ตอนที่ 114 หมอปีศาจพักอยู่ที่จวนเว่ยหยวนโหว?
ตำหนักอี๋ซิ่ง?
ฝีเท้าของเย่ซิวตู๋หยุดชะงักลง สถานที่แห่งนั้น เขาไม่อยากไปเลยจริง ๆ
เหมิงกุ้ยเฟยคือท่านแม่ของเขา ตอนนี้เป็นนางสนมที่จักรพรรดิทรงโปรดปรานมากที่สุด เป็นสตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่มนางใน ทว่าก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมกับเขามากที่สุดเช่นกัน
เสิ่นอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วตามไปด้วย ชะงักไปครู่หนึ่งจึงก้าวเท้าเข้ามาโน้มน้าวใจ “ท่านอ๋อง ไม่เจอกันสี่ปี กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงย่อมคิดถึงท่านเป็นแน่ขอรับ”
เย่ซิวตู๋พยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะสั่งให้เหมียวเชียนชิวนำทางไป
ใช่สิ ไม่เจอหน้ากันสี่ปีแล้ว หมู่เฟย[1] ผู้นั้นของเขาได้เห็นว่าเขายังมีชีวิตที่ดี ไม่รู้ว่าจะผิดหวังมากเพียงใด
ตำหนักอี๋ซิ่งเป็นตำหนักที่งดงามที่สุดของวังหลังเสมอมา จักรพรรดิทรงโปรดปราน ของที่มอบให้เหมิงกุ้ยเฟยย่อมมีจำนวนมาก ต่อให้นางมีจิตใจประหยัดมัธยัสถ์ ก็ยังมิอาจต้านคำพูดเยินยอประจบสอพลอได้
เย่ซิวตู๋และคนอื่น ๆ ยังไม่ทันได้เดินเข้าไป ก็เห็นนางข้าหลวงส่วนตัวของเหมิงกุ้ยเฟยเดินตรงเข้ามา เมื่อเห็นเย่ซิวตู๋จึงคารวะและกระซิบเสียงเบา “ท่านซิวอ๋อง เว่ยหยวนโหวเข้าวังเพื่อขอเข้าพบ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านโหวเข้าเฝ้าที่อุทยานอวี้ฮวาเจ้าค่ะ”
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หมายความว่า ตอนนี้ฮ่องเต้และกุ้ยเฟยรวมถึงตระกูลของเว่ยหยวนโหว อยู่ที่อุทยานอวี้ฮวาทั้งหมดเลยงั้นหรือ?
เย่ซิวตู๋ยิ้มด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น เหมียวกงกงที่อยู่ข้าง ๆ หมุนเท้า เดินนำเขาไปที่อุทยานอวี้ฮวา
พวกเขายังมาไม่ถึง ก็ได้ยินเสียงเรียบเฉยที่คุ้นเคยดังมาจากศาลาทางฝั่งนั้น เหมียวเชียนชิวจึงเปล่งเสียงพูดว่า “ท่านซิวอ๋องมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเสียงดังขึ้น เสียงที่จากเดิมกำลังครึกครื้นพลันเงียบลง
เย่ซิวตู๋ก้าวเท้าเข้ามาด้านใน ตอนที่เห็นจักรพรรดิ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงทุ้มต่ำที่เปล่งออกมา “ลูกคารวะเสด็จพ่อ” จากนั้น จึงหันไปแย้มยิ้มด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ให้กับเหมิงกุ้ยเฟย “หมู่เฟย”
“ไม่ต้องมากพิธี ซิวเอ๋อร์ นั่งตรงนี้” จักรพรรดิมีรอยยิ้มเต็มพระพักตร์แล้ว พระองค์ทราบมาหลายวันแล้วว่าเขากลับมาถึงเมืองหลวง แต่กลับไม่ได้เจอกันสักที ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอพระโอรสอันเป็นที่รักผู้ไม่ได้เจอหน้ากันมาสี่ปี ต่อให้ภายในใจจะควบคุมได้ แต่อารมณ์ความรู้สึกนั้นก็เปิดเผยออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เว่ยหยวนโหวและฮูหยินที่อยู่ข้าง ๆ ต่างคารวะเย่ซิวตู๋ หลิ่วเซียงเซียงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ ก็อยากจะคารวะทักทาย แต่น่าเสียดายที่หน้าอกของนางในตอนนี้ยังเจ็บร้าวอยู่ ขยับเพียงเล็กน้อยก็เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
จักรพรรดิโบกพระหัตถ์ ตอนที่หันกลับมาทอดพระเนตรเย่ซิวตู่อีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมพระโอษฐ์ก็ลึกยิ่งขึ้น ไม่เจอกันมาหลายปี ซิวเอ๋อร์มีความสงบและยับยั้งชั่งใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังมีท่าทางของจักรพรรดิมากขึ้นด้วย
พระองค์อยากรำลึกถึงความหลังกับเย่ซิวตู๋ พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของเขาในช่วงหลายปีมานี้ และอยากพูดคุยสถานการณ์ภายในราชสำนักด้วย
เพียงแต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้ตระกูลเว่ยหยวนโหวอยู่ที่นี่ ทั้งยังมาเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อร้องทุกข์
เหมิงกุ้ยเฟยยิ่งมีสีหน้าจริงจังเข้าไปใหญ่ นางเอ่ยปากถามตรง ๆ ว่า “ซิวเอ๋อร์ เมื่อวานแม่นางหลิ่วไปหาเจ้าที่จวน แต่กลับได้รับบาดเจ็บกลับมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
จักรพรรดิเม้มพระโอษฐ์ มิได้ตรัสสิ่งใด กุ้ยเฟยเข้มงวดกับซิวเอ๋อร์มาโดยตลอด หลายปีมานี้ พระองค์ก็คุ้นชินแล้ว
เย่ซิวตู๋กระตุกมุมปากยิ้มเยาะ เหลือบมองไปทางหลิ่วเซียงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายถูกเขามองจึงหน้าแดงระเรื่อ ค่อย ๆ ก้มหน้าลง
“หมู่เฟย เหตุใดท่านถึงไม่ถามดูบ้างว่าแม่นางหลิ่วไปทำอะไรไว้ในจวนของข้า?”
หลิ่วเซียงเซียงชะงัก รีบโต้แย้งทันควัน “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ เมื่อวานข้าได้ยินมาว่าท่านซิวอ๋องกลับเมืองหลวงแล้ว จึงอยากไปพบท่านซิวอ๋องก็เท่านั้น คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกสตรีที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดทุบตีจนอยู่ในสภาพนี้เพคะ”
เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ “เหตุใดแม่นางหลิ่วถึงไม่พูดเรื่องที่ตนเองนำแส้ไปฟาดเหล่าสาวรับใช้และหญิงเฒ่า 6-7 คนภายในจวนของเราล่ะ?”
“ข้า…ข้า…นั่นก็เป็นเพราะสาวใช้และหญิงเฒ่าเหล่านั้นทำให้ข้าลำบากใจ ไม่ยอมไปรายงานท่านอ๋อง คนรับใช้ที่ไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ ผิดด้วยหรือที่ข้าจะอบรมสั่งสอนพวกนาง?”
“นั่นสิ ท่านอ๋อง ก็แค่คนรับใช้ไม่กี่คนเท่านั้น หรือว่าสำหรับบุตรีของกระหม่อมแล้ว แม้แต่คนรับใช้ไม่กี่คนก็ยังสู้ไม่ได้?” สำหรับเว่ยหยวนโหว บุตรีของเขาคือสิ่งล้ำค่าและทะนุถนอมมากที่สุด บุตรีคนนี้ได้รับการประคบประหงมอยู่ในมือของเขาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่เล็กจนโต มีครั้งใดบ้างที่นางได้รับบาดเจ็บเช่นนี้?
เมื่อวานตอนที่มีลูกสมุนประคองเข้าจวน เขาก็โมโหจนเกือบสังหารองครักษ์เหล่านั้นที่คุ้มกันอย่างไร้ประสิทธิภาพ หากมิใช่เพราะตอนนั้นดึกแล้ว เขาก็คงเข้าวังตั้งแต่เมื่อวาน และยื่นหนังสือเกี่ยวกับท่านซิวอ๋องต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทอย่างหนักไปแล้ว
จักรพรรดิจิบพระสุธารสชา (น้ำชา) อย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนไม่คิดจะแทรกแซง
เหมิงกุ้ยเฟยมีสีหน้าไร้อารมณ์มาโดยตลอด ใบหน้าที่จริงจังเล็กน้อยนั้นดูคล้ายกับเย่ซิวตู๋มาก นางเองก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะพูดสิ่งใด เพียงแต่รอการโต้แย้งของเย่ซิวตู๋ ถึงเวลานั้นนางค่อยตั้งคำถาม
เย่ซิวตู๋มองเว่ยหยวนโหว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเหี้ยมโหด “คนรับใช้ของเรา ต้องให้แม่นางหลิ่วดูแลตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“อีกไม่นานเซียงเซียงก็จะกลายเป็นซิวหวังเฟยแล้ว คนรับใช้เหล่านั้นไม่ยอมเคารพเซียงเซียงตอนนี้ หลังจากนี้ไม่ปีนขึ้นหัวเซียงเซียงเลยหรือพะยะค่ะ?” เว่ยหยวนโหวแสดงสีหน้าโกรธเคือง เขาให้ความสำคัญกับบุตรีมาโดยตลอด ย่อมไม่คิดจะยอมแพ้ “ยิ่งไปกว่านั้น คนรับใช้เหล่านั้นก็ได้รับบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อย แต่บัดนี้บุตรีของข้าแค่นอนขยับตัวก็เจ็บปวดรวดร้าวไปหมด หมอแจ้งว่าหากไม่ใช่เพราะได้รับการรักษาทันเวลา เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็มิอาจรักษาไว้ได้ ท่านอ๋อง นางถูกสตรีภายในจวนของท่านทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่น ข้าเพียงแค่หวังว่าท่านอ๋องจะออกคำสั่ง ให้คนนำตัวสตรีผู้นั้นออกมา โปรดฝ่าบาทให้ความเป็นธรรม ให้กระหม่อมจัดการสตรีผู้นั้น เช่นนี้เรื่องนี้ก็จะผ่านไป”
จัดการอวี้ชิงลั่ว? เขาช่างประหลาดคนยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางอวี้ก็เป็นหมอ เมื่อนางลงมือย่อมรู้จักขีดจำกัด จะทำร้ายหลิ่วเซียงเซียงจนถึงชีวิตได้อย่างไรกัน?
เย่ซิวตู๋คร้านจะมองเขา “ท่านโหว ท่านอยากให้เราตายหรือ? อยากให้เราเติมเต็มชีวิตของบุตรีของท่านแทนงั้นหรือ?”
เว่ยหยวนโหวตกใจ “ท่านอ๋องพูดอะไรเช่นนี้? ข้าเพียงแค่อยากให้นำตัวสตรีผู้นั้นออกมาก็เท่านั้น ข้าจะต้องการชีวิตของท่านอ๋องได้อย่างไรกันพะยะค่ะ?”
“หรือแม่นางหลิ่วไม่ได้บอกท่านโหวว่าเราได้รับพิษแล้ว ยาถอนพิษนั่นอยู่ในมือของสตรีผู้นั้น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง เราก็จะตายเพราะพิษด้วย ในเมื่อท่านโหวคิดจะจัดการนาง นี่มิเท่ากับบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่า ท่านโหวไม่พอใจเราเป็นอย่างมาก และอยากใช้โอกาสนี้เพื่อพรากชีวิตเราหรือ?”
เว่ยหยวนโหวสูดลมเย็นเข้าปาก กล่าวเสียงขรึม “ท่านอ๋องไม่มีความจำเป็นต้องพูดให้ข้าตื่นตระหนก เรื่องนี้เซียงเซียงย่อมบอกข้าแล้ว แต่ท่านอ๋องเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ จะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้เพื่อสตรีได้อย่างไรกัน? ข้าไม่เชื่อหรอก”
เย่ซิวตู๋หัวเราะพรืด “ท่านโหวไม่เชื่อ ก็เชิญให้หมอหลวงมาตรวจร่างกายเราดูได้เลย ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?”
จักรพรรดิเงยพระพักตร์ขึ้นทันใด “เหมียวกงกง ไปเชิญหมอหลวงเหลียงมา”
เหมิงกุ้ยเฟยและเว่ยหยวนโหวยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด เหมียวเชียนชิวก็รีบวิ่งออกจากศาลาไป สั่งให้คนไปที่ไท่อีเยวี่ยน
เว่ยหยวนโหวเม้มปาก เมื่อเห็นท่าทางนิ่งสงบของเย่ซิวตู๋ ก็ทราบได้ว่าต่อให้หมอหลวงมาดูอาการ บางทีอาจจะตรวจสอบอะไรบางอย่างจริง ๆ ก็เป็นได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…
“ฝ่าบาท” เว่ยหยวนโหวคุกเข่าลงบนพื้น พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ที่จวนของกระหม่อมมีหมอปีศาจที่มีชื่อเสียงใต้หล้าพักอาศัยอยู่ ทั้งยังเป็นหมอปีศาจที่มีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูง ชีวิตของบุตรีของกระหม่อมก็ถูกเขาช่วยกลับมา กระหม่อมอยากเชิญให้หมอปีศาจเข้าวังเพื่อรักษาให้ท่านอ๋อง หากท่านอ๋องได้รับพิษ และเป็นพิษร้ายแรง บางทีหมอปีศาจอาจช่วยถอนพิษให้ท่านอ๋องได้”
หมอปีศาจ? เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้น มิใช่ว่าหมอปีศาจอาศัยอยู่ที่ตำหนักอ๋องของเขาหรอกหรือ? หรือว่า…ยังมีการสวมรอยด้วย?
เรื่องนี้ ชักน่าสนใจอย่างมากเสียแล้วสิ
……………………………………………………………………………………
[1] หมู่เฟย (母妃) ใช้เรียกมารดาที่เป็นพระสนม
สารจากผู้แปล
เหตุใดเหมิงกุ้ยเฟยถึงคิดจะฆ่าลูกชายตัวเองกันนะ ยังเป็นอะไรที่น่าสงสัยอยู่
มีคนสวมรอยชิงลั่วด้วยเหรอเนี่ย ใครกัน?
ไหหม่า(海馬)