บทที่ 224 ฉางเย่ผู้น่าสงสาร
บทที่ 224 ฉางเย่ผู้น่าสงสาร
เจ้าสาวคนนี้คือ ฉางเย่เธอเป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร ปีนี้เธออายุ 23-24 ปี แม้ว่าจะไม่ได้สวยสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทว่าเธอถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เธอยังเด็กเพื่อเรียกค่าไถ่เป็นวัยเด็กที่โหดร้ายมากๆ
วัยเด็กของเธอไม่รู้ว่าเธอโดนทุบตีมามากมายเท่าไร กระทั่งเกือบโดนตัดขาทั้งสองมาแล้วก็มี แต่ยังดีที่หญิงสาวเป็นเด็กฉลาดซ่อนตัวได้ทัน หลายครั้งที่เธอพยายามหนีแต่ก็ไม่มีโอกาส จนเวลาผ่านไปจากเด็กน้อยก็โตเป็นสาวอายุ 23-24 ปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้านายของหล่อนบอกให้เธอไปแต่งงานกับคนๆ หนึ่ง
หญิงสาวคิดว่าแต่งงานก็ยังดีกว่าไปเป็นขอทานข้างถนน ถ้าไม่ยอมทำตามที่เจ้านายบอก เกรงเธอคงเป็นปลาที่รอหั่นอยู่บนเคียงนานแล้ว* ดังนั้นการแต่งงานแล้วอยู่อย่างสุขสบายเป็นทางเลือกที่ไม่เลวสำหรับเธอ ทว่าเธอเพิ่งจะรู้ว่าคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยจริงๆ แล้วเป็นวัณโรค *(หมายถึงค้าอวัยวะ)
เขาเป็นอันธพาลในหุบเขา ปีนี้อายุปาเข้าไป 40 ปีแล้ว ไม่มีเงินเก็บสะสมเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเขาไปรู้จักเจ้านายของเธอได้ยังไง อีกทั้งเขายังขายเธอไปในราคาแค่ 2 แสน!
วัณโรคก็วัณโรคเถอะ ถ้าเกิดว่าวันข้างหน้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยเธอก็ยอม แต่ฉางเย่ไม่คิดเลยว่าคนที่ซื้อตัวเธอมานั้นเลวร้ายมากขนาดไหน ภายใน 4 ปีนี้และเขาอยากให้เธอคลอดลูกให้เขาอย่างน้อย 2 คน หลังจากนั้นเธอก็จะถูกส่งกลับไปยังเจ้านายคนเก่าและต้องคลอดลูกให้พวกเขาตลอดไป!
แต่จะให้เธอทำยังไง หนีเหรอ! ล้อเล่นน่า คนที่ไร้ที่มาที่ไปอย่างเธอจะให้หนีไปไหน อีกทั้งที่นี่มีคนเฝ้าจับตาดูอยู่ทุกที่ จะให้เธอหนีไปยังไง ยิ่งถ้าเธอโดนจับได้ขึ้นมาไม่เพียงแต่ต้องโดนทุบตี น่ากลัวว่าแม้แต่ขาตัวเองก็ต้องโดนตัดไปแน่ๆ
เรื่องราวที่น่าเศร้านี้เกิดขึ้นกับฉางเย่อยู่เสมอ บางครั้งเธอก็คิดที่จะฆ่าตัวตาย แต่เธอยังมีความฝันที่จะตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอ เธอต้องอยู่ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม.
อาจเป็นเพราะความเชื่อแบบนี้ทำให้เธอสามารถอยู่รอดมาได้กว่า 20 ปี ในอดีตเธอมักจะคิดถึงเรื่องราวดีๆ ในอดีต แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันเธอกลัวว่าชะตากรรมของเธอคงเป็นได้แค่ทาสตลอดไป…..
พอคิดถึงชายวัณโรคอายุ 40 แล้ว เธอก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว เธอได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่รังแกเธอมากนัก อีกฝ่ายน่าจะไม่ทำอะไรเธอรุนแรงเพราะเห็นเธอเป็นเพียงเครื่องมือผลิตลูกเท่านั้นละมั้ง พอคิดถึงตรงนี้ทำให้เธอรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นมา
ทางด้าน ฉู่เหินที่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในโพล่งต้นไม้ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นเคยมาก เพราะมันหมายความว่ากำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นพวกไล่ล่าเขากลับมาอีกแล้ว พวกนี้ตามล่าแบบกัดไม่ปล่อยจนฉู่เหินถึงกับพูดไม่ออก อีกทั้งทักษะการไล่ล่าอีกฝ่ายสูงมากจนทำให้ฉู่เหินได้แต่สู้ตายเอาตัวรอดไปวันๆ
หลังจากที่อาการดีขึ้นฉู่เหินรีบกระโดดออกมาจากช่องของต้นไม้ในทันที ครั้งนี้เขาไม่ได้เรียกฉู่เฟิงออกมา เพราะว่าเพื่อที่จะช่วยเขาออกจากหินถล่ม ฉู่เฟิงแบกฉุู่เหินขึ้นหลังจนหนีออกมาได้ มันปกป้องเขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ฉู่เฟิงดวงแข็งมากต่อให้ถูกหินก้อนใหญ่ทับก็รอดมาได้ แต่มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
หลังจากที่มีร่างของตัวเองแล้ว มันก็สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นฉู่เหินจึงเก็บเขาไว้ในแหวนมิติ ส่วนพี่เสือกับแรดเขาเดียวน่ะช่างมันเถอะ เพราะว่ารูปร่างของพวกมันสะดุดตาเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นการที่เอาเจ้ายักษ์ 2 ตัวนี้ออกไปเดินข้างนอกไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเคยเห็น ดังนั้นตอนนี้เขาจำเป็นต้องช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น
หลังจากเดินอย่างระแวดระวังมานานในที่สุดเขาก็มาถึงถนนสายหลัก ระยะทางมีหมู่บ้านอยู่ไม่น้อย ฉู่เหินยังไม่ไว้ใจว่าเขาหนีการตามล่าพ้นแล้ว
เขากำลังรอโอกาส หลังจากที่ซุ่มซ่อนอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ทันใดนั้นก็มีเสียงเจ้าบ่าวต้อนรับเจ้าสาวดังมาแต่ไกลขึ้น คนกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย มองไกลๆ ด้วยสายตามีถึงร้อยกว่าคน
ทว่ากลุ่มเจ้าบ่าวนี้มีไม่กี่คนที่จะเดินมายินดีต่อการแต่งงานนี้ พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะใช้รถ แค่กลับเลือกวิธีโบราณยิ่งอย่างการแบกเกี้ยว กลุ่มคนด้านหน้า มีเกี้ยวไม้ที่ประทับไปด้วยของสีแดงมากมาย กระทั่งบนเกี้ยวยังติดดอกไม้สีแดงดอกใหญ่อยู่ดอกหนึ่งด้วย
มีชายอายุประมาณ 40 สวมเสื้อคลุมสีแดงนั่งอยู่บนม้าคนหนึ่ง แต่ท่าทางของเขานั้นแย่มากเพราะว่าระหว่างที่ควบม้าอยู่นั้นเจ้าตัวก็ไอไปตลอดทาง
ทั้งสองข้างนั้นมีคนตีกลองอยู่ตลอดเวลา บางคนก็เดินไปหว่านเมล็ดพืชไป มองไม่เห็นความครึกครื้นเลยสักนิด แม้แต่ขบวนเจ้าบ่าวก็ไม่มีใครยิ้มเลยแม้แต่คนเดียว
ฉู่เหินมุ่งหน้าเข้าไปทันที รวดเร็วปานสายฟ้า ฉู่เหินผ่านขบวนเจ้าบ่าวมา เข้าไปหลบอยู่ใกล้ๆ กับเกี้ยวของเจ้าสาว
ฉู่เหินคิดว่าเจ้าสาวจะต้องอายุซัก 40-50 แน่ๆ แต่เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อพบว่าเจ้าสาวนั้นทั้งอายุน้อยแถมยังสวยมากๆ ถึงจะไม่สวยเท่าเสี่ยวชิง แต่ก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ถ้าแต่งตัวดีๆจะสวยกว่านี้อีกซัก 7-8 ส่วนนับเป็นสาวงามอย่างแท้จริง
จิตใจของฉางเย่ตอนนี้แตกสลาย งานแต่งงานครั้งนี้เป็นจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของเธอ เธอเคยหวังว่าจะมีวีรบุรุษช่วยสาวงามมาช่วยเหลือเธอให้ออกไปให้ไกลจากที่นี่ซะ เธอได้แต่ร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง
เธอรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่จู่ๆ เธอก็พบกับชายคนหนึ่งที่มาหลบอยู่ใกล้ๆ รถม้าของเธอแถมดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสังเกตเลยด้วยจนเธอพูดออกมาแบบลืมความอายทั้งหมดออกไปทันที เพราะนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตของเธอ
“มีจริงๆ เหรอ วีรบุรุษช่วยตัวเจ้าสาวมีจริงๆสินะ!” ฉู่เหินที่ได้ยินคำพูดนี้รู้ตัวทันทีว่าเขางานเข้าให้แล้ว
“ซินเหนียง*อย่าตกใจไป ผมฉู่เหินกำลังถูกคนร้ายไล่ล่า อยากหนีมาหลบอยู่บนเกี้ยวคุณ ถ้าซินเหนียงในความช่วยเหลือ วันข้างหน้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยผมจะไม่ปฏิเสธเลย! ” เดิมทีฉู่เหินคิดจะทำให้เธอสลบ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำไม่ลง
*ซินเหนียง แปลว่าเจ้าสาว
“วีรบุรุษกำลังลำบาก พระเจ้า! อย่างกับในนิทานนี้เรียกว่าพรมลิขิตใช่ไหม” หญิงสาวไม่ได้ตอบฉู่เหิน แต่กลับยิ้มอย่างโง่งม ทำให้ฉู่เหินพยายามที่จะไม่มองบนใส่
“นี่คงเป็นชะตากรรมที่จะให้ฉันฉางเย่กับคุณได้มาพบกัน ในที่สุดฉันก็จะได้เปลี่ยนชะตาชีวิตเสียที คุณวางใจได้ไม่ว่าคุณจะเจอเรื่องใหญ่แค่ไหน ฉันจะเป็นคนปกป้องคุณเอง” ยิ่งเธอคนนี้พูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ฉู่เหินหัวปวดมากขึ้นเท่านั้น
แต่ตอนนี้ ฉู่เหินรับรู้ได้ถึงเสียงเท้าที่กำลังเดินเข้ามา ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีปัญหาซะแล้ว ถ้าเกิดว่าโดนเจอตัวเข้าเรื่องคงจะไม่จบง่ายๆ แน่!