บทที่ 151 ความตั้งใจชั่วคราว

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 151 ความตั้งใจชั่วคราว

บทที่ 151 ความตั้งใจชั่วคราว

เมื่อฉินเส้าหัววางสาย เจ้าตัวก็ถึงกับรู้สึกอับอายขายหน้า

ทันที่จัดการกับบาดแผลให้โจวอี้เสร็จสิ้น เขาก็ส่งโจวอี้และเฉินอันฉีถึงหน้าประตูโรงพยาบาล เขาไม่ได้จ่ายยาให้โจวอี้ด้วยซ้ำ เขาไม่กล้าสั่งยาใด ๆ เพราะรู้ตัวว่าในเรื่องการแพทย์นั้นโจวอี้ต้องเก่งกว่าเขาแน่ ๆ แค่เพียงหลังจากส่งอีกฝ่ายออกไปแล้วเขาจึงสามารถถอนหายใจยาวออกมาได้ รู้สึกว่าในที่สุดเขาก็ได้ส่งภาระอันหนักอึ้งออกไปเสียที

“คุณฉิน เกิดอะไรขึ้น? คนใหญ่โตคนนั้นมาจากไหน แถมยังทำให้คุณออกมาส่งถึงหน้าประตูได้แบบนี้? หญิงวัยกลางคนในเสื้อกาวน์สีขาวยิ้มและตบไหล่ฉินเส้าหัวจากด้านหลัง

“ถ้าให้เปรียบก็คงเป็นพระใหญ่ที่วัดเล็ก ๆ ของเราต้อนรับไม่ไหว” ฉินเส้าหัวยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวกับตัวเอง

“คุณหมายถึงอะไร?” แพทย์หญิงคนเดิมยังคงถามต่อ

“คุณเคยได้ยินข่าวลือเมื่อเร็ว ๆ นี้ไหม ที่ว่ามีหมอหนุ่มมหัศจรรย์ก่อตั้งคลินิกให้คำปรึกษาของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง”

“แน่นอน ฉันเคยได้ยินข่าวนั้นมาก่อน” แพทย์หญิงยิ้มออกมา จากนั้นใบหน้าของเธอก็ชะงักค้าง เธอชี้ไปที่ระยะไกลและอุทานว่า “เดี๋ยวนะ? อย่าบอกนะว่าคนที่คุณไปส่งก็คือโจวอี้?”

“คุณเดาได้ถูกแล้ว น่าเสียดายที่ผมไม่มีรางวัลให้!” ฉินเส้าหัวยิ้ม

“พระเจ้า! ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้ตาแก่ฉิน! โจวอี้มาที่โรงพยาบาลของเรา แต่คุณไม่บอกฉันด้วยซ้ำ คุณนี่มันสุดจะใจดำเลย…” เธอพูดจบก็วิ่งออกไป

“เฮ้ เฮ้ คุณกำลังวิ่งไปไหนน่ะ!”

“ตามหมอโจวน่ะสิ! ฉันได้ยินมาว่าเขาหล่อ ฉันต้องไปดูหน้าเขาและขอลายเซ็นเขา…” แพทย์หญิงตะโกนกลับมาโดยไม่หันกลับมามอง

“คุณบ้าไปแล้วรึไง…” ฉินเส้าหัวกลอกตาพลางมองตามแผ่นหลังของแพทย์หญิงคนนั้น

ทางด้านโจวอี้และเฉินอันฉีเดินออกจากอาคารโรงพยาบาลมาและอาบแสงแดดอันอบอุ่นข้างนอก

โจวอี้ยิ้มและพูดขึ้นว่า “การที่ผมต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะอาการบาดเจ็บเล็กน้อยแบบนี้ มันช่าง…”

“หมอโจว คุณไม่เป็นไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

“ไม่ พวกเขาบอกว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บเล็กน้อย”

“คุณนี่สุดยอดจริง ๆ” เฉินอันฉีชมอย่างจริงใจ “หมอโจว ฉันคิดว่าวันนี้คุณหล่อมาก โดยเฉพาะตอนที่หมอฉินรู้ความจริง เขามองคุณต่างออกไป”

“ต่างยังไง”

“ก่อนหน้านี้เขาโกรธและดุเรา! แต่หลังจากวางสาย เขาก็มองคุณด้วยความเคารพและละอายใจ แถมยังสำรวมกิริยาสุด ๆ เขาดูกระวนกระวายใจ เหมือนพนักงานตัวเล็ก ๆ เจอเจ้านายใหญ่…ฮิฮิ” เฉินอันฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“ฮ่าฮ่า คุณพูดเกินจริงไปรึเปล่า”

ในขณะเดียวกัน!

เขาก็เห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่า ๆ กำลังถูกผู้หญิงที่กอดลูกดุด่า

“แกมันไม่ได้เรื่อง! แกออกไปสู้กับชาวบ้านทำบ้าอะไร? รู้ไหม สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือนักเลงไร้ค่า ทำไมแกถึงไม่ออกไปหารายได้เพิ่มถ้ามีเวลาว่าง ลูกของเรามีค่าเทอมต้องจ่าย แต่แกเอาแต่กินเหล้า ไม่คิดจะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว แล้วตอนนี้แกยังมาบาดเจ็บอีก!”

“ใช่! เสี่ยวปิงเกลียดคนทะเลาะกัน พ่อแย่มาก!” เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นกอดอยู่พูดออกมาเสียงดัง

โจวอี้สับสนเล็กน้อย

การที่ผู้หญิงจะดุด่าชายคนนั้นอาจดูสมเหตุสมผล แต่เด็กน้อยคนนั้น…คิดว่าการด่าพ่อตัวเองมันสมควรแล้วงั้นเหรอ?

แล้วผู้ชายคนนั้นโดนคนอื่นทุบตีมาไม่ใช่เหรอ? ควรพาไปโรงพยาบาลมากกว่าไม่ใช่รึไง?

เฉินอันฉียืนอยู่ข้าง ๆ โจวอี้และเห็นสถานการณ์นี้ด้วย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นและเด็กน้อยพูด เธอก็พยักหน้าด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งและพูดว่า “ทำตัวเหมือนเป็นเด็กเลยนะที่ยังออกไปหาเรื่องต่อสู้กับชาวบ้าน”

ทันใดนั้น ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเธอจึงเปลี่ยนไปทันที เธอหันไปหา โจวอี้และรีบอธิบายว่า “หมอโจว ฉันไม่ได้หมายถึงคุณนะ คุณเป็นเหยื่อ คนที่ทำร้ายคุณเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด!”

“…”

โจวอี้พูดไม่ออก

มีผู้คนทำร้ายเขาก็จริง แต่เขาก็โต้ตอบด้วยการฆ่าพวกมันทั้งหมด!

พูดตามตรงแล้วเขาน่าจะเป็นคนที่น่ารังเกียจมากที่สุดรึเปล่านะ?

ขณะที่พวกเขายืนรอแท็กซี่อยู่ริมถนน จู่ ๆ โจวอี้ก็ถามว่า “ถ้าผมจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าคุณกำลังจะไปเมืองภาพยนตร์ซือซี?”

“ใช่! มีอะไรเหรอ?” เฉินอันฉีถามกลับ

“ช่วงนี้ผมว่างอยู่ ให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณไหม?”

“คุณจะไปเมืองภาพยนตร์ซือซีกับฉันเหรอ?” เฉินอันฉีเบิกตากว้าง

“ใช่! ผมว่างอยู่ และอีกอย่างผมไม่เคยเห็นเบื้องหลังการถ่ายหนังหรือละครเลย การได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างนับว่าน่าสนใจ” โจวอี้ไม่ได้เอ่ยออกมาตรง ๆ ว่าระหว่างนี้เขาไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวว่าลูกสาวจะเห็นบาดแผลของตัวเองแล้วเป็นห่วง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานเขาได้บอกถังหว่านว่าเขาจะออกจากเมืองจินหลิงไปอีกสองสามวัน ถ้าเขากลับไปตอนนี้ มันจะดูเหมือนว่าคำพูดของเขามันเป็นแค่เรื่องตลก

“แต่หมอโจว อาการบาดเจ็บของคุณสาหัสมาก ฉันคิดว่า…” เฉินอันฉีลังเล

“ไม่ต้องห่วง ผมกินพวกสมุนไพรมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายของผมดีเยี่ยมกว่าคนทั่วไป สำหรับผมแล้วสามารถหายจากอาการบาดเจ็บเล็กน้อยนี้ได้ภายในสองสามวัน” โจวอี้ตบหน้าอกของเขาด้วยความมั่นใจ จากนั้นเขาแกล้งถามว่า “หรือว่าคุณไม่ต้องการให้ผมไปกับคุณรึเปล่า? คุณคิดว่ามันไม่สะดวกที่ผมจะไปกับคุณใช่ไหม?”

“ไม่ ๆ คุณเข้าใจฉันผิด ฉันแค่กังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของคุณ”เฉินอันฉีกล่าวอย่างเร่งรีบ

“งั้นวางใจได้เลย ไป ไป ไปกันเลย!” โจวอี้มองไปที่รถแท็กซี่ที่กำลังแล่นมาแล้วโบกมือทันที

เฉินอันฉีรู้สึกอายเล็กน้อย

เธอจำได้ว่าโจวอี้มักจริงจังในการรักษาผู้ป่วย สงบและเยือกเย็นในการเรียนรู้ที่จะขับรถ และมีอารมณ์ขันในการเล่าเรื่องตลก แต่เธอไม่เคยเห็น โจวอี้ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้

สองชั่วโมงต่อมา

โจวอี้และเฉินอันฉีก็นั่งแท็กซี่ไปถึงเมืองภาพยนตร์

ที่นี่คือแหล่งการผลิตผลงานภาพยนตร์และละครขนาดใหญ่ในจีน รวมไปถึงเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวครบวงจรที่เน้นความบันเทิงและการพักผ่อน

จุดชมวิวประกอบด้วยเมืองสามก๊ก เมืองชายน้ำ เมืองถัง และทิวทัศน์การถ่ายทำภาพยนตร์และโทรทัศน์อื่น ๆ ครอบคลุมพื้นที่ล้านตารางเมตร มีกลุ่มอาคารโบราณที่มีวัฒนธรรมสามก๊ก ราชวงศ์ถัง และราชวงศ์ซ่งเป็นฉากหลัง

ละครโทรทัศน์ที่เฉินอันฉีเข้าร่วมในการถ่ายทำนั้นเป็นละครโทรทัศน์เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้กำลังภายใน และบทบาทที่เธอได้รับเป็นเพียงบทบาทที่ดีกว่าพวกตัวประกอบธรรมดาเล็กน้อย

โจวอี้ได้เรียนรู้ว่าเฉินอันฉี หม่าเซียวลี่ และหลี่ลี่เฟิง เป็นเพียงนักแสดงประกอบพิเศษเท่านั้น พวกเขามีรายได้เพียงสี่ร้อยหยวนต่อวันเท่านั้นเอง

“รายได้แค่สี่ร้อยหยวนต่อวัน แต่คุณสามคนมาที่นี่เป็นประจำ มันคุ้มเหรอ?” โจวอี้ถามด้วยความสับสน

“อันที่จริง ไม่สำคัญหรอกว่าตอนนี้เราได้รับค่าจ้างมากแค่ไหน เราแค่ต้องการฝึกฝนทักษะการแสดงของเราให้มากขึ้น เพื่อที่เราจะได้มีโอกาสได้รับบทที่ดีขึ้นในอนาคต” เฉินอันฉีอธิบาย

“อืม มีเหตุผล” โจวอี้พยักหน้า