จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 132
แตะถูกชายขอบของขั้นจักรวาล
บุคคลเช่นนี้ย่อมเป็นตัวตนสุดทรงพลังภายในสํานักเทียนจี้ขุมกําลังของกลุ่มอู่เทียนย่อมไม่อ่อนแออย่างแน่นอนบางที่อาจมีฉินเทียนเพียงผู้เดียวที่กล้าปฏิเสธคําชักชวนด้วยตนเองจากนายน้อยอู่เทียน
ความแข็งแกร่งของกลุ่มชิงเทียนเองก็แน่นอนว่ายอดเยี่ยมยิ่ง ฉินเทียนเองก็กริ่งเกรงอยู่บ้าง
กระนั้นการเข้าร่วมกับกลุ่มอู่เทียนเพียงเพราะต้องการขอรับความคุ้มครองกลับไม่ก่อประโยชน์สักเท่าใด ถ้าหากกลุ่มชิงเทียนต้องการจะฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนไม่ปลอดภัย
ยิ่งกว่านั้นฉันเทียนยังตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะยึดครองสํานักเทียนจี่แห่งนี้
ตัวเขามีแหวนประมุขอยู่ในมือ ในภายหน้าไม่เพียงแต่กลุ่มชิงเทียน กระทั่งผู้คนทั้งสํานักก็นับเป็นคนของเขา ที่ต้องกระทําก็เพียงสังหารหลงเสี่ยวเทียน เมื่อหลงเสี่ยวเทียนตกตายทุกประการก็ราบรื่นแล้ว
จะกลุ่มชิงเทียนหรือกลุ่มอู่เทียน ถึงตอนนั้นทั้งหมดยังไม่ใช่ต้องคุกเข่าก้มหัวให้กับเขาหรอกหรือ? หากมีผู้ใดไม่เชื่อฟังย่อมถูกเขาทุบตีจนตาย
ฉินเทียนนั้นมีความทะเยอทะยานอย่างมาก
เมื่อนายน้อยอู่เทียนจากไป ผู้อาวุโสอินเว่ยก็ราวกับได้รับพระราชทานอภัยโทษ เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างยากลําบาก สายตาจดจ้องมองฉันเทียนอย่างอาฆาตแค้น กระนั้นก็ยังขบคิดไม่เข้าใจจิตเจตนาของฉันเทียน ปฏิเสธคําชักชวนจากอู่เทียน ปล่อยให้โอกาสอันหาได้ยากหลุดลอยไป สมองของคนผู้นี้ใช่มีปัญหาแล้วหรือไม่?
เมื่อเข้าร่วมกลุ่มอู่เทียน ชีวิตน้อยๆของเขาก็นับว่าสามารถเก็บกลับไป แต่หากไม่เข้าร่วมฉินเทียนก็คงอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่น้ํา
อินเว่ยหรี่ตาลงพลางกล่าวว่า “อย่าคิดว่ากลุ่มอู่เทียนยินดีช่วยเจ้าแล้วข้าจะไม่กล้าทําอย่างไรกับเจ้า กลุ่มชิงเทียนเปรียบเสมือนดวงจันทร์ กลุ่มอู่เทียนกลับเป็นเพียงดวงดาวแสงดาวหรือจะสู้ แสงจันทร์ รอจนประมุขน้อยบรรลุขั้นจักรวาล อู่เทียนก็ทําได้เพียงงอมือรอรับความตายเท่านั้น”
ทั้งคู่ต่างก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นจุติ แต่เทียบในด้านเชิงยุทธ์แล้ว ประมุขน้อยหลิวชวงหานยังลึกล้ํากว่า แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ทั้งสองต่างก็ไม่กล้าทุ่มสรรพกําลังเข้านั่นกัน
ดังนั้นการบรรลุขั้นจักรวาลจึงกลายเป็นตัวตัดสิน
เสือสองตัวอยู่ในถ้ําเดียวกันไม่ได้ ช้าเร็วญ์เทียนและหลิวชวงหานย่อมต้องต่อสู้กัน หากว่าหลงเสี่ยวเทียนไม่ปรากฏตัวขึ้นหยุดยั้งล่ะก็นะ….
ฉินเทียนยิ้มบางก่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสอินเว่ย ไฉนท่านไม่เก็บออมกําลังไว้ดูแลตัวเองก่อนเล่า? พยายามประคองสติต้านทานนายน้อยอู่เทียนจนหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีพลังปราณให้ใช้ออกหรือยังเป็นคู่ต่อสู้ข้าได้?”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสอินเว่ย กระทั่งหกผู้คุ้มกันที่อยู่ระดับสูงสุดขั้นกลั่นวิญญาณก็ยังไม่หลงเหลีอกําลังตอนนี้ขอเพียงฉินเทียนออกแรงสักเล็กน้อย คนเหล่านี้ย่อมไม่อาจต้านทาน
ไม่มีพลังปราณ ต่อให้มีวิชาล้ําเลิศก็ไม่อาจใช้ออก
นับตั้งแต่ที่อู่เทียนปรากฏตัวขึ้น ฉุนเทียนก็ใช้กลิ่นอายนักล่าจับจ้องอยู่ที่ผู้อาวุโสอินเว่ย อินเว่ยในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ที่ไร้เขี้ยวเล็บ ไม่ต้องกล่าวถึงการยกมือวางท่า กระทั่งที่ยังยืนขึ้นได้นี้ก็นับว่าเสแสร้งถึงที่สุดแล้ว
ใบหน้าของผู้อาวุโสอินเว่ยมืดครึม คิดไม่ถึงว่าจะถูกอีกฝ่ายดูออก “เจ้าทราบได้อย่างไร?”
“มองออกอย่างไรไม่สําคัญ ที่สําคัญคือข้าต้องการแลกเปลี่ยนคุณสมบัติเป็นศิษย์สายในเดียวนี้ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอินเว่ยจะใจกว้างช่วยเป็นธุระให้ได้หรือไม่?” ฉุนเทียนจ้องมองอินเว่ยพลางเผยยิ้ม จากนั้นก็ก้าวเท้าออกครึ่งก้าว มือคว้าเข้าที่ลําคอของผู้อาวุโสอินเว่ย ปราณเพลิงสีดําไหลออกมาม้วนพันแขนของผู้อาวุโสอินเว่ยเอาไว้
ฉุนเทียนประหลาดใจ พลังเทพแห่งความมืดทําลายล้างนี้ราวกับถูกสร้างมาเพื่อเขา พลังแห่งความมืดสามารถหลอมรวมเข้ากับตันเถียนของเขาได้โดยสมบูรณ์ ทําให้เขาสามารถปลดปล่อยรังสีหวาดกลัวได้ดังใจ
” พลังแห่งความมืด จะ…เจ้าเจ้าฝึกฝนทักษะเทพแห่งความมืดทําลายล้างได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสอินเว่ยจ้องมองฉันเทียนด้วยความตะลึง
ม้วนคัมภีร์เทพแห่งความมืดทําลายล้างได้ระเบิดเป็นฝุ่นผงไปยามที่หวังซีบรรลุขั้นสวรรค์ตอนนั้นอินเว่ยเห็นด้วยสองตาของตน
นี่เป็นม้วนคัมภีร์ที่ในสํานักเทียนขี่มีอยู่เพียงฉบับเดียว ไม่มีผู้ครอบครองอื่น
พลังแห่งความมืดที่ฉินเทียนปลดปล่อยออกมาแน่นอนว่าต้องเป็นเทพแห่งความมืดทําลายล้างผู้อาวุโสอินเว่ยย่อมคุ้นเคยกับกลิ่นอายของมันดี
” ช่างแสนรู้เสียจริง” ฉุนเทียนคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสอินเว่ยมองเพียงปราดเดียวก็เข้าใจได้กระนั้นสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ในเมื่อทราบว่าเป็นเทพแห่งความมืดทําลายล้าง เช่นนั้นก็คงทราบกระจ่างถึงพลังของมันดีกระมัง? ต้องการลองดูหรือไม่?”
พลังแห่งความมืดที่ฉินเทียนแสดงออกย่อมต้องเป็นพลังที่ดัดแปลงมาจากเทพแห่งความมืดทําลายล้างที่มีพลังกลืนกินสุดแข็งแกร่ง พลังนี้เปรียบดั่งหลุมดําที่สามารถกลืนกินสรรพสิ่ง สิ่งของวัตถุที่ถูกกลืนกินเข้าไปล้วนไปโผล่ยังสถานที่อันไม่แน่ชัด
แต่มีข้อหนึ่งที่สามารถวางใจได้ นั่นคือ สิ่งที่ถูกกลืนกินเข้าไปล้วนไม่อาจกลับออกมาเป็นครั้งที่สอง
นี่ก็คือทักษะเทพแห่งความมืดทําลายล้าง เป็นพลังสุดน่าพรั่นพรึงของราชาแห่งยมโลก
ผู้อาวุโสอินเว่ยตัวสั่นเทา ตอนนี้ตันเถียนของเขากลวงว่าง ไม่มีพลังปราณให้ใช้ออกแม้สักหยดแม้ตัวเขาจะอยู่ในระดับสามขั้นสวรรค์ ที่ครอบครองพลังสวรรค์อันแข็งแกร่ง แต่หากไม่มีพลังปราณ เขาก็ไม่ต่างอะไรจากลูกไก่ในกํามือของฉันเทียน
” แลก…ข้าจะช่วยแลก!”
ใบหน้าของผู้อาวุโสอินเว่ยเขียวคล้ําอย่างโกรธแค้น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด
พลังแห่งความมืดแข็งแกร่งยิ่ง ฉินเทียนยังไม่เข้าใจมันดี และนี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ออก กระนมองดูแววตาที่แฝงความกลัวอย่างสุดซึ้งของผู้อาวุโสอินเว่ยแล้ว เขาก็ทราบว่าทักษะนี้ต้องไม่ธรรมดา
แน่นอนว่ามันย่อมไม่เพียงไม่ธรรมดาเท่านั้น
กลุ่มชิงเทียนมีผู้ดูแลอยู่สิบสองคน แต่ละคนล้วนฝึกฝนทักษะทรงพลัง หากทั้งสิบสองคนลงมือโจมตีพร้อมกัน พลังที่ออกมาย่อมอยู่เหนือจินตนาการ นี่ก็คือไม้เด็ดที่หลิวชวงหานเตรียมไว้ใช้กําจัดอู่เทียนทว่ากลับมาถูกฉุนเทียนทําลายลงเสียก่อน
มองอีกมุมหนึ่งแล้ว นายน้อยอู่เทียนนับว่าติดค้างน้ําใจฉินเทียนครั้งหนึ่ง
“อย่างน้อยก็ยังรู้สถานการณ์” ฉุนเทียนนําป้ายประจําตัวออกมา “แต้มผลงานหนึ่งแสนแต้มเอาออกมากกว่านั้น เจ้าทราบผลลัพธ์ดี”
ผู้อาวุโสอินเว่ยไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคํา ผู้คุ้มกันหกคนนั้นก็ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการฟื้นฟูปราณ ทั้งหมดต่างก้มหน้าลงต่ํา ไม่กล้ามองดูฉินเทียน
ต้องก้มหัวรับคําสั่งจากผู้บ่มเพาะระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณผู้หนึ่ง ในใจอินเว่ยย่อมเดือดดาลยิ่งหากใช้การมองดูฆ่าคนตายได้ ฉุนเทียนแน่นอนว่าคงตายไปเป็นพันๆครั้ง
ไม่นานผู้อาวุโสอินเว่ยก็นําป้ายหยกออกมาอันหนึ่ง บนป้ายสลักคําว่า ศิษย์สายใน” เอาไว้
หลังจากรับป้ายหยกประจําตัว ฉุนเทียนก็เก็บรั้งพลังความมืดกลับและแค่นเสียง ”วันนี้บิดาจะละเว้นเจ้าไปก่อน หากครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก มันจะไม่จบลงเช่นครั้งนี้แน่”
เมื่อกล่าวสิ่งที่ต้องกล่าว กระทําสิ่งที่ต้องทําไปแล้ว เขาก็ออกจากหอภารกิจไป
หากรอให้ผู้อาวุโสอินเว่ยและคนของเขาฟื้นฟูพลังกลับมา ตัวเขาคงยากจะออกไปแล้ว
หลังจากได้รับป้ายประจําตัวศิษย์สายใน ฉุนเทียนก็มีความสุข ตอนนี้เขาสามารถรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับโลกมิติต่างๆได้แล้ว ตอนนี้เขาเพียงต้องการเร่งบรรลุถึงขั้นสวรรค์โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะกลับมาตอบแทน” ผู้อาวุโสอินเว่ยอย่างสาสม
ฉินเทียนกลับไปยังที่พักของศิษย์ประตูหวง เก็บข้าวของแล้วก้มุ่งตรงไปยังส่วนที่พักของศิษย์สายใน
ระหว่างทางก็คิดถึงเงาร่างของยี่เชียนหานขึ้นมา หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็แวะไปยังประตูเตอ
หลินหยานและกลุ่มของเขาล้วนแต่เป็นมิตรสหาย เขาย่อมต้องไปกล่าวอําลาสักเที่ยว
“หลินหยาน เจ้าได้เงินจากสงครามชิงอํานาจมามากมายไม่ใช่รึ ทําไมไม่แบ่งให้พวกข้าบ้างเล่า?”
ศิษย์ประตูเทียนกลุ่มหนึ่งล้อมหลินหยานเอาไว้พลางกล่าวหยอกเย้า
“ไม่แบ่งก็ไม่เป็นไร โฉมงามน้ําแข็ง ท่านไปช่วยคลายทุกข์ให้กับพวกเราเหล่าพี่น้องก็แล้วกัน”
“ฮ่าๆ………….”
ศิษย์เหล่านี้ทราบว่าหลินหยานมีข้อบาดหมางกับหยางฮั่น ดังนั้นที่มาวันนี้ย่อมต้องมาหาประโยชน์สักรอบหนึ่ง
ยี่เชียนหานกําหมัดขณะที่จิตสังหารเริ่มก่อตัวขึ้นมา
” เชียนหานอดทนไว้” หลินหยานกัดฟันกล่าว จากนั้นจึงหันไปจ้องกลุ่มสิษย์ที่ล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ”เป็นหยางฮั่นส่งพวกเจ้ามา?”
ได้ยินวาจาเอ่ยถึง หยางฮั่น” ยี่เชียนหานก็แทบสะกดกลั้นตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป ฝ่ามือพลิกวูบหนึ่งกระบี่ยาวก็ปรากฏในมือ นางสะบัดกระบี่ชี้ไปยังศิษย์ในกลุ่มผู้หนึ่ง “ไป!”
“โอ้โห อารมณ์ร้ายไม่เบา รอให้บิดาควบขี่เจ้าจนหนําใจก่อนเถอะ ดูว่าตอนนั้นแข้งขายังจะยืนได้มั่นหรือไม่? ฮ่าๆๆ” ศิษย์ชุดขาวนั้นพับม้วนแขนเสื้อพลางยิ้มอย่างชั่วช้าลามก
“จะมากไปแล้ว!” ฉางเฟิง ฟางขุย และเสวี่ยติงซานต่างร้องขึ้น ตระเตรียมลงมือ
“หาที่ตาย” ศิษย์ชุดขาวนั้นนั้นแค่นเสียง ”เศษสวะขั้นรวบรวมวิญญาณก็ข้ามาจองหองต่อหน้าข้า”
เมื่อใช้ออกด้วยพลังขั้นกลั่นวิญญาณ ร่างจําแลงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา เป็นจังหวะเดียวกันที่หลินหยานลงมือ
แต่หลินหยานเพียงอยู่ระดับสองขั้นกลั่นวิญญาณ จะสู้อีกฝ่ายที่อยู่ระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณได้อย่างไร?
ทั้งห้าคนลงมือพร้อมกัน ทว่าก็พ่ายแพ้ด้วยกระบวนท่าเดียวของชายชุดขาว
“ฮ่าๆ
” ศิษย์ชุดขาวยกเท้าเหยียบอกหลินหยาน ล้วนแต่เป็นสวะที่ใช้การไม่ได้จริงๆ”
“สหายทั้งหลาย ช่วยข้ามัดยี่เชียนหานและให้ข้าลิ้มลองนางก่อน บิดาอยากจะรู้นักว่าหลังจากถูกขี่ซ้ําแล้วซ้ําเล่า นางยังจะมีท่าทางเย็นชาเช่นนี้อยู่อีกรีไม่ ฮ่าๆ
บนถนนในยามค่ําคืน เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมด้วยจิตสังหาร.