จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 133

หลังสงครามชิงอํานาจจบลง หลินหยานก็คิดว่าคืนวันข้างหน้าจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น

พวกเขาได้รับแต้มผลงานกว่าเจ็ดหมื่นแต้ม รวมกับแต้มผลงานที่สะสมเอาไว้ในอดีต ตอนนี้แต้มผลงานทั้งหมดที่มีก็มีราวๆหนึ่งแสนแต้ม สําหรับกลุ่มของหลินหยานแล้ว นี่นับเป็นจํานวนที่มากมายมหาศาล

เมื่อมีแต้มผลงานจํานวนนี้ หนึ่งในพวกเขาก็สามารถเข้าเป็นศิษย์สายใน

แต่พวกเขาก็คาดคิดไม่ถึงว่าหลังแยกกับฉินเทียนได้เพียงไม่นาน พวกเขาก็ถูกกลุ่มศิษย์ประตูเทียนล้อมเอาไว้

หลังมาถึงบริเวณที่ไร้ผู้คน ศิษย์กลุ่มนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น

ศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ก็อยู่ระดับสองขั้นกลั่นวิญญาณแล้ว กลุ่มของหลินหยายย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้

หลินหยานต้องถูกศิษย์จากประตูเทียนรังแกมาเนิ่นนานหลายปี ความโกรธที่สุมไว้ในอกย่อมมากเกินบรรยาย หากมีโอกาส เขาจะต้องสังหารหยางฮั่นให้ได้โดยไม่คํานึงถึงผลที่จะตามมาต่อให้ต้องจ่ายด้วยชีวิตก็ตาม!

แต่เมื่อหยางฮั่นกลายเป็นบุตรเขยของประมุขตําหนักหนานกงสี่ เขาก็ทราบดีว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ระบายความคับแค้นนี้ออกไปอีกแล้ว

การกดขี่ของกลุ่มชิงเทียนแทบจะทําให้กลุ่มของหลินหยานไม่มีเวลาหายใจหายคอ รวมกับแรงกดดันจากทางตําหนักเทียนหยางด้วยแล้ว กลุ่มของเขาย่อมไม่มีวันหลุดพ้นจากนรกขุมนี้

หลินหยานที่ถูกเหยียบย่ําใต้ฝ่าเท้าเห็นเหล่าสหายถูกซ้อมอย่างทารุณ ในใจก็อัดแน่นด้วยความแค้นเขาเกลียดตัวเอง เกลียดที่ไม่สามารถปกป้องคนรอบตัว เขาไม่คู่ควรกับการเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม

หลายปีมานี้ ทั้งหมดติดตามเขาโดยไม่มีวันใดที่ไม่เจอเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ

ดวงตาของหลินหยานแดงก่ําพลางกัดฟันกรอด พลังปราณปะทุออกพร้อมจิตสังหาร

“โอ้? ยังมีแรงเหลืองั้นรึ?” ศิษย์ชุดขาวยิ้มเยาะก่อนจะใช้เท้ากระทืบไปที่ศีรษะของหลินหยานพลางแผ่กลิ่นอายออกสะกดจิตสังหารของหลินหยานเอาไว้ “ระดับสองขั้นกลั่นวิญญาณก็กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า ช่างไม่เจียมตัวเลยจริงๆ”

ปากจมูกของหลินหยานเต็มไปด้วยคราบดิน ภายใต้แรงกดดันที่ทับโถม หลินหยานไม่อาจขยับแม้สักนิ้ว น้ําตาเริ่มรินไหลจากหางตา ในใจเจ็บปวดที่ไม่อาจระบายแค้น ยิ่งคิดน้ําตาก็ยิ่งไหลออกมา

เจ็บปวดทางกายไม่นับเป็นอย่างไร ที่เจ็บกว่าคือเจ็บใจ

เผชิญหน้ากับระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณ หลินหยานทําอะไรไม่ได้จริงๆ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะดิ้นรนเสียด้วยซ้ํา

ฉางเฟิง ฟางขุย ที่ได้เห็นสภาพของหลินหยานก็อดน้ําตาไหลออกมาไม่ได้ พวกเขาโกรธต้องการรวมกําลังเข้าต้าน แต่เพียงกลิ่นอายของอีกฝ่ายเพียงคนเดียวก็สะกดพวกเขาไว้ได้แล้ว

” ปล่อยพวกเขา…”

น้ําเสียงอันเย็นเยียบพลันดังขึ้น

“ข้าบอกให้ปล่อยพวกเขา”

วาจาแฝงไว้ด้วยจิตสังหารอย่างเปี่ยมล้น น่าสะพรึงไม่ต่างจากเสียงของปีศาจจากนรก

ศิษย์ชุดขาวหันหน้าไปทางต้นเสียง มองดูเงาร่างที่เดินใกล้เข้ามาศิษย์ชุดขาวแค่นเสียงคราหนึ่งก่อนจะถ่มน้ําลายลงพื้นถัยเป็นตัวบัดซบใดกล้าสอดมือยุ่งธุระของบิดา…”

ก่อนจะทันได้กล่าวจนจบประโยคเงาร่างเย็นเยียบนั้นก็พุ่งเข้ามาเกิดเสียง “ฟุบ” ขึ้นคราหนึ่งเงาร่างนั้นก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของศิษย์ชุดขาว

“โพละ!”

ศีรษะหัวหนึ่งระเบิดออกราวลูกแตงโม

ร่างของศิษย์ชุดขาวที่บัดนี้ไร้ศีรษะพลันมีโลหิตฉีดพุ่งออกร่างไร้หัวโงนเงนชั่วขณะก่อนจะล้มฟุบไปบนพื้น

สังหารระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณในพริบตา!

เป็นความเร็วที่เหนือคําบรรยาย ศิษย์คนอื่นๆต่างตอบสนองไม่ทันเวลานี้จึงได้แต่เหม่อมองศพที่ไร้หัว จากนั้นสายตาหลายคู่จึงเลื่อนไปจ้องจับยังเงาร่างดุจมัจจุราชนั้น ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด เหงื่อเย็นไหลเต็มแผ่นหลัง

จิตสังหารอันเข้มข้นทําให้พวกเขาไม่อาจขยับเคลื่อนไหว ทําได้เพียงแต่สั่นอยู่กับที่เท่านั้น

” จะเจ้า…เจ้าเป็นใคร?”

” พะ..พวกเราเป็นศิษย์ประตูเทียนนะ!ยังมี..พวกเรายังเป็นสมาชิกกลุ่มชิง เทียน.”

“โพละ!”

ศิษย์ที่กล่าววาจาพลันหัวระเบิดกระจุย

ศิษย์ที่หลงเหลืออีกสี่คนหวาดกลัวจนแทบลมจับ เสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ไม่มีสักคนที่กล้าหายใจแรง

กลุ่มของหลินหยานค่อยๆลุกขึ้น สายตามองไปยังร่างของผู้มาใหม่ด้วยสายตาสํานึกขอบคุณ

การแสดงออกของยี่เชียนหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางกระพริบตาก่อนจะเริ่มส่งเสียงสะอื้นนางทราบว่าครั้งนี้ตนได้รับการช่วยเหลือจากฉันเทียนอีกครั้งแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานางหาวิธีจะตอบแทน สุดท้ายกลับจบลงด้วยการติดค้างหนี้น้ําใจเพิ่ม บางทีชั่วชีวิตนี้นางอาจไม่มีโอกาสได้ตอบแทนแล้ว

“เป็นเจ้า?” ยี่เชียนหานถามขึ้นเบาๆด้วยความดีใจ

ในใจนางมั่นใจยิ่งว่าเงาร่างนั้นก็คือฉุนเทียน กระนั้นนางก็ยังเอ่ยถามออกไป นางเองก็ไม่ทราบว่าไฉนจึงเอ่ยถามออกไปแบบนั้น

ฉุนเทียนพยักหน้าให้

พลังแห่งความมืดถูกปล่อยออกมาบดบังแสงจันทร์จากท้องฟ้า ศิษย์ประตูเทียนที่เหลือสี่คนพลันถูกจับใส่กรงขัง ท้องฟ้ายามค่ําคืนที่มีดอยู่แล้วยิ่งมืดลงจนแทบจะไม่อาจมองเห็นพื้นที่เป็นหนึ่งเมตร พวกศิษย์ทั้งสี่สั่นสะท้านราวกับรู้ชะตากรรม

พวกเขาเริ่มตะโกนกรีดร้องสุดเสียง หวังให้มีคนมาช่วย

ช่วยด้วย!…ช่วยด้วย!..”

” พวกเราเป็น…

ศิษย์ประตูเทียน.เจ้าฆ่า…เราไม่ได้…”

“กลุ่มชิงเทียนจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

“ขอร้องล่ะ…ไว้ชีวิตข้าด้วย…”

ฉุนเทียนก้าวเท้าออกเดินพลางยกมือขึ้น พลังแห่งความมืดยังคงไหลหลั่งจากร่าง ความรู้สึกที่กําลังคว้ากุมชะตาชีวิตของผู้อื่นอยู่นับว่ายอดเยี่ยมอย่างที่สุด พลังแห่งความมืดจากนรกได้กระตุ้นความโหดเหี้ยมของเขาขึ้นมา

ฉินเทียนแสยะยิ้มเย็น มือทั้งสองตวัดลงข้างลําตัวพลางกล่าวว่า “ตาย!”

ภายในกรงขังแห่งความมือที่ขังศิษย์ทั้งสี่อยู่พลันบังเกิดหลุมดําขึ้นมา แรงดึงดูดอันมหาศาลค่อยๆดูดร่างของศิษย์ทั้งสี่เข้าไป

“อ๊าาาาาาาาก”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบราวกับไม่เคยเกิดเรื่อง

แม้แต่หยดเลือดและศีรษะสองหัวก็ถูกดูดเข้าหลุมดําไปโดยไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้เบื้องหลัง

“มารดามันเถอะ พลังแห่งความมืดทําลายล้างนี้กินปราณไปแล้ว ใช้ออกแต่ละครั้งต้องจ่ายด้วยพลังปราณสองหมื่นจุด แต่ว่าพลังของมันก็สุดยอดจริงๆ เหอะๆ”

“ฉินเทียน?!” หลินหยานกระเพลกเข้ามา ในแววตาแฝงแววสํานึกขอบคุณ

ฉางเฟิงและคนอื่นๆก็เดินตามมา ทิ้งให้ยี่เชียนหานยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นางกัดฟันพยายามไม่หลั่งน้ําตาออกมา กระนั้นกลับไม่สําเร็จ สุดท้ายสตรีเยือกเย็นและเข้มแข็งก็ไม่สามารถอดกลั้นน้ําตาไว้ได้อีก

ฉินเทียนหัวเราะ “พี่หลิน ข้ามาช้าไป”

ฉินเทียนเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อัศวินขี่ม้าขาวเข้าช่วยเจ้าหญิงเป็นเพียงเรื่องราวประโลมโลกเท่านั้น ฉุนเทียนหัวเราะเขื่อนก่อนจะหันมองไปทางยี่เชียนหาน หัวใจของเขากระตุกเมื่อเห็นว่านางได้รับบาดเจ็บ

หลินหยานทิ้งร่างลงคุกเข่า

การกระทํานี้กระตุ้นให้ฉางเฟิง ฟางขุย และเสวี่ยติงซานคุกเข่าลงเช่นกัน

ความอัปยศอดสู ความเหยียดหยาม และความไม่ยุติธรรมที่ได้รับมานับไม่ถ้วนทําให้พวกเขาไม่อาจสะกดอดกลั้นได้อีกต่อไป พวกเขาไม่อาจอดกลั้น แต่พวกเขาก็ไร้ซึ่งกําลังจะทําสิ่งใด พวกเขาต้องการจะแข็งแกร่งขึ้น ไฟปรารถนาที่จะแข็งแกร่งได้ลุกโชนท่วมท้นหัวใจ

ฉินเทียนผงะ ต่อการแสดงออกของพวกหลินหยาน ฉุนเทียนเข้าใจได้ นี่เป็นสีหน้าเดียวกันกับตอนที่เขาถูกฉินคุนกดขี่ ตอนนั้นเขาเพียงปรารถนาจะแข็งแกร่งขึ้น ฉุนเทียนเดินเข้าไปพยุงร่างหลินหยานขึ้นมา ” พี่หลิน พวกท่านทําอะไรกัน? ลุกขึ้นกล่าววาจาเถอะ”

“ฉินเทียน โปรดช่วยให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นด้วย” หลินหยานแน่นิ่งไม่ขยับราวกับมีรากงอกเงยยึดอยู่ในดิน ดวงตาอันแน่วแน่จ้องสบสายตากับฉุนเทียน

“โปรดช่วยให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นด้วย!” ฉางเฟิง ฟางขุย เสวี่ยติงซานล้วนตะโกนตาม

ขณะเดียวกันยี่เชียนหานก็เดินมาหาฉุนเทียน นางปาดเช็ดน้ําตาบนใบหน้า ก่อนจะย่อตัวลงคุกเข่า”โปรด… ”

” พวกท่าน…ลุกขึ้นก่อนเถอะ” ฉุนเทียนรู้สึกเจ็บปวดยามมองยี่เชียนหาน เมื่อทั้งห้าค นต่างคุกเข่าลงฉุนเทียนก็มือไม้ปั่นปวน ไม่ทราบควรทําเช่นไร

หลินหยานและคนอื่นๆต่างนิ่งไม่ขยับ แววตาของทุกคนล้วนฉายประกายมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า

เพียงหนึ่ง ฉินเทียนที่ทะลวงจากระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณขึ้นมาอยู่ระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณความรวดเร็วเหนือความเข้าใจนี้ทําให้ในใจพวกเขายึดถือฉุนเทียนเป็นดั่งเทพเซียน

อาศัยกําลังของพวกเขาเพียงลําพังนั้นเชื่องช้ายิ่ง วิธีการที่นึกออกก็คือการพึ่งพาฉุนเทียน

ฉินเทียนคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้

เมื่อเห็นสีหน้าที่มุ่งมั่นของพวกเขาแล้ว สุดท้ายฉุนเทียนก็พยักหน้า