เผิงอัสนีเมฆม่วง!
“ติดตามชายคนนั้นไป พวกเราต้องพบตัวนางเป็นแน่!”
สตรีในชุดคลุมลมดำที่ลอบติดตามคนของสำนักจันทร์จรัสแสงมา ไม่ใช่ใครอื่น…เป็น ชือเม่ย นักฆ่า 4 ดาราครึ่งของตลาดมืดหยินชาน นางมองเขม็งมาทางต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ!
“สื่อเอ๋อเดี๋ยวข้าจะกลับไปก่อนสักพัก เจ้าคอยติดตามเขาไว้อย่าให้คลาดสายตาเล่า”
ชือเม่ยกล่าวกับวิหกสีม่วงบนไหล่
“เข้าใจแล้วพี่หญิง”
วิหกสีม่วงกล่าว “น่าเบื่อจริง! ข้านึกว่ามานี่จะได้ยืดเส้นยืดสายบ้างอะไรบ้าง!”
“เจ้าอยากยืดเส้นยืดสายก็ไปจัดการคนพวกนั้นตามใจเถอะ แต่อย่าได้ทำอันตรายคนใกล้ชิดของเขาก็พอ”
ชือเม่ยกล่าวออกเสียงเรียบ ขณะมองไปยังกลุ่มคนของสำนักจันทร์จรัสแสง
วิหกสีม่วงพอได้ยินดังนั้นก็คึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่ ยังเร่งเร้าชือเม่ยออกมาทันที “ได้ๆๆ! พี่หญิงท่านรีบกลับไปเถอะ!”
เทียบกับวิหกสีม่วงที่ง่วงหงาวหาวนอนก่อนหน้า ตอนนี้มันคึกคักเสียจนคล้ายเป็นนกคนละตัวอย่างไรอย่างนั้น
ชือเม่ยส่ายหัวเบาๆอย่างไร้คำจะกล่าว ก่อนที่ร่างของนางจะอันตรธานหายไปในท้องฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
ไม่นานนางก็เหินร่างมาถึงจุดที่ไม่ไกลจากที่ซ่อนรังลับของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร
หลังจากที่ชือเม่ยจากไป ลูกตาวิหกสีม่วงก็เผยประกายสดใสขึ้นมาในฉับพลัน ร่างมันกางปีกสะบัดวูบหนึ่ง ก็พุ่งวาบไปปานเส้นอัสนีสีม่วงตรงไปยงคนของสำนักจันทร์จรัสแสง
ฟูวว!
เสียงหวีดหวิวแหวกฝ่าสายลมที่เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง ทำให้เหล่าอาวุโสของสำนักจันทร์จรัสแสงถึงกับชักสีหน้าเคร่งเครียดด้วยคิดว่าศัตรูบุกจู่โจม
“นั่นมันอันใดกัน!”
ทันใดนั้นทุกคนก็ตระหนักได้ถึงเงาดำมหึมาที่ลอยร่างอยู่เหนือพวกมัน เงานี้ยังใหญ่โตปานเมฆที่ลอยล่องกลางฟ้า บดบังแสงตะวันที่สาดส่องลงจนมิด!
และเมื่อพวกมันเงยหน้าขึ้นมา แววตาก็เผยความหวาดกลัวทันที
เพราะตอนนี้ปรากฏเป็นวิหกตัวมหึมาสีม่วงลอยร่างกลางหาว สองตาจับจ้องมองมาที่พวกมันเขม็ง!
ปีกวิหกยักษ์ที่แผ่กางออก ให้ความรู้สึกสุดไพศาลปานก้อนเมฆ ก่อให้เกิดเป็นแรงกดดันอันหนักอึ้งแก้ทุกคน!
ในขณะที่ป๋ายลี่หง จงหั่ว และอาวุโสฝ่ายในอีก 2 คน ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนรวมถึงศิษย์ฝ่ายในกำลังชักสีหน้าเคร่งเครียดนั้นเอง
เสียงผ่านปราณแท้หนึ่งก็ดิ่งตรงเข้าหูต้วนหลิงเทียน
“เจ้าหนูๆ! ในกลุ่มนี้เจ้าเกลียดขี้หน้าผู้ใดบอกข้ามาเร็วๆ”
นี่คือความที่ส่งมา
“เจ้าเป็นใครกัน?”
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินเสียงดรุณีเจื้อยแจ้ว เร่งหันรีหันขวางทว่าก็ไม่เห็นวี่แววสาวน้อยจากที่ไหนเลย
“โอ๊ย เจ้าตาถั่วเหรอ! อยากรู้ว่าข้าเป็นใครทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมามอง!”
เสียงใสดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกรอบ พาลให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย แต่เขาก็รู้สึกตัวทันที “เจ้า…เจ้าคือนกตัวใหญ่นี่น่ะหรือ?”
“ฮึ่มจะตัวใหญ่ตัวเล็กแล้วยังไง? เจ้าหมิ่นข้ารึ…ฟังให้ดีนะ ข้าผู้นี้คือยอดสัตว์เซียน เผิงอัสนีเมฆม่วง! ไม่ใช่นกตัวใหญ่อะไรของเจ้า!!”
นกยักษ์สีม่วงกล่าวออกมาอีกครั้ง ท่าทางไม่ค่อยพอใจคำนกตัวใหญ่สักเท่าไร
ยอดสัตว์เซียน เผิงอัสนีเมฆม่วง!
ได้ยินวาจานี้ของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ประหลาดใจเล็กน้อย เขาเร่งพินิจรูปร่างอีกฝ่ายอีกครั้งให้ละเอียดทันที และก็พบว่านางเหมือนเผิงอัสนีเมฆม่วงในบันทึกจริงๆ ต่างกันก็แค่เพียงเหนือหัวของนางมีเขาสีทองเล็กๆงอกอยู่
‘นี่ถ้ามันไม่พูด ข้าคงไม่รู้เลยว่าที่แท้มันเป็นตัวเมีย’
ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ
“เจ้าหนู นี่เจ้าไม่ได้ยินที่พี่สาวถามรึ? ในกลุ่มนี้เจ้ามิชอบขี้หน้าผู้ใด บอกพี่สาวมาเร็วๆ!”
เผิงอัสนีเมฆม่วงกล่าวถามออกมาอีกรอบ
ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมเผิงอัสนีเมฆม่วงถึงถามเรื่องนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังหันมองไปยังจงหั่ว รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างไม่ตั้งใจ ถึงแม้เข้าเองจะอธิบายไม่ได้ก็ตาม
อาจเป็นเพราะจงหั่วมันเห็นเขาเป็นศัตรูเสมอ จึงทำให้เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไร
“เจ้าต้องเป็นสัตว์เซียนใช่หรือไม่ ไฉนถึงมาขวางทางพวกเราเล่า?”
ตอนนี้เอง จงหั่วพลันก้าวออกมากล่าวถามวิหกสีม่วงตัวเขื่อง
ถึงแม้ว่ามันจะไม่รู้จักวิหกสีม่วงตัวใหญ่นี่ ทว่ากลิ่นอายพลังที่อีกฝ่ายแผ่ออกก็ทำให้มันรู้สึกกดดันนัก
และตัวตนที่ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกกดดันได้ ทั้งๆที่ตัวมันก็อยู่เป็นถึงครึ่งก้าวเซียน นั่นหมายความว่าพลังฝึกปรือสมควรอยู่ในขอบเขตเซียน!
เหตุผลที่ไฉนมันถึงคาดเดาได้ว่าวิหกสีม่วงเบื้องหน้าเป็นสัตว์เซียน เพราะกลิ่นอายพลังของสัตว์เซียนกับสัตว์ร้ายมันแตกต่างกันไม่ใช่น้อย รวมถึงลักษณะต่างๆที่บอกได้ไม่ยาก
และที่เห็นได้ชัดเจนนักว่าวิหกสีม่วงตัวเขื่องเบื้องหน้าไม่ใช่สัตว์ร้าย เพราะดวงตากระจ่างใสของมันแฝงความลึกล้ำทรงปัญญา!
“ข้าเบื่อไม่มีอะไรทำนิ เจ้าจะทำไมล่ะ?”
วิหกยักษ์สีม่วงหรือที่รู้จักกันในนาม เผิงอัสนีเมฆม่วง กล่าวตอบออกมาราวคนขี้เกียจ…
จังหวะนี้มุมปากของจงหั่วถึงกับกระตุกอย่างแรง
เหตุผลบ้าบออะไร?
ป๋ายลี่หง อาวุโสฝ่ายในอีกสองคน ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับอึ้ง!
ถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้งุนงงเหมือนคนอื่น แต่วาจาที่เผิงอัสนีเมฆม่วงใช้ตอบจงหั่ว ก็ทำให้มุมปากเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาเช่นกัน
และเมื่อเขาเห็นสายตาที่เผิงอัสนีเมฆม่วงใช้มองจงหั่ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าจงหั่วนั้นท่าทางจะถึงคราวซวยแล้ว…
ในตอนนี้เขายังอดคิดไปไม่ได้…ว่าใช่เขาสร้างปัญหาให้จงหั่วหรือไม่?
ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ทันจบ ปีกของเผิงอัสนีเมฆม่วงก็เริ่มขยับแล้ว!
พั่บ! พั่บ!
ระลอกคลื่นสีม่วง 2 ลูกเริ่มแผ่ออกมาจากปีกทั้ง 2 ข้างของมัน!
และทุกที่ทางที่ระลอกคลื่นสีม่วงเคลื่อนผ่าน คล้ายจะกวาดได้ทุกสรรพสิ่งกระทั่งอากาศ!
ทันใดนั้นเอง นอกเหนือจากจงหั่ว คนของสำนักจันทร์จรัสแสงทั้งหมด ก็ถูกพลังไร้สภาพอันมหาศาลขุมหนึ่งจากคลื่นสีม่วงนั่นผลักดันให้ล่าถอยออกไปนับ 100 หมี่!
เมื่อพวกมันรู้สึกตัว ก็พบว่าไกลห่างคงเหลือเพียงวิหกสีม่วงกับจงหั่วเท่านั้น
“เจ้ามาช่วยยืดเส้นยืดสายให้ข้าหน่อย!”
เผิงอัสนีเมฆม่วงที่ลอยร่างกลางหาวกล่าวกับจงหั่วด้ววยน้ำเสียงเกียจคร้าน
ได้ยินวาจานี้ของวิหกสีม่วงตัวเขื่อง จงหั่วแทบจะเป็นลม!
หากก่อนหน้านี้มันคาดเดาว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นตัวตนในขอบเขตเซียนล่ะก็
พอมันเห็นการลงมือของเผิงอัสนีเมฆม่วงเมื่อครู่ มันก็มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์เซียนที่บรรลุขอบเขตเซียนไปแล้วแน่นอน
สัตว์เซียนตัวนี้คิดให้มันช่วยยืดเส้นยืดสาย?
นี่มันคงไม่ถูกเลาะกระดูกหรอกนะ?
“อาวุโสวิหก ข้าน้อยคือจงหั่วรองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง หากข้าน้อยเคยทำอันใดให้อาวุโสไม่พอใจได้โปรดบอกมาเถิด ข้าน้อยจะได้ขอขมาต่อท่านให้ดี…”
จงหั่วกล่าวกับวิหกยักษ์เบื้องหน้าด้วยท่าทางยำเกรง น้ำเสียงยังสั่นไปไม่น้อย
ตอนนี้มันหวังว่าวิหกยักษ์เบื้องหน้าจะปล่อยมันไป เพราะเกรงใจสำนักจันทร์จรัสแสง
อย่างไรก็ตามคำต่อมาที่วิหกยักษ์เบื้องหน้ากล่าว ทำให้สีหน้าจงหั่วยิ่งซีดหนักลงทันที
“สำนักจันทร์จรัสแสง? ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน! เจ้าไม่ได้ทำอะไรให้ข้าไม่พอใจหรอก ข้าแค่อยากยืดเส้นยืดสายเท่านั้นเอง…อย่าหวงไป ข้าไม่เผลอทำเจ้าตายหรอก”
เผิงอัสนีเมฆม่วงกล่าวออกเสียงเรียบค่อยส่ายหัว
และทันทีที่กล่าวจบคำ คล้ายปรากฏพายุพลังปานใต้ฝุ่นขุมหนึ่งแผ่พุ่งไปทางจงหั่วด้วยความเร็วเหนือเสียง!
ห่างออกไปไม่ไกล ทางด้านต้วนหลิงเทียนอาวุโสฝ่ายในทั้ง 3 และศิษย์ฝ่ายในสำนักจันทร์จรัสแสง ก็เห็นว่ามีพายุพลังสีม่วงพัดออกจากร่างวิหกยักษ์อย่างฉับไว ต่อมาร่างจงหั่วก็อันตรธานหายไป!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าจงหั่วไม่ได้หายไปไหน
เป็นเพราะตอนนี้อีกฝ่ายเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง!
“สัตว์เซียนขอบเขตเซียน!”
จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นป๋ายลี่หง หรืออาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ต่างเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมา
พวกมันยังพอมองเห็นเรื่องราวได้รางๆจึงได้รู้ว่าตอนนี้จงหั่วประสบชะตาอนาถแค่ไหน
แต่แน่นอนว่าพวกมันไม่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วย
หากสัตว์เซียนขอบเขตเซียนเกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมา และหันมาลงมือกับพวกมันได้ ไม่ฉิบหายหรือไร?
ตอนนี้กระทั่งป๋ายลี่หงยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ ที่วิหกสีม่วงตัวเขื่องนั่นเลือกจงหั่วเป็นเป้าหมายไม่ใช่มัน
มิฉะนั้นกระดูกมันไม่แหลกตายไปแล้วหรือไง?
ป๋ายลี่หงย่อมคิดว่าที่วิหกสีม่วงเลือกจงหั่วนั้น เพราะสุ่มเอา
หากมันรู้ว่าที่วิหกสีม่วงเลือกจงหัวมาทุบตียืดเส้นยืดสายเพราะถามต้วนหลิงเทียนล่ะก็ ไม่ทราบมันจะทำหน้าอย่างไร…
“สัตว์เซียน ขอบเขตเซียน?”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เผยความเคร่งขรึมเช่นกัน เพราะเขาตระหนักได้ว่าเผิงอัสนีสีม่วงตัวนี้ก็เป็นถึงสัตว์เซียนขอบเขตเซียน!
พอคิดถึงข้อความที่สัตว์เซียนตัวนี้ส่งมาก่อนหน้า ใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
ไฉนอีกฝ่ายถึงถามว่าเขาเกลียดขี้หน้าใคร?
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็แค่หันไปมองจงหั่วโดยไม่รู้ตัว ถึงทำให้จงหั่วประสบชะตาอนาถแบบนี้
คล้ายเผิงอัสนีเมฆม่วงกำลังระบายอารมณ์แทนเขาอย่างไรไม่รู้!
เขาลองถามตัวเองหลายครั้ง แต่ก็พบว่าเขาไม่เคยเห็นเผิงอัสนีเมฆม่วงตัวเขื่องแบบนี้มาก่อนเลย อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาด้วยซ้ำที่ได้เห็นสัตว์เซียนขอบเขตเซียน!
‘วันนี้ข้าโชคข้ามันอะไรกันแน่ ถึงได้เจอตัวตนระดับเซียน 2 คนติดๆ…ไม่รู้ว่าทั้งคู่เกี่ยวข้องกันไหม’
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาอดคิดไปไม่ได้ว่านี่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับชือเม่ยนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานที่อยู่ในขอบเขตเซียนรึเปล่า
“ไม่สนุกเลย! เจ้ามันอ่อนแอเกินไป! ฮึ่ม ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว…ไปสำนักจันทร์จรัสแสงของเจ้าดีกว่า ลองดูว่าคนเก่งที่สุดในสำนักเจ้าจะทำให้ข้าสนุกหรือไม่! อา…พอคิดแล้วน่าสนใจยิ่ง!!”
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้ยินวาจานี้ของเผิงอัสนีเมฆม่วงดังขึ้น
และหลังจากนั้นไม่ทันไร ร่างเผิงอัสนีเมฆม่วงรวมถึงจงหั่วก็ปรากฏให้เห็นในสายตาอีกครั้ง
เผิงอัสนีสีม่วงยังอยู่ดีแลเปี่ยมไปด้วยความคึกคัก ทว่าจงหั่วนั้นคล้ายพึ่งโผล่ออกมาจากเครื่องปั่น นอกจากรอยฟกช้ำดำเขียวทั่วกาย เลือดยังไหลซิบๆท่วมกาย! เสื้อผ้าของมันก็ขาดๆแหว่งๆ หาชิ้นดีไม่ได้ปานถูกคลื่นดาบนับพันเชือดเฉือน!!
ตอนนี้แม้มันจะลอยล่องอยู่กลางอากาศ แต่อาการก็แลดูมิค่อยสู้ดี คล้ายพร้อมจะร่วงตกลงไปได้ทุกเมื่อ
ถึงแม้สภาพจะน่าอับอายขายหน้า แต่จงหั่วก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจที่รอดตาย
“ท่านอาจารย์!!”
ตอนนี้เองเฮ่อจงรีบกุลีกุจอพุ่งไปประของร่างจงหั่วที่จะร่วงแหล่มิร่วงแหล่เอาไว้ทันที ในแววตายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่น้อย
“ไปๆๆ ข้าจะไปสำนักจันทร์จรัสแสงที่ว่ากับพวกเจ้าด้วย”
ในขณะที่คนของสำนักจันทร์จรัสแสงได้ยินคำกล่าวนี้จากวิหกม่วงตัวเขื่อง สีหน้าทั้งหมดก็กลับกลายเป็นซีดเซียวยกเว้นต้วนหลิงเทียน และทันใดนั้นเองทั่วร่างมหึมาก็ปรากฏแสงสวางจ้า พอดับลงให้เห็นภาพชัดอีกครั้ง ก็พบว่ามีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา…เป็นดรุณีน้อยวัย 16-17 ปีในชุดสีม่วง!
ยังเป็นดรุณีน้อยที่รูปโฉมงดงามแลดูน่ารักไม่ใช่น้อย!
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่มีใครกล้าสนใจรูปลักษณ์ของนางเลย ทั้งหมดถูกครอบงำไปด้วยความหวาดกลัวจากพลังอำนาจที่นางพึ่งสำแดงออกมา
อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมากลางอากาศ แล้วมาถามหาผู้คนให้ช่วยยืดเส้นยืดสาย
หลังจากนั้น รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง จงหั่ว ก็เป็นผู้โชคร้าย
ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้กำลังแปลกใจไม่น้อย เพราะหากเขาไม่ได้เห็นเรื่องราวกับตา เขาก็ยากจะเชื่อได้ว่าดรุณีน้อยนางนี้คือเผิงอัสนีเมฆม่วงตัวเขื่องก่อนหน้า…!