ตอนที่ 171 หน้าดุมาก

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 171 หน้าดุมาก

เมื่อจัดการเรื่องเสร็จสิ้น เยียนอวิ๋นเกอก็เตรียมตัวกลับเมืองหลวง

เซียวอี้พูดกับนาง “กลับด้วยกัน!”

นางถามเขา “เหตุใดเจ้าจึงว่างเพียงนี้”

เขาพูดอย่างมีเหตุมีผล “เหน็ดเหนื่อยมาทั้งปี ย่อมต้องมีวันพักผ่อนบ้าง ราชสำนักไม่ได้ไร้มโนธรรม อย่างน้อยก็ให้วันหยุดแก่แม่ทัพอย่างพวกข้า”

นางถามอีกครั้ง “เจ้าจะกลับที่ใด ค่ายทหารกองทัพใต้ หรือจวนท่านอ๋องตงผิง”

เซียวอี้ลูบคางครุ่นคิด “เจ้าคิดว่าข้าควรกลับที่ใด”

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาใส่เขา

หลังจากขึ้นรถม้าไปก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวง

เซียวอี้ติดตามนางตลอดทาง

ในที่สุดก็แยกจากกันเมื่อเข้าประตูเมืองหลวง

เยียนอวิ๋นเกอแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นางรู้สึกกดดันอย่างมากเมื่อเดินทางร่วมกับเซียวอี้

แต่เนื่องจากหน้าของอีกฝ่ายหนาเกินไป ไม่อาจโจมตีเขาได้

ก่อนจากกัน เซียวอี้ถามขึ้น “เจ้าว่าระหว่างปีใหม่ ข้าควรเดินทางไปเยือนจวนท่านหญิงหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็เป็นญาติกัน”

มุมปากของเยียนอวิ๋นเกอกระตุก “หากเจ้ายอมรับญาติที่ห่างกันเพียงนี้ เจ้าก็เด็กกว่าข้าหนึ่งรุ่น เจ้าเป็นเด็ก ข้าต้องให้เงินแต๊ะเอียกับเจ้า”

สีหน้าของเซียวอี้แปลกประหลาดไป

เด็กอันใดกัน

ถือว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน

เขาพูดอย่างจริงจัง “สองปีนี้ได้รับการดูแลจากเจ้า เมื่อถึงปีใหม่ข้าสมควรไปเยือน”

อย่า!

ท่านอย่ามาเด็ดขาด!

เยียนอวิ๋นเกอใช้ทั้งร่างกายในการปฏิเสธ

เซียวอี้ถือว่ามองไม่เห็น “ตกลงตามนี้ ข้าจะเลือกของขวัญด้วยตนเอง เดินทางไปเยือนอย่างเป็นทางการ”

“ท่านแม่ข้าไม่ชอบรับแขก”

“เจ้าวางใจ ข้ามีขอบเขต ย่อมไม่มีทางทำให้ท่านหญิงรู้สึกลำบากใจ”

เซียวอี้ขี่ม้าจากไปโดยไม่รอนางปฏิเสธอีกครั้ง

เยียนอวิ๋นเกอยืนสับสนอยู่ท่ามกลางสายลม

เหนื่อยใจเสียจริง!

อาเป่ยชะโงกหน้าออกมา พลันพูด “หน้าของนายน้อยเซียวหนากว่านายน้อยเซิ่นเล็กน้อย นายน้อยเซิ่นวางตัวดีกว่า ไม่ทำเรื่องที่ทำให้คนรำคาญใจ”

เยียนอวิ๋นเกอยิ่งเหนื่อยใจ

เมื่อกลับถึงจวนท่านหญิง นางได้รับข่าวหนึ่ง

สำนักไท่เสวียมีวันหยุด เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาสงสารเซิ่นซูเหวินที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวในวันปีใหม่ ดังนั้นจึงเชิญเขามาฉลองปีใหม่ด้วยกันในจวนท่านหญิง

วันพรุ่งเซิ่นซูเหวินจะย้ายเข้ามาพักในเรือนพักแขกอย่างเป็นทางการ

เมื่อนางไปทักทายที่ห้องตำรา จึงได้พบกับเซิ่นซูเหวินที่มายืมตำรา

“น้องอวิ๋นเกอกลับมาแล้ว!”

เขาทักทายด้วยรอยยิ้ม

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านพี่เซิ่น! ได้ยินว่าท่านพักเข้ามาในจวน ข้าก็วางใจ อยู่ข้ามปีใหม่ด้วยกันจะได้คึกคักเสียหน่อย”

เซิ่นซูเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจน้องอวิ๋นเกอ! ข้ามารบกวน หวังว่าจะให้อภัย”

“ท่านพี่เซิ่นไม่ต้องเกรงใจ!”

นางเดินขึ้นหน้าทักทายเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา

“งานเสร็จสิ้นหมดแล้วหรือ” เซียวฮูหยินดีใจ

เมื่อมองบุตรสาวยืนอยู่กับเซิ่นซูเหวิน ช่างเหมาะสมกันเสียจริง

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “เรื่องที่ควรจัดการล้วนสั่งการลงไปแล้ว”

เซิ่นซูเหวินขอตัวอย่างรู้กาลเทศะ “ท่านป้า ข้ากลับห้องก่อน หากมีเรื่องที่ข้าทำได้ ให้คนมาบอกก็พอ”

เซียวฮูหยินพูดพลันยิ้ม “เจ้ากลับห้องไปอ่านตำราเถิด เรื่องเล็กใหญ่ในจวนล้วนมีบ่าวรับใช้จัดการ เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด การศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

“ขอบพระคุณท่านป้า”

เซิ่นซูเหวินโน้มตัวคารวะ พลันถอยออกจากห้องตำรา

เซียวฮูหยินถามขึ้นทันที “ข้าให้เซิ่นซูเหวินพักอยู่ในจวน อยู่ฉลองปีใหม่กับพวกเรา เจ้าโกรธหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “พี่เซิ่นเป็นคนที่รู้ขอบเขต เขาพักเข้ามาข้าไม่คัดค้าน เพียงแค่ท่านแม่อย่าเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมายของข้ากับเขา ทุกเรื่องย่อมไม่มีปัญหา”

เซียวฮูหยินส่ายหน้าพลันหัวเราะ “เจ้าหน่ะ เมื่อพูดถึงเรื่องหมั้นหมาย เจ้าก็หลีกเลี่ยงราวกับพบเจอสัตว์มีพิษ จำเป็นหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าระรัว จำเป็นอย่างมาก

“ข้ายังเด็ก ข้ายังอยากอยู่ในจวนอีกหลายปี ท่านแม่อย่ารีบร้อนที่จะหมั้นหมายให้ข้า งานแต่งไม่ใช่การค้าขาย ต้องคำนึงถึงเรื่องวาสนา วาสนาของข้ากับท่านพี่เซิ่นยังไม่ถึง ท่านแม่อย่ากังวลใจเลย”

เซียวฮูหยินตำหนิ “หากข้าไม่กังวล คู่ครองของเจ้าคงมาไม่ถึงตลอดไป เอาเถิด เอาเถิด อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ในวันปีใหม่เลย หลังจากข้ามผ่านปีใหม่ไป รอถึงฤดูใบไม้ผลิค่อยหารือเรื่องนี้อีกครั้ง”

เยียนอวิ๋นเกอโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกพร่ำบ่นในวันปีใหม่แล้ว

เซิ่นซูเหวินพักเข้ามาในจวนท่านหญิง ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเยียนอวิ๋นเกอเกิดการเปลี่ยนแปลง

คนทั้งสองแทบจะไม่ได้พบหน้ากันในแต่ละวัน

บางครั้งพบกันในห้องของเซียวฮูหยิน ก็เพียงแค่ทักทายซึ่งกันและกัน ไม่มีการติดต่อลับหลัง

วันที่สามสิบ เยียนอวิ๋นเกอได้รับของขวัญที่เซิ่นซูเหวินมอบให้ เป็นตำราหายากที่คัดลอกด้วยลายมือ

นางชื่นชอบอย่างมาก

เซิ่นซูเหวินพูด “ได้ยินว่าน้องอวิ๋นเกอชอบอ่านตำรา พอดีในสำนักไท่เสวียเก็บสะสมตำราหายากอยู่หลายเล่ม ข้าคัดลอกมาสองชุด ชุดหนึ่งให้เจ้า ไม่รู้เจ้าชอบหรือไม่”

“ขอบพระคุณท่านพี่เซิ่น! ชุดนี้ท่านคัดลอกด้วยตนเองหรือ สำนักไท่เสวียอนุญาติให้นักเรียกคัดลอกตำราหายากหรือ”

“ย่อมไม่อนุญาต! แต่ความจำของข้าไม่เลว ข้าจดจำเนื้อหาทั้งหมดลงมาได้ แอบเขียนลงมาลับหลังจึงไม่เป็นผลกระทบ”

ฉลาดยิ่งนัก!

ตำราทั้งเล่มล้วนใช้การจำแล้วเขียน ความจำของเขาช่างเป็นเลิศ!

นางพูด “ข้าพอใจในของขวัญชิ้นนี้อย่างมาก ขอบพระคุณท่านพี่เซิ่น!”

“น้องอวิ๋นเกอไม่ต้องเกรงใจ นับแต่มาเมืองหลวง ข้าได้รับการดูแลจากท่านป้าและน้องอวิ๋นเกอ แต่ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน ภายในใจละอายอย่างมาก”

“ท่านแม่บอกให้ท่านพักอย่างวางใจ ไม่จำเป็นต้องมีภาระ”

“ท่านป้าเมตตา แต่ข้าไม่อาจไม่รู้ผิดชอบชั่วดี จะให้ข้ารับบุญคุณของท่านป้ากับน้องอวิ๋นเกออย่างสบายใจได้อย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอกุมหน้าผาก หากสนทนาต่อไป คืนนี้คงไม่ต้องทำเรื่องอื่น ล้วนเป็นการผลักไปมาด้วยความเกรงใจ

ท่านพี่เซิ่นดีในทุกเรื่อง ยกเว้นมารยาทที่มากเกินไป บางครั้งทำให้คนรับไม่ไหว

นางรับของขวัญของเขามา แต่ก็มอบของขวัญกลับเป็นอุปกรณ์ด้านการเขียน

เห็นได้ชัดว่าเซิ่นซูเหวินชื่นชอบของขวัญชิ้นนี้มาก เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

หลังจากกินอาหารมื้อเย็นในวันปีใหม่ไปได้ครึ่งทาง

สาวรับใช้นำพู่กันและหมึกมา เซิ่นซูเหวินจรดปลายพู่กันเขียนบทกวี

ใช้ปีใหม่เป็นหัวข้อ ความคิดของเขาหลั่งไหล เขียนเสร็จภายในรวดเดียว

เซียวฮูหยินชอบใจอย่างมาก ให้คนเก็บเอาไว้อย่างดี

“จากความสามารถของซูเหวิน มีคุณสมบัติที่ออกตำราบทกวี ข้าจัดการให้เจ้าดีหรือไม่”

เซิ่นซูเหวินดื่มสุราจนถึงช่วงเวลาที่กำลังคึกคัก ได้ยินว่าท่านป้าจะออกตำราบทกวีให้เขา ดีใจอย่างมาก

เขาโน้มตัวคารวะ “ขอบพระคุณท่านป้าที่เมตตา! แต่จะลำบากไปหรือไม่”

เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “สำหรับเจ้าอาจลำบาก แต่สำหรับข้าเป็นแค่คำพูดประโยคเดียว”

เซิ่นซูเหวินขอบคุณอีกครั้ง

“หากภายหน้าข้าประสบความสำเร็จ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านป้า!”

เซียวฮูหยินยิ้มด้วยความพอใจ

หลังจากผ่านวันที่สามสิบ เวลาเข้าสู่ช่วงหย่งไท่ ปีที่สิบสี่

เยียนอวิ๋นเกอติดตามเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาออกจากจวนทุกวัน

เซิ่นซูเหวินอยู่อ่านตำราในจวนเพียงคนเดียว

เยียนอวิ๋นฉวนมาหาเขาเป็นบางครั้ง เชิญเขาออกจากจวนไปดื่มสุรา แนะนำผู้อื่นให้เขา

เมื่อวันที่เจ็ดเดือนหนึ่งผ่านไป งานเลี้ยงลดน้อยลง ในที่สุดก็มีเวลาหยุดพัก

เพียงแต่ เยียนอวิ๋นเกอโล่งใจเร็วไปหน่อย

เพราะเซียวอี้นำของขวัญมาเยือน

เยียนอวิ๋นเกอตกใจจนกระโดดขึ้นมา

นางถามสาวรับใช้ “แขกที่มาคือนายน้อยอี้จริงหรือ”

“จริงเจ้าค่ะ เป็นนายน้อยอี้ เวลานี้ท่านหญิงกำลังรับรองเขาในห้องโถง อีกทั้งยังให้คนไปเชิญนายน้อยใหญ่มาที่จวน ท่านหญิงรับสั่งให้บ่าวมาเชิญคุณหนูไปพบแขกด้วยเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอสูดลมหายใจเข้า พลันพูดต่อสาวรับใช้ “เจ้าไปรายงานท่านแม่ ข้าจะตามไป”

หลังจากส่งสาวรับใช้ออกไป เยียนอวิ๋นเกอก็ขมวดคิ้วขึ้น

อาเป่ยถามนาง “คุณหนูกลัวที่จะพบนายน้อยอี้หรือ”

เยียนอวิ๋นเกอตากระตุก “อาเป่ย เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่ต้องหาคู่ครองให้เจ้าแล้วใช่หรือไม่”

อาเป่ยตกใจ รีบหุบปากในทันที ไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่ประโยคเดียว

เมื่อเห็นที เยียนอวิ๋นเกอก็สบายใจทันที

ฮ่าๆๆ …

แต่ว่าไม่นานนัก นางก็หัวเราะไม่ออกแล้ว

เพราะว่าในห้องโถงยังมีเซียวอี้ที่ยังรอนางไปรับรอง

นางกัดฟัน!

คนผู้นี้เดินทางมาจริงด้วย เกินไปแล้ว!

ไม่ได้เป็นญาติกัน เขาใช้เหตุผลใดเดินทางมา

คงไม่อาจใช้ฐานะเด็กเดินทางมาเยือนจริงๆ ใช่หรือไม่

เยียนอวิ๋นเกอเปลี่ยนชุดมุ่งหน้าไปยังห้องโถง

เซียวฮูหยินกวักมือเรียกเยียนอวิ๋นเกอด้วยความดีใจ “นายน้อยอี้มามอบของขวัญแทนท่านโหวผิงอู่ สืออุน”

อ่อ!

เขาหาเหตุผลที่ดูสมเหตุสมผลมาเยือนได้เสียจริง

เยียนอวิ๋นเกอคารวะเซียวอี้ “ทักทายนายน้อย!”

“คุณหนูสี่ไม่ต้องเกรงใจ!”

เซียวอี้แสดงท่าทีจริงจัง ไม่ยิ้มแย้ม ท่าทางเหมาะสมกับกาลเทศะ เหมือนกับความประทับใจแรกที่เขาให้ผู้อื่น

เซียวฮูหยินเป็นห่วงสถานการณ์ของบุตรสาวคนโต เยียนอวิ๋นเฟยอย่างมาก นางซักถามเซียวอี้อย่างละเอียด

อย่าเห็นว่าใบหน้าของเซียวอี้ดุ แต่เวลาเขาตอบคำถามนั้นกลับมีความอดทนอย่างมาก

เขาแทบจะตอบทุกคำถาม ทำให้เซียวฮูหยินพอใจอย่างมากที่ได้รับคำตอบที่ต้องการ

นางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย พลันจับมือของเยียนอวิ๋นเกอ “พี่ใหญ่ของเจ้าออกเรือนหลายปี พวกเราไม่ได้พบกับนางอีก ไม่รู้ว่านางสบายดีหรือไม่! หลายปีมานี้ยังไม่มีบุตร เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของนาง ข้าก็เศร้าใจ”

เยียนอวิ๋นเกอแอบถลึงตาใส่เซียวอี้ จากนั้นเอ่ยปลอบ “ท่านแม่อย่าเสียใจ ข้าเขียนจดหมายไปให้พี่ใหญ่ ให้นางหาโอกาสมาเมืองหลวงดีหรือไม่”

เซียวฮูหยินส่ายหน้า “ช่างเถิด อย่าให้พี่ใหญ่ของเจ้าลำบากใจ พวกเราอย่างสร้างปัญหาให้นางเลย”

เซียวอี้พูดขึ้น “ความจริงแล้วให้ฮูหยินของท่านโหวผิงอู่มาเมืองหลวงก็เป็นไปได้”

เยียนอวิ๋นเกอหรี่ตาลงเป็นการตักเตือนเซียวอี้ อย่าพูดจาเหลวไหล มอบความหวังที่ไม่อาจเป็นจริงให้ผู้อื่น

ท่าทีของเซียวอี้จริงจัง เขามองตรงไปด้านหน้า ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเยียนอวิ๋นเกอ

เซียวฮูหยินถามเขาอย่างรีบร้อน “มีวิธีจริงหรือ”

เขาพยักหน้า “มีวิธี! วันพระบรมราชสมภพของฝ่าบาท ในวังย่อมต้องจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ท่านโหวผิงอู่สมควรจะส่งคนมาถวายของขวัญในเมืองหลวง อีกทั้งยังต้องเป็นตัวแทนของเขาถวายให้ฝ่าบาท ฮูหยินท่านโหวเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนางแล้ว ฐานะของผู้อื่นล้วนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ หรือไม่สะดวกมาเมืองหลวง”

อาทิ บุตรชายของท่านโหวผิงอู่ที่ไม่สะดวกมาเมืองหลวง

หากถูกฮ่องเต้ใช้ข้ออ้างกักขังไว้ในเมืองหลวงก็คงจะเป็นปัญหา!

การกักขังผู้ที่เดินทางมาถวายพระพรเป็นตัวประกัน เรื่องแบบนี้ คนที่ไร้บรรทัดฐานอย่างฮ่องเต้สามารถทำได้อย่างแน่นอน

ส่งสตรีในจวนมาเมืองหลวงสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงแบบนี้ได้ดีที่สุด

แน่นอน ท่านหญิงจู้หยางเซียวฮูหยินเป็นกรณีพิเศษ

นางเป็นคนในตระกูลของฮ่องเต้ ความสัมพันธ์ตัดไม่ขาด

ฝ่าบาทไม่ให้นางกลับแคว้นซ่างกู่ นางเองก็ยินดีปล่อยให้เลยตามเลย

อยู่ในเมืองหลวง ห่างไกลจากเยียนโส่วจ้าน สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวขึ้นอีกหลายปี