปรมาจารย์แห่งแดนมัชฌิม!

ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์ แต่ทุกคนต่างทราบดีว่า เขาผู้นี้คือคนที่ชี้แนะให้บรรพชนเสวียนเกี่ยวกับวิถีเร้นลับ!

อวี๋ฉู่คล้ายกับไม่ได้เตรียมตัวมาโต้เถียงกับลู่หยวนเกี่ยวกับเรื่องของบรรพชนเสวียน ดังนั้นเขาเพียงชำเลืองทั้งสอง จากนั้นสะบัดมือไปด้านข้าง “ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมไม่นั่งลงก่อนล่ะ?”

ถึงแม้เซียวเทียนจะไม่รู้ถึงตัวตนของคนผู้นี้ แต่เขายังคงสัมผัสกลิ่นอายทรงพลังจากอีกฝ่ายได้ ประกอบกับเห็นว่าพี่ใหญ่ให้ความเคารพ เขาจึงลดกระบี่ยักษ์ลง

ชายหนุ่มคลายยันต์จารึกฟ้า ก่อนพยักหน้า

อวี๋ฉู่นำทั้งสองเข้าข้างใน เหล่าคุณชายก็เดินตามไป ก้าวไปไม่กี่ก้าว เกิดแสงใต้เท้าพลันสว่างวาบ ก่อนจะมาถึงสถานที่ว่างเปล่าในลมหายใจต่อมา

ร้านค้าแปลกตาที่เคยมีอยู่พลันกลายเป็นยอดเมฆา

ดวงตะวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าอยู่ไกลลิบ ลอยอยู่บนขอบฟ้า และสาดส่องหมู่เมฆครึ่งหนึ่งจนถูกย้อมด้วยสีแดง

สายลมพัดพา หมู่เมฆม้วนตัวอย่างนุ่มนวล ดูน่าอภิรมย์ยิ่งนัก

ลู่หยวนกับเซียวเทียนยืนอยู่บนแท่นที่มีพื้นผิวเหมือนแก้ว เมื่อมองลงไปก็เห็นทุกสิ่งที่อยู่ด้านล่างผ่านแท่นดังกล่าว

อวี๋ฉู่ยกมือขึ้น แท่นที่เหล่าคุณชายยืนอยู่ก็ล่องลอยไป

ไม่ไกลกันนั้น โต๊ะหินพลันก่อตัวขึ้น มีเก้าอี้หินขนาบซ้ายขวาของโต๊ะหิน ที่ด้านข้างมีต้นท้องอกขึ้นมา

ดอกท้อร่วงหล่นอย่างแผ่วเบาด้วยสายลมพัดพา

อวี๋ฉู่เป็นฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้หินก่อน ลู่หยวนกับเซียวเทียนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ชอบเล่นหมากล้อมหรือไม่?”

พระพุทธองค์ยกมือขึ้นโดยไม่รอคำตอบของชายหนุ่ม เกิดเป็นเส้นจำนวนมากตัดกันบนโต๊ะก่อนกระจายไปตามโต๊ะหิน

กล่องตัวหมากล้อมปรากฏขึ้นในมือทั้งสองคน ลู่หยวนถือตัวหมากล้อมสีดำ ส่วนอวี๋ฉู่ถือตัวหมากล้อมสีขาว

กระดานหมากล้อมพลันก่อตัวขึ้น อวี๋ฉู่มองชายตรงหน้าเช่นกัน เพื่อรอฟังคำตอบ

ลู่หยวนนิ่งสักพัก จากนั้นยิ้มออกมา “ในเมื่อผู้อาวุโสสนใจ เช่นนั้นข้าย่อมขอเล่นกับท่านสักตา!”

หลังจากนั้น เขาก็หยิบตัวหมากสีดำขึ้นมา เป็นฝ่ายวางมันลงไปก่อน

หมากตัวแรกนี้วางบนเทียนหยวน*[1]

ครั้งนี้อวี๋ฉู่ฉายแววประหลาดใจผ่านดวงตาเช่นกัน น้อยคนนักที่จะกล้าวางหมากแรกบนเทียนหยวน!

พระพุทธองค์วางตามลงไป พวกเขาทั้งสองสลับกันวางไปมา

เซียวเทียนรู้เรื่องหมากล้อมไม่มากนัก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายผันผวนที่เป็นของทั้งสองตอนกำลังเล่นหมากล้อมได้

ลู่หยวนเหมือนกับม้าที่กำลังควบไปมา ความรู้สึกราวกับบดขยี้ท้องนภา ต้องการกำราบทุกสิ่งรอบข้างให้ถึงแก่ความตาย

ส่วนกลิ่นอายของอวี๋ฉู่ไม่ได้อหังการ์เหมือนกับของชายหนุ่ม มันทั้งสงบและลึกล้ำ แต่กลับมีจิตสังหารซ่อนเร้นอยู่ ราวกับเสือดาวซ่อนตัวในราตรีมืดมิด คอยแอบมองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างเยือกเย็น รอคอยให้เวลามาถึง ก่อนจะกระโจนออกไปฉับพลัน เพื่อปลิดชีพในคราวเดียว!

ไม่ทราบได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่อวี๋ฉู่วางตัวหมาก ทั่วทั้งกระดานหมากล้อมแทบจะถูกครอบงำ ด้วยการวางของพระพุทธองค์เมื่อครู่ ราวกับมังกรใหญ่ของลู่หยวนที่กำลังจะผงาดถูกกระบี่ผ่ากลางลำตัวในบัดดล

อวี๋ฉู่มองกระดานหมากล้อมตรงหน้าพลางเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าหนูตระกูลลู่ไม่เลว ถึงขั้นสร้างสัมพันธ์อันดีกับชายชราได้ แม้ชายชราจะเอาชนะเจ้าได้ แต่ก็ต้องลงแรงไปไม่น้อย”

“ไม่เลว ๆ”

อวี๋ฉู่คล้ายกับพึงพอใจต่อหมากล้อมกระดานนี้มาก เขากำลังจะเงยหน้ากล่าวบางอย่าง

แต่ลู่หยวนหยิบตัวหมากล้อมขึ้นมาอีกครั้ง เขาถือไว้ในมือ มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา “กระดานนี้ยังไม่ถูกตัดสินเสียหน่อยว่าใครชนะหรือแพ้ ผู้อาวุโสกระตือรือร้นที่จะประกาศผลแล้วหรือ?”

อวี๋ฉู่ได้ยินดังนี้จึงก้มศีรษะลงเพื่อมองกระดานหมากล้อมอีกครั้ง

เขามองซ้ายขวา ลู่หยวนถึงทางตันแล้ว และไม่อาจพลิกอะไรได้อีก

ตอนนี้เอง บุตรศักดิ์สิทธิ์วางตัวหมากสีดำลงไป!

มังกรหลับในตอนแรกพลันผงาดขึ้นมา ตัวหมากสีขาวบางส่วนของอวี๋ฉู่ก็ถูกกิน

พระพุทธองค์มองตัวหมากสีขาวที่ถูกจัดการจนแพ้พ่าย ผ่านไปสักพัก เขาพลันยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนูช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก รอบนี้ข้าแพ้แล้ว”

[1] ตำแหน่งกลางกระดาน