ตอนที่ 119

Silver Overlord

119 – ถูกจำกัดบริเวณ

เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่เอี้ยนลี่เฉียงเข้ามาที่สถาบันศิลปะการต่อสู้ แต่เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้พบเจอกับลู่เป่ยซินหรือทายาทตระกูลลู่คนอื่นๆ

เขารู้เพียงเรื่องลู่เป่ยซินไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านจากคำสั่งของนายผู้เฒ่าลู่ เขาทราบเรื่องนี้จากจดหมายของเฉียนซูที่ส่งถึงเขาเมื่อสองสามวันก่อน

เขาตระหนักว่าลู่เป่ยซินดูแปลกๆเมื่อเขาไปที่คฤหาสน์ตระกูลลู่

หลังจากเรื่องการหมั้นหมายของพวกเขาค่อนข้างแน่ชัดเขาจึงแอบบอกเรื่องที่ลู่เป่ยซินอาจมีคนรักอยู่แล้วให้กับลู่เปียน

ลู่เปียนเป็นคนฉลาดเช่นกันหลังจากคำเตือนของเอี้ยนลี่เฉียงเขาก็ส่งคนไปที่เมืองผิงซีอย่างเงียบๆ เพื่อตรวจสอบและติดตามลู่เป่ยซินอย่างลับๆ

ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ค้นพบว่าลู่เป่ยซินได้ท่องเที่ยวอยู่กับใครบางคนหลายครั้ง ซึ่งคนคนนั้นก็คือทายาทของศัตรูตัวฉกาจของตระกูลลู่ เขาเป็นผู้สืบทอดตระกูลหวัง หวังฮ่าวเฟย

เมื่อได้รับข่าวดังกล่าวนายผู้เฒ่าลู่ก็โกรธมาก เหล่าทายาทของตระกูลลู่ที่อยู่ในสถาบันศิลปะการต่อสู้ถูกเรียกตัวกลับทั้งหมดและถูกตำหนิอย่างรุนแรง

ไม่จำเป็นต้องพูดว่าลู่เป่ยซินที่ถูกขังอยู่ในคฤหาสน์ไม่สามารถออกจากบ้านได้อีก ส่วนลูกหลานคนอื่นๆก็ถูกหางเลขไปด้วยเพราะพวกเขารู้เห็นเป็นใจให้กับลู่เป่ยซินโดยไม่ได้รายงานความผิดปกติให้กับตระกูลลู่

พวกเขาทุกคนถูกลงโทษไม่ให้ลงจากเขานั่นเป็นเหตุผลว่าในสถาบันศิลปะการต่อสู้ในตอนนี้เหตุไฉนจึงไม่มีทายาทของตระกูลลู่อยู่เลย

เหตุผลที่หวังฮ่าวเฟยต้องมาหาเรื่องกับเอี้ยนลี่เฉียงในวันนี้ก็เพราะเขาเพิ่งรู้เรื่องการหมั้นหมายระหว่างลู่เป่ยซินและเอี้ยนลี่เฉียง

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธเกรี้ยวและออกตามหาเอี้ยนลี่เฉียงมาระบายความโกรธให้ได้ แต่หวังฮ่าวเฟยก็รู้เช่นกันว่าเอี้ยนลี่เฉียงไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เขาจะสามารถรังแกได้ง่ายๆ

เขาได้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆเพื่อและมาหาเรื่องเอี้ยนลี่เฉียง แต่สุดท้ายพวกเขากลับต้องพ่ายแพ้อย่างอัปยศ

ความจริงที่ว่าหวังฮ่าวเฟยมาสร้างปัญหาให้กับเอี้ยนลี่เฉียงในวันนี้พิสูจน์ได้ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเอี้ยนลี่เฉียงกับลุ่เป่ยซิน

และตอนนี้เขาก็รู้แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? มันพิสูจน์ได้ว่าตระกูลหวังมีสายอยู่ภายในตระกูลลู่ และคนวงในนั้นได้แจ้งให้ตระกูลหวังทราบข่าว

หรือหวังฮ่าวเฟยและลู่เป่ยซินยังคงสามารถสื่อสารกันได้ บางทีคำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็คือ ลู่เป่ยซินไหว้วานใครบางคนให้ส่งข่าวถึงหวังฮ่าวเฟย และจากการคาดคำนวณของเอี้ยนลี่เฉียงเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้ไม่น้อย

หรือบางทีเขาควรจะบอกนายท่านหกเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อที่เขาจะได้ใส่ใจกับมัน…

แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็ส่ายหัวและตัดสินใจที่จะปล่อยมันไว้ ครั้งสุดท้ายที่เขาแจ้งเตือนพวกเขาอย่างลับๆก็ทำให้ลูกหลานของตระกูลลู่ติดร่างแหไปด้วย

ถ้าเขาเตือนพวกเขาอีกครั้งอาจเป็นเหตุให้สาวใช้ของลู่เป่ยซินได้รับความเดือดร้อน เมื่อพิจารณาจากประเพณีของตระกูลลู่และด้วยอารมณ์ของนายผู้เฒ่าลู่บางทีนางอาจถูกสังหารก็ได้

เมื่อหวังฮ่าวเฟยเข้ามาสร้างปัญหากับเขา เขาอาจไม่คิดถึงผลที่จะตามมาเกี่ยวกับคนแจ้งเรื่องนี้จากตระกูลลู่หรือบางทีเขาอาจจะรู้อยู่แล้วแต่ไม่เคยคิดสนใจก็ได้

ถ้าเป็นอย่างแรกก็พิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนไม่มีสมอง แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็แสดงว่าเขาเป็นคนไม่มีจิตสำนึก แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนประเภทไหนคนๆนี้ก็ไม่มีทางคู่ควรกับลู่เป่ยซิน

เขาไม่เสียใจเลยที่ต้องแยกคู่รักคู่นี้… ..

ฉากทุกอย่างวิ่งอยู่ภายในหัวของเอี้ยนลี่เฉียงอีกครั้ง หลังจากที่เขาตั้งเป้าหมายในใจแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกโล่งใจ

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงออกจากสถาบันศิลปะการต่อสู้ เขาก็กลับสู่บ้านหลังเล็กๆในตรอกวัวสีเงิน

ด้านนอกลานเล็กๆเอี้ยนเต๋อชางผู้ซึ่งสวมใส่เสื้อกันหนาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะยืนอยู่ใต้ชายคาเพื่อรอการกลับมาของเอี้ยนลี่เฉียง

“ท่านพ่อ … “

เอี้ยนเต๋อชางหันกลับมาเมื่อเขาได้ยินเอี้ยนลี่เฉียงเรียก จากนั้นเขาก็เห็นเอี้ยนลี่เฉียงซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกำลังจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า

สือต้าเฟิงออกไปกินหม้อไฟเนื้อแกะ เอี้ยนลี่เฉียงจึงกลับมาที่ลานเล็กๆที่เขาเช่าคนเดียว

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงเห็นเอี้ยนเต๋อชางเขาก็รีบวิ่งเข้ามาปัดฝุ่นและหิมะออกจากเสื้อคลุมของเอี้ยนเต๋อชาง

“ ท่านพ่อทำไมมาอยู่ที่นี่”

เอี้ยนเต๋อชางมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงจากบนลงล่างด้วยสายตาที่จริงจังก่อนที่เขาจะยิ้ม

“ข้ามาส่งของให้กับลูกค้าในมณฑลหวงหลง บังเอิญว่าหิมะได้ตกลงมาพอดีจึงกลัวว่าเจ้าไม่มีเสื้อกันหนาว พ่อก็เลยซื้อของมาฝากเจ้าตามที่อยู่ในจดหมายที่เจ้าส่งมาครั้งล่าสุด!”

“เข้าไปคุยข้างในก่อนข้างนอกนี้หนาวเกินไป!” เอี้ยนลี่เฉียงหยิบกระเป๋าเอี้ยนเต๋อชางมาสะพายไว้บนหลังจากนั้นก็หยิบกุญแจของเขาออกมาเปิดประตูและพาเอี้ยนเต๋อชางเข้าไป

ลานที่เอี้ยนลี่เฉียงอาศัยอยู่ไม่ได้ใหญ่มากนักประมาณสี่สิบหรือห้าสิบตารางวา แต่มีพื้นที่ค่อนข้างเหมาะสำหรับฝึกศิลปะการต่อสู้ แม้ว่าสนามหญ้าจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่กองเป็นชั้นๆ แต่ก็ยังสามารถบอกได้ว่าสวนนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

เอี้ยนเต๋อชางสังเกตลานเมื่อเขาเข้ามาและแอบพยักหน้ากับตัวเอง เขารู้สึกโล่งใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงสามารถดูแลตัวเองได้ดี “เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว?”

“ใช่ข้าอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวและเพื่อนของข้าก็อาศัยอยู่ข้างๆสามารถตะโกนพูดคุยกันได้!”

“ เจ้าใช้สนามนี้ฝึกฝนตัวเอง?”

“ไม่ ส่วนมากจะฝึกฝนในพื้นที่ด้านในห้องใต้ดิน วิชาที่ข้าฝึกฝนไม่เหมาะแก่การเคลื่อนไหวให้คนเห็นมากเกินไป!” เอี้ยนลี่เฉียงพาเอี้ยนเต๋อชางไปที่ห้องกลางและวางกระเป๋าลงจากนั้นเกาหัวด้วยความลำบากใจ

“ปกติข้าไม่เคยทำอาหารที่นี่ ท่านพ่อท่านรออยู่นี่ก่อนข้าจะไปชงชามาให้ท่าน!”

“ไม่จำเป็น! เข้ามาที่นี่เพื่อดูเจ้าเท่านั้น แล้วทวนยาวที่เจ้าใช้ฝึกฝนอยู่ที่ไหน?”

“ของพวกนั้นอยู่ชั้นใต้ดินทั้งหมดไปดูที่นั่นไหม?”

“ตกลง!” เอี้ยนเต๋อชางเดินไปที่ห้องใต้ดินตามคำแนะนำของลูกชาย

ทางเข้าชั้นใต้ดินอยู่ในห้องกลาง เอี้ยนลี่เฉียงพาเอี้ยนเต๋อชางไปที่ชั้นใต้ดินชั้นล่างผ่านประตู

ห้องใต้ดินมีขนาดเท่ากับสนามเหนือพื้นดิน พื้นห้องใต้ดินปูด้วยหินปูนหยาบและห้องมีความสูงมากกว่าสองวา

แม้ว่ามันจะอยู่ใต้ดินแต่ชั้นใต้ดินก็มีหน้าต่างที่ปลายทั้งสองด้านทำให้มีการระบายอากาศและมีแสงแดดส่องเข้ามาในระหว่างวันดังนั้นในห้องนี้จึงไม่ได้มืดมากนัก เพียงแต่ตอนกลางคืนจำเป็นต้องจุดตะเกียง

ในห้องใต้ดินมีชั้นวางอาวุธอยู่ใกล้กับผนัง เชือกเส้นหนึ่งถูกมัดไว้ใต้กรอบโดยมีเหรียญทองแดงห้อยลงมา บนชั้นวางมีทวนยาวอย่างน้อยหนึ่งวาครึ่งซึ่งทำจากเหล็กทั้งหมด

ที่ด้านข้างชั้นวางยังมีลูกตุ้มโลหะขนาดใหญ่ที่เอี้ยนลี่เฉียงใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ลูกตุ้มแต่ละอันมีขนาดใหญ่มากน่าจะหนักมากกว่าร้อยจินด้วยซ้ำ

หลังจากที่เอี้ยนเต๋อชางเข้ามาและเห็นสิ่งเหล่านี้ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที เขาเดินเข้าไปใกล้ชั้นวางและหยิบทวนเหล็กขึ้นมาชั่งในมือ

ทวนเหล็กหนักกว่าสี่สิบจินเป็น เขาหันศีรษะไปรอบๆและถามเอี้ยนลี่เฉียง

“ทำไมเจ้าถึงใช้ทวนเหล็กในการฝึกที่นี่ร่างกาย ทวนเหล็กนี้ไม่มีความยืดหยุ่นและหนักมากเจ้าสามารถใช้มันได้หรือ?”

“ความสำคัญของทวนเหล็กนี้คือน้ำหนักของมัน อาจารย์จากสถาบันศิลปะการต่อสู้บอกให้เราใช้มันเพื่อฝึกฝนวิชาทวนขั้นพื้นฐาน!” เอี้ยนลี่เฉียงอธิบายและหยิบทวนเหล็กจากมือเอี้ยนเต๋อชางจากนั้นเขาก็หมอบลงและร่ายรำทวนเหล็กให้พ่อเขาดู

การที่สามารถใช้ออกด้วยทวนเหล็กที่ใหญ่ขนาดนี้พื้นฐานของผู้ฝึกฝนจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“ไม่เลวไม่เลวเลย!” เอี้ยนเต๋อชางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจจากนั้นลองยกลูกตุ้มเหล็กขึ้นมาดู อย่างไรก็ตามเขาตระหนักว่าเขาสามารถยกได้แค่อันที่เล็กที่สุดเท่านั้น

“ ข้าคงอายุมากแล้ว…”

“ ท่านพ่อเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บไม่ควรออกแรงมากเกินไป!”

“เจ้าสามารถยกลูกตุ้มที่หนักที่สุดได้จริงๆ” เอี้ยนเต๋อชางถามอย่างสงสัย

เอี้ยนลี่เฉียงวางหอกเหล็กและเดินไปที่ลูกตุ้มโลหะที่หนักที่สุดซึ่งหนักถึงสองร้อยจินก่อนจะยกมันขึ้นและเหวี่ยงไปมาด้วยพลังอันแข็งแกร่ง จากนั้นมืออีกข้างก็คว้าเอาลูกตุ้มอันที่เล็กรองลงมาขึ้นมาเหวี่ยงพร้อมกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นด้วยตาตัวเองเอี้ยนเต๋อชางจะไม่กล้าเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเอี้ยนลี่เฉียงได้บรรลุถึงระดับนี้แล้ว

น้ำหนักโลหะสองร้อยจินไม่ใช่ยี่สิบจิน! แม้ว่าเขาจะยังไม่ใช่นักรบแต่เอี้ยนเต๋อชางก็รู้ดีว่าความแข็งแกร่งของลูกชายของเขานั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆ

เอี้ยนลี่เฉียงอายุเพียงสิบสี่ปีและเขาไม่รู้ว่าลูกชายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นถึงขนาดนี้ได้อย่างไร

เอี้ยนลี่เฉียงควงลูกตุ้มขนาดใหญ่ทั้งสองไปมาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวางมันลงเบาๆโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อยแต่ลมหายใจของเขายังคงสม่ำเสมอ

“ยอดเยี่ยม น่าเหลือเชื่อมาก ไม่คิดว่าเจ้าเข้าเรียนในสถาบันศิลปะการต่อสู้เพียงสองเดือนกลับสามารถทำได้ถึงขนาดนี้!”

ความแข็งแกร่งและความสามารถที่เอี้ยนลี่เฉียงมีในตอนนี้นั้นมาจากการฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นซึ่งมันสร้างความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก

แม้ว่าสิ่งที่ถูกสั่งสอนจากสถาบันศิลปะการต่อสู้จะค่อนข้างมีประโยชน์ แต่มันก็ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดขนาดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเทียบไม่ได้เลยกับคำภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น

อย่างไรก็ตามเอี้ยนลี่เฉียงไม่สามารถบอกเอี้ยนเต๋อชางได้ เขาทำได้เพียงยิ้มและพยักหน้าเบาๆ

“ ท่านพ่อท่านพูดถูกแล้วสถาบันศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ อาจารย์ทุกคนก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!”

“ เห็นเจ้ามีความสุขข้าก็สบายใจ.” เอี้ยนเต๋อชางถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

เอี้ยนเต๋อชางอยู่ที่บ้านพักของเอี้ยนลี่เฉียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

หลังจากสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ของลูกชายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็เอาเสื้อกันหนาวออกจากหีบและมอบให้เอี้ยนลี่เฉียงพร้อมกับทิ้งเงินไว้ยี่สิบเหรียญทองก่อนจะกลับไป

เมื่อเห็นเอี้ยนเต๋อชางเดินทางกลับด้วยความยินดี เอี้ยนลี่เฉียงก็ทานอาหารอย่างลวกๆและมุ่งหน้าสู่จวนผู้ว่าการทหารหลังจากนั้น