บทที่ 136 เรื่องราวของหลู่ชิง

ถังหลี่กอดและตบหลังปลอบโยนนางเบาๆ

“ถังถัง วันนั้นเป็นวันที่ข้าเสียใจอย่างที่สุด บิดาเสียชีวิตมารดาก็ล้มป่วย ข้าต้องแบกรับทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว งานศพท่านพ่อข้ายังจัดการไม่เสร็จดี ทันทีที่เจอหน้า เขาก็พูดขึ้นว่าให้ข้ามอบเป่าชิงเก๋อให้ลุงเขา เขาจะสวมชุดกระสอบและกตัญญูต่อพ่อข้า”

“ท่านพ่อยกย่องเขาเสมอถึงความกตัญญูและน่าเชื่อถือ แต่เขากลับทำเช่นนั้นกับข้า”

นั่นคือวันที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของหลู่ชิง นางดิ้นรนเพื่อที่จะประคับประคองกิจการของบิดาสุดกำลัง ต่อมาไม่นานมารดาก็ล้มป่วย หากนางเป็นอะไรไปหลู่ชิงจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร

ถังถังคือคนที่เข้ามาช่วยชีวิตและฉุดนางขึ้นมาจากหลุม

ถังถังคือแสงสว่างเดียวในชีวิตของนาง

หลู่ชิงกอดถังหลี่แน่น ความสับสนของนางเริ่มเบาบางลง ที่จริงแล้วหลู่ชิงไม่ได้ชอบพอชายหนุ่มแล้ว ตอนนี้นางเพียงแต่รู้สึกโกรธว่าเหตุใดหวางช่างชูจึงแสดงออกว่ารักใคร่นางเพียงนั้น?

“อาชิง! ขยะก็ควรทิ้งลงขยะ เจ้าอย่าคิดมากเลย” ถังหลี่กล่าว

หลู่ขิงได้ฟังก็ขบขัน

ใช่ขยะ!

หวางช่างชูคือขยะ!

คำนี้เหมาะมาก

หลังจากที่ได้ยินถังหลี่พูด ความเศร้าของนางก็บรรเทาลง

…..

หวางช่างชูยืนตกตะลึงอยู่หน้าบ้านตนเอง

อาชิงเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้อย่างไร?

ใช้คำพูดที่ดูไร้หัวใจเช่นนั้นกับเขา

หวางช่างชูใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะได้อยู่กับอาชิง เขาเกลี้ยกล่อมมารดาไม่ให้รังเกียจที่นางทำการค้า จนท่านแม่เองก็ยอมรับแล้วในตอนนี้…แต่ทว่าเหตุใดอาชิงถึงยังโกรธเคือง จนไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก ?

หวางช่างชูรู้สึกอึดอัดใจมาก เขาอยากจะปล่อยนางไปแต่ในใจก็ยังคิดถึงนางอยู่เสมอ เมื่อหลับตาลงก็เห็นแต่ภาพของหญิงสาวที่ไร้เดียงสาในวันวาน

เสียงหม้อยาที่เดือดเรียกสติของเขากลับคืนมาอีกครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็อยู่ในสายตาของนางตู้ มารดาของหวางช่างชู

…….

หลู่ชิงและถังหลี่ไปที่โรงงานด้วยกัน เมื่อสบายใจแล้วหลู่ชิงก็กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง นางตั้งใจสั่งงานลูกน้องในโรงงานให้เริ่มงานทันที กิจการของเป๋าชิงเก๋อมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องขยายพื้นที่ของโรงงานครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ในโรงงานของเป่าชิงเก๋อมีคนงานมากกว่าห้าสิบคนแล้ว

เพื่อความสะดวกและเป็นระเบียบในการทำงาน ในแต่ละหน่วยงานจะมีหัวหน้าคอยควบคุม และมีหัวหน้าทั่วไปอีกหนึ่งคนที่จะขึ้นตรงกับหลู่ชิง วิธีนี้ของถังหลี่ทำให้ทุกอย่างสะดวกมากขึ้น

“ถังถัง ข้ามีความสุขมากที่ได้ทำงานเช่นนี้ หากข้าไม่ได้แต่งงาน ข้าจะทำงานเช่นนี้ได้อยู่หรือไม่?” หลู่ชิงโน้มตัวไปหาถังหลี่และถามนางอย่างกระตือรือร้น

ตอนนี้ลู่ชิงอายุสิบแปดปี ถือได้ว่าอายุไม่น้อยแล้ว และเมื่อคนใกล้ตัวกดดันเรื่องการแต่งงานทำให้นางไม่พอใจจนเอ่ยปากบอกกับมารดาไปตรง ๆ ส่งผลให้มารดาถึงกับร้องไห้หนักมาก นางพร่ำบอกลูกสาวว่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวหลู่ชิงเอง นางกลัวว่าหากวันหนึ่งนางจากไปแล้ว หลู่ชิงจะต้องอยู่บนโลกนี้ตามลำพัง

อย่างไรก็ตามหากนางต้องแต่งงานกับหวางช่างชูจริง ๆ หลู่ชิงต้องคอยปรนนิบัติสามีและมารดาของเขา ชีวิตนี้จะไปมีความหมายอันใด? นางไม่ต้องการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ปรนนิบัติสามีดูแลลูกเท่านั้น หลู่ชิงต้องการออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่ใช่เป็นเพียงสตรีในห้องหอ

“หากไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง อยากแต่งเมื่อใดค่อยแต่ง”

“แล้วถ้าข้าไม่อยากแต่งงานเล่า?” หลู่ชิงถาม

“เช่นนั้นก็จะไม่ต้องแต่งงาน” ถังหลี่กล่าว

ดวงตาของหลู่ชิงเป็นประกาย

ถังถังก็คิดเช่นเดียวกับข้า!

“ถ้าเจ้าพบใครสักคนที่อยากแต่งงานด้วย ข้าเกรงว่าวัวแปดตัวก็รั้งเจ้าไว้ไม่อยู่” ถังหลี่ดีดหน้าผากหลู่ชิงเบา ๆ

“ข้าไม่แต่ง!” ใบหน้าของหลู่ชิงแดงก่ำ

“อาชิงเจ้าอย่ายอมแต่งงานเพราะว่าต้องแต่ง แต่ให้แต่งเมื่อเจ้าพบคนที่ใช่สำหรับเจ้า หากไม่พบก็ไม่จำเป็นต้องแต่ง” ถังหลี่กล่าว

หลังจากที่ครุ่นคิดแล้วหลู่ชิงพบว่านางคิดถูกแล้ว หากวันใดที่นางได้พบบุรุษเช่นสามีของถังถัง ที่ไม่ว่าถังถังจะทำสิ่งใดเขาก็ร่วมยินดีไปกับนาง ถ้าเป็นไปได้หลู่ชิงก็อยากแต่งงานกับบุรุษเช่นนี้

นางแค่อยากเจอคนที่ถูกใจ! ทันใดนั้นหลู่ชิงก็ตระหนักได้ ว่าเป็นโชคดีที่นางได้รู้จักกับถังถัง

เดิมทีหลู่ชิงตั้งใจจะอยู่ห่างจากเจ้าขยะสกุลหวาง แต่นางไม่คาดคิดว่าเจ้าขยะชิ้นนั้นจะกระโดดมาหานาง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ขยะที่ชื่อหวางช่างชู แต่เป็นมารดาของเขา นางตู้

นางตู้ไม่ชอบหลู่ชิง เพียงแต่หลู่ชิงมีความเห็นใจที่นางเป็นแม่ม่ายหาเลี้ยงบุตรชายเพียงคนเดียว ทำงานหนักเพื่อส่งลูกชายให้เรียนหนังสือจนล้มป่วยลง

ดังนั้นหลังจากที่หลู่ชิงและหวางช่างชูได้หมั้นหมายกันแล้ว หญิงสาวจึงปฏิบัติกับนางตู้เป็นอย่างดี เชื่อฟังคำพูดของนางทุกคำ

หลู่ชิงเป็นคนช่างสังเกตและเอาใจใส่ นางซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้นางตู้ทุกช่วงเทศกาล เวลานางตู้มีอาการปวดเข่าหลู่ชิงก็สรรหาทุกอย่างมาให้เพื่อทำให้นางรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวรู้ว่านางตู้เป็นคนหยิ่งยโส ดังนั้นของทุกอย่างหลู่ชิงจึงบอกว่าเป็นของที่ผู้อื่นให้มา หากทิ้งมันไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ก็น่าเสียดาย

ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาหลู่ชิงปฏิบัติกับนางราวกับแม่แท้ ๆ ของตนเอง

แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่านางจะทำดีกับนางตู้เพียงใด ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติของนางตู้ที่มีต่อหลู่ชิงในฐานะแม่ค้าไม่ได้ สิ่งที่กวนใจหลู่ชิงมากที่สุดก็คือ นางขอให้พี่ชายของตนเองมาดูแลกิจการของเป่าชิงเก๋อ

เมื่อเห็นนางตู้ยืนอยู่หน้าประตู หลู่ชิงรู้สึกรังเกียจมาก

แต่สุดท้ายแล้วนางตู้ก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง หลู่ชิงเรียกนางอย่างฝืน ๆ

“ท่านป้าตู้”

ใบหน้าของนางตู้ดูเข้มงวดดุดัน แม้ว่าจริง ๆ แล้วนางอายุไม่ถึงสี่สิบปี แต่กลับดูแก่กว่าวัยมาก ผมหงอกขาว ซูบผอม ดูเหมือนหญิงใจร้าย

นางมาหาหลู่ชิงหลังจากคิดทบทวนดีแล้วว่าบุตรชายของนางไม่มีสมาธิในการอ่านตำรา วัน ๆ เอาแต่คิดถึงหลู่ชิงเท่านั้น!

นางตู้กลัวว่าเส้นทางข้างหน้าของบุตรชายจะไม่ราบรื่น นางจึงตัดสินใจมาหาหลู่ชิง

“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” นางตู้กล่าว

“งั้นรีบพูดเถิด ข้าต้องรีบไปโรงงาน” หลู่ชิงตอบ

นางตู้โมโหขึ้นมาทันที หลู่ชิงที่เคยเอาอกเอาใจนางอยู่เสมอ เหตุใดจึงกล้าพูดหยาบคายเช่นนี้?!

นางอายุมากกว่าถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโส ช่างไร้มารยาทเสียจริง

“พี่ตู้ ท่านมาหาอาชิงหรือ ? อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลยเข้ามานั่งก่อนเถิด”

นางหม่ามารดาหลู่ชิงเห็นนางตู้เข้าพอดีจึงได้รีบเชื้อเชิญเข้าบ้าน

ตอนแรกนางตู้ต้องการสะบัดหน้าเดินจากไปแล้ว ต่อเมื่อได้ยินนางหม่าพูด นางตู้จึงได้เดินเข้าไปในบ้าน หลู่ชิงไม่มีทางเลือก หากนางเดินหนีไปย่อมไม่เป็นการสมควร หญิงสาวจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน เห็นมารดาของตนเชื้อเชิญให้นางตู้นั่งพร้อมกับรินน้ำชาให้อย่างใส่ใจ

“พี่ตู้มีธุระอะไรหรือ? ตอนนี้บุตรชายท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” นางหม่าถาม

“ช่างชูกลับมาจากสำนักศึกษาแล้ว เขาเรียนทุกอย่างที่ควรจะรู้แล้ว ตอนนี้กำลังจะเตรียมสอบในปีหน้า” เมื่อพูดถึงบุตรชาย นางตู้รู้สึกภาคภูมิใจ

“หม่าซื่อ วันนี้ข้ามาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเด็ก ๆ” นางตู้กล่าว

“พี่ตู้ เชิญพูดมาได้เลย” นางหม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าคิดว่าหลู่ชิงเป็นเด็กดี แม้ตอนนี้สัญญาหมั้นหมายจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ว่าทั้งคู่ค่อนข้างเหมาะสมกันจริง ๆ หม่าซื่อ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

.

————————