ตอนที่ 113 เอาเปรียบนางอีกแล้ว

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 113 เอาเปรียบนางอีกแล้ว

“ท่านอ๋อง…” จู่ ๆ เสียงของเสิ่นอิงก็ดังขึ้นเบา ๆ จากด้านนอก

ทั้งสองคนที่กำลังโรมรันพันตูได้สติกลับคืนมา เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว เขาเพิกเฉยและยังคงโอบเอวของนางและจูบต่อไป

ทว่าอวี้ชิงลั่วกลับหงุดหงิด นางบิดตัวซ้ายขวาและดีดนิ้วใส่หน้าของเขาแรง ๆ สองครั้ง ครั้นเห็นเขาตกอยู่ในเจ็บปวดของจึงรีบผละร่างออกมาอย่างพัลวัน ย้ายไปอยู่ด้านในสุดของเตียง ทั้งยังอ้าปากหอบหายใจ

เย่ซิวตู๋ขบฟันใส่เสิ่นอิง เหลือบมองอวี้ชิงลั่วปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่ข้างประตูด้วยใบหน้าดำทะมึน ออกแรงเปิดประตู “มีเรื่องอะไร?”

เสิ่นอิงชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเห็นนายท่านมีใบหน้ามืดครึ้มจนไม่สามารถมืดครึ้มมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ภายในใจก็เริ่มเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ผิดปกติ เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าตนเองมาผิดเวลานะ?

“ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไสหัวไป” เย่ซิวตู๋หมดความอดทนแล้ว ที่มุมปากยังมีร่องรอยความอบอุ่นจาง ๆ เล็กน้อย ทว่าก็ต้องยอมแพ้ รสชาติของความไม่พอใจนี้ทำให้รู้สึกไม่ดีจริง ๆ

เสิ่นอิงกระสับกระส่ายไปทั้งตัว ร่างกายสั่นสะท้านอย่างหนัก รีบตอบไปว่า “เอ่อ ข้าน้อยเพียงแค่ เพียงแค่อยากจะถามว่าผงสีเขียวนั่น…หมายความว่าอย่างไรกันแน่ขอรับ”

เขาแค่เป็นห่วงหนานหนานก็เท่านั้น ผิดด้วยหรือ?

เสิ่นอิงหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ เมื่อครู่นายท่านคุยอะไรกับแม่นางอวี้กันแน่? เหตุใดแม่นางอวี้ถึงได้กระตุ้นให้นายท่านโกรธเสียได้? ทั้งยังทำให้เขาโดนลูกหลงไปด้วย เขาเป็นผู้บริสุทธิ์นะ

เย่ซิวตู๋ยังคงจ้องเขาต่อไปด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตร “หนานหนานปลอดภัยดี”

ครั้นพูดจบ เสียง ‘ปัง’ ก็ดังขึ้น พร้อมกับประตูที่ถูกปิดลงตรงหน้าเขาแรง ๆ

เสิ่นอิงยืนแข็งเป็นหินอยู่หน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้สติกลับมา ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงยกมือลูบแขน ก้าวเท้าเดินออกจากด้านนอกประตูอย่างเงียบเชียบที่สุด

เย่ซิวตู๋หมุนกายกลับมา ตอนที่เดินมาถึงหน้าเตียงของอวี้ชิงลั่ว สตรีผู้นี้ก็จัดระเบียบเสื้อผ้าและอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังกลับมาเงียบขรึมอย่างสมบูรณ์ จ้องมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา

“อยากดื่มน้ำสักคำไหม?”

“ดื่มกับน้องสาวเจ้าเถอะ” อวี้ชิงลั่วระเบิดโทสะ “เย่ซิวตู๋ ท่านเอาเปรียบข้า กล้ายืนอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าข้าเช่นนี้ ข้าฆ่าท่านแน่ ไม่เชื่อก็ลองดู?”

เย่ซิวตู๋กระตุกมุมปากขึ้น แม้ว่าจะยืนอยู่ตรงหน้านาง แต่ก็ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว

อวี้ชิงลั่วถึงกับขนลุกซู่ เกิดความคิดอยากจะปรี่ตัวเข้าไปบีบคอเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ “เย่ซิวตู๋ ห้ามยิ้มมุมปาก”

“อะไรกัน จูบเจ้านิดหน่อย ก็เริ่มมาสนใจปากของข้าแล้วหรือ?”

อะไรที่เรียกว่าจูบนางนิดหน่อย? เหตุใดเมื่อทุกอย่างไปถึงปากของเขา ดูคล้ายกับกำลังเอาเปรียบนางทุกอย่าง ราวกับนางเป็นคนเริ่มก่อนอย่างไรอย่างนั้น?

“เจ้าอยากจะสนใจก็ย่อมได้ แต่แค่นั้นยังไม่ค่อยพอเท่าไรนัก พวกเรามาทำอีกสักครั้งดีหรือไม่” เย่ซิวตู๋นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ เผชิญหน้ากับนางด้วยรอยยิ้มที่ทำตามอำเภอใจยิ่งขึ้น

เส้นเลือดบริเวณขมับของอวี้ชิงลั่วเริ่มเต้นตุบ ๆ สงบจิตสงบใจ…นางจะสงบจิตสงบใจได้อย่างไรกัน? มาอยู่เมืองหลวงแค่ 3-4 วัน เขากลับเอาเปรียบนางไปสองหนแล้ว

ทั้งยังนานขึ้นกว่าครั้งแรก ไร้ยางอายกว่าครั้งแรก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำงั้นหรือ?

“เย่ซิวตู๋ ท่านคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าท่านสินะ?”

กระต่ายที่ถูกบังคับให้จนตรอกก็กัดคนได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเดิมทีนางก็ไม่ใช่กระต่ายที่เชื่อฟังอยู่แล้ว

เย่ซิวตู๋คลึงหว่างคิ้ว ค่อย ๆ ลุกขึ้น ตอบไม่ตรงคำถาม “ข้าเริ่มง่วงแล้ว นอนเถอะ”

ระหว่างที่พูด ก็เดินตรงเข้ามาหานาง

“ท่านพูดอะ…” ร่างกายของอวี้ชิงลั่วถึงกับแข็งทื่อ ราวกับทั้งร่างกายถูกยึดไว้ มิอาจขยับเขยื้อนได้ “เย่ซิวตู๋ ท่านคิดจะทำอะไร?”

“บอกไปแล้วมิใช่หรือ? ง่วงแล้ว” เขาวางนางลงบนเตียงอย่างมั่นคง ครั้นขึ้นบนเตียงก็เอนตัวลงตามสบาย

อวี้ชิงลั่วถึงกับโมโห “ไสหัวลงไป ท่านก็มีห้องอยู่แล้ว จะมานอนที่ห้องข้าทำไม? หากยังไม่ยอมลงไป เช้าวันพรุ่งก็รอกลายเป็นศพได้เลย”

เย่ซิวตู๋ยิ้ม มือขวาโอบไปที่เอวของนาง “เจ้าเองก็ลองทำแบบนั้นมาหลายหนแล้วมิใช่หรือ? คราก่อนก็ยังให้ยาถอนพิษกับข้าด้วย?”

“นั่นก็เป็นเพราะหนานหนานอยู่ในมือของท่าน” ให้ตายเถอะ จั๊กจี้เอวชะมัด ไอ้คนสารเลว

“เจ้าเองก็รู้ดีนี่ว่าเขาอยู่ในมือของข้าแล้วปลอดภัยดี” เย่ซิวตู๋อ้าปากหาว หนังตาเริ่มหนักอึ้งเล็กน้อย “อวี้ชิงลั่ว เจ้าไม่เคยคิดบ้างเลยหรือ เหตุใดเจ้าถึงลงมือกับข้าไม่ลง ทั้ง ๆ ที่เจ้าเองก็มีโอกาสมากมายที่สามารถฆ่าข้าได้ แต่ต่อให้เจ้าโกรธจนแทบระเบิด แต่เจ้าก็ยังอาลัยอาวรณ์วางยาพิษใส่ข้าไม่ลง?”

“ข้าอาลัยอาวรณ์ตรงไหนกัน?”

มือของเย่ซิวตู๋ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมา วางไว้ข้างลำคอของนาง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ บางทีเจ้าอาจจะชอบข้าเข้าแล้ว”

“ฝันไปเถอะ…” ยังกล่าวไม่จบ อวี้ชิงลั่วก็รู้สึกเจ็บที่ลำคออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่ความมืดมิด

“นอนเถิด” เย่ซิวตู๋ดึงมือกลับมา ขยับเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดตาลงอย่างพึงพอใจ

เมื่อได้นอนหลับไปตื่นหนึ่ง เย่ซิวตู๋รู้สึกได้ว่าเขานอนหลับได้อย่างสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ยี่สิบกว่าปีแล้ว ที่เขาไม่เคยได้รู้สึกว่ามีคนนอนอยู่ข้างกายจนทำให้เขารู้สึกไม่อยากปล่อยไป

ช่วงเช้าเสิ่นอิงออกตามหาเย่ซิวตู๋ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เขาน่าจะอยู่อย่างห้องตำรา ห้องนอนและสวน แต่กลับไม่เห็นเขา ท้ายที่สุดจึงเห็นเขาก้าวเท้าออกมาจากห้องของอวี้ชิงลั่วอย่างไร้อารมณ์ เขาก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

ห้องของแม่นางอวี้ ห้องของแม่นางอวี้?

หรือว่า นายท่านจะอยู่ในห้องแม่นางอวี้ทั้งคืน?

“ยืนอึ้งอะไรอยู่? เข้าวัง” เย่ซิวตู๋เหลือบมองเขาอย่างดูหมิ่น เมื่อเทียบกับความวุ่นวายของเสิ่นอิง เขากลับดูกระปรี้กระเปร่าผิดปกติมาก โดยเฉพาะตอนที่นึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งลุกขึ้นจากเตียง ข้างกายมีอวี้ชิงลั่วกำลังนอนอยู่ มุมปากก็อดกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มไม่ได้

เสิ่นอิงรีบขานตอบหนึ่งเสียง รีบไปเตรียมม้าเพื่อเดินทางไปยังพระราชวังพร้อมกับเขา

“เหวินเทียนไม่ส่งข่าวมาตลอดทั้งคืนเลยหรือ?”

เสิ่นอิงพยักหน้า “ไม่มีเลยขอรับ”

ไม่มีข่าวคราวนั่นแหละถึงจะเป็นข่าวดี อย่างน้อย ๆ ภายในวังก็ไม่ได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น อย่างน้อยหนานหนานก็น่าจะยังปลอดภัยดี

หลังจากเข้าวัง ทั้งสองคนก็ตามหาเหวินเทียน

หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดทั้งคืน เหวินเทียนก็ยังดูดีมีชีวิตชีวาอยู่ เขาขยับเข้าใกล้กระซิบข้างหูเย่ซิวตู่ รายงานถึงสถานการณ์คร่าวภายในวังรอบหนึ่ง “ท่านอ๋อง เมื่อคืนข้าน้อยได้เดินหาทางฝั่งทิศตะวันตกของห้องพระเครื่องต้นแล้ว แต่กลับไม่เจอร่องรอยของหนานหนานเลยขอรับ”

“อืม” เย่ซิวตู๋เดินไปด้านหน้า ในมือยังคงถือขวดขนาดเล็กที่บรรจุแมงป่องของอวี้ชิงลั่ว

“ท่านอ๋อง ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ” เหวินเทียนเดินตามอยู่ด้านหลัง กระซิบเสียงเบา “เช้าวันนี้ฮูหยินของเว่ยหยวนโหวพาหลิ่วเซียงเซียงที่ได้รับบาดเจ็บเข้าวัง ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักอี๋ซิ่งของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงแล้วขอรับ”

เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ “เหอะ ร้องทุกข์ได้ทันเวลามาก เสด็จพ่ออยู่ที่ห้องตำราหลวงหรือตำหนักอี๋ซิ่ง?”

“ฝ่าบาทเพิ่งเลิกประชุมราชสำนัก ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ห้องตำราหลวงขอรับ”

เย่ซิวตู๋พยักหน้า รีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปที่ห้องตำราหลวงทันที

ใครจะไปคิดว่าตอนที่พวกเขาทั้งสามเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู จู่ ๆ ก็พบเหมียวเชียนชิวกำลังรีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นเย่ซิวตู๋จึงคารวะทักทาย กระซิบเสียงเบา “ท่านซิวอ๋อง เมื่อครู่ฝ่าบาทเสด็จไปที่ตำหนักอี๋ซิ่งแล้ว มีรับสั่งให้ท่านไปที่นั่นขอรับ”

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เริ่มหมั่นไส้ท่านอ๋องซิวเข้าแล้วค่ะ หน้าหนาไร้ยางอายที่สุด กินเต้าหู้ชิงลั่วตลอดเลย

ฮ่องเต้มีรับสั่งอะไรกับอ๋องซิวกันนะ

ไหหม่า(海馬)