ตอนที่ 117 นี่ไม่ได้เรียกว่าขโมยกิน

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 117 นี่ไม่ได้เรียกว่าขโมยกิน

หนานหนานยกมือปิดปากอย่างระมัดระวัง ส่งเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความซาบซึ้งใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ชะงักไปอีกครั้งอย่างฉับพลัน เมื่อครู่คนที่เดินไปพูดว่าอะไรนะ? รั้งตัวหมอปีศาจ?

พวกนางกำลังจะขัดขวางท่านแม่แล้วหรือ?

คิ้วเล็ก ๆ ขมวดเข้าหากันอย่างหนัก ลูบคางอย่างไม่เข้าใจ

ในเวลานี้เอง สตรีที่ดูเหมือนจะเย็นชาจากน้ำเสียงเมื่อครู่ก็พูดออกมาอีกครั้ง “พาเขามาพบข้า”

“เพคะเหนียงเหนียง” นางข้าหลวงส่วนตัวของเหมิงกุ้ยเฟยโค้งคำนับ ก่อนจะหมุนกายไปยังฝั่งตรงกันข้ามกับเหมิงกุ้ยเฟย

หนานหนานนอนอยู่ด้านในซอกของก้อนหิน ดวงตากลอกไปมาอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้ เป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่ พวกนางจะขัดขวางท่านแม่เพื่ออะไรกัน?

อืม ช่างเถอะ เขารออยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน รอดูตอนที่ท่านแม่มาว่าถูกมัดตัวไว้หรือไม่ หากถูกมัดตัว เช่นนั้นก็ถึงตาหนานหนานอัจฉริยะตัวน้อยที่จะออกโรงช่วยเหลือสาวงามแล้ว

หนานหนานกำลังครุ่นคิดพลางพยักหน้าด้วยความมั่นใจอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงด้านนอกห่างออกไปไกลแล้ว จึงเอนตัวเข้ากับก้อนหินที่อยู่ด้านหลัง กินอาหารไปพลาง รอท่านแม่เดินเข้ามาหาไปพลาง

ผ่านไปได้ไม่นาน คนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ก็นำคนสองคนรีบเดินมาทางฝั่งนี้

“หมอปีศาจ เชิญทางนี้”

หนานหนานดวงตาเป็นประกาย เขาชะโงกหน้าออกมาอย่างระมัดระวังทีละนิด มองซ้ายมองขวา…ท่านแม่ล่ะ? ไม่เห็นมีเลย

“พวกเจ้ามาขัดขวางข้าคิดจะทำอะไรกันแน่? แม้ว่าข้าจะเป็นพลเรือนคนหนึ่ง แต่ก็เป็นถึงหมอปีศาจผู้มีชื่อเสียงทั่วสี่อาณาจักร มิใช่คนที่จะปล่อยให้พวกเจ้าทำตามอำเภอใจได้”

หนานหนานเบิกตาโต ตาเฒ่าที่กำลังพูดคนนั้น เมื่อครู่เขาบอกว่าตนคือหมอปีศาจ? หมอปีศาจ?

เขา…เขา…เขา…เขา…ไอ้สารเลว ทั้ง ๆ ที่หมอปีศาจคือท่านแม่ของเขา ตาเฒ่าไร้ยางอายผู้นี้อายุมากแล้วยังกล้าสวมรอยเป็นท่านแม่ของเขา กล้าเรียกตัวเองว่าหมอปีศาจ ไร้ยางอาย ๆๆ

หนานหนานถลึงตาใส่แผ่นหลังของพวกเขาด้วยความโกรธเคืองอย่างมาก

ไม่ได้การล่ะ เขาต้องเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย จะปล่อยให้เขาทำลายชื่อเสียงของท่านแม่ไม่ได้เด็ดขาด

หนานหนานสูดหายใจเข้าลึก ๆ กินองุ่นลูกสุดท้ายที่อยู่ในมือเข้าไป ยื่นแขนและขาออกมา ทำท่าจะมุดออกมาจากซอกหิน

อย่างไรก็ตามตอนที่เขากำลังเหยียดขา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น

ตามมาติด ๆ ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย “นายท่านเดาไว้ไม่ผิด เหมิงกุ้ยเฟยตามคนแซ่เสิ่นนั่นไปแล้วจริง ๆ”

หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ นี่มัน…เสียงของลุงเหวินมิใช่หรือ?

“เหอะ ทักษะทางการแพทย์เช่นนั้นของเขา คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าหมอปีศาจหรือ? เขาไม่เหมาะสมแม้แต่จะถือรองเท้าของแม่นางอวี้”

หนานหนานพยักหน้าหงึกหงัก ถูกต้อง ๆๆ ท่านลุงเสิ่นอิงพูดถูกต้อง คนคนนั้นไม่เหมาะสมแม้แต่จะถือรองเท้าท่านแม่ มีแต่เขาที่ถือรองเท้าให้ท่านแม่เสมอมา

เหวินเทียนและเสิ่นอิงดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตัดสินใจไล่ตามไป ทว่าน้ำเสียงแฝงแววหยอกล้อนิด ๆ “ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเขาจะเป็นใคร กล้าสวมรอยเป็นแม่นางอวี้ก็ใจกล้ามากแล้ว นายท่านบอกว่าในเมื่อกล้าสวมรอยเป็นหมอปีศาจ หลังจากนี้ก็ควรจะได้รับผลลัพธ์จากการสวมรอย ตอนนี้ไม่ต้องไปสนใจเขาก่อน พวกเราแค่ไปดูว่าเหมิงกุ้ยเฟยตามหาตัวเขาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่”

เสิ่นอิงแค่นเสียง จากนั้นเสียงฝีเท้าของทั้งสองก็ห่างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ

หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ ท่านพ่อทราบว่าคนคนนั้นสวมรอยเป็นท่านแม่? แต่กลับไม่คิดจะสนใจเขา?

อืม เช่นนั้นเขาควรจะไปเปิดโปงหรือไม่? เขาอยากปกป้องชื่อเสียงของท่านแม่อย่างมาก แต่เรื่องที่ท่านพ่ออยากทำ เขาก็มิอาจไปทำลายให้เสียเรื่อง

ยุ่งเหยิงชะมัด ลำบากชะมัด หิว…ชะมัด

หนานหนานหยิบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งในถุงกระดาษที่ใส่ไว้ด้านในเสื้อออกมากัด เพิ่งกินไปได้สองคำ จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า คนที่สวมรอยเป็นหมอปีศาจผู้นั้นดูเหมือนว่าจะไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ด้วยว่าเดินไปที่ใด ดูเหมือนว่า…ต่อให้ตอนนี้เขาไปเปิดโปงอีกฝ่าย ก็หาตัวไม่เจอแล้ว

หนานหนานถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ กลับไปนั่งอีกครั้งพลางครุ่นคิด รีบตามท่านลุงเหวินและท่านลุงเสิ่นกลับไปดีกว่า ห้องพระเครื่องต้นเขาไปมาแล้ว มีคนอยู่ที่นั่นจำนวนมาก เดิมทีก็ขโมยของกินอะไรไม่ได้อยู่แล้ว จึงทำได้เพียงแค่หยิบน่องไก่มาสองชิ้น ไข่ไก่สองฟอง องุ่นสองพวง ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวันและอื่น ๆ ขณะที่ไม่มีคนสนใจ นอกจากนี้ยังมีเนื้อวัวเนื้อปลาแห้ง และขนมไว้กินเล่นด้วย

เขาคิดว่าตนควรกลับไปเรียนทักษะวิชาตัวเบากับท่านพ่อก่อนแล้วค่อยมาใหม่อีกครั้ง ถึงเวลานั้นเมื่อได้เห็นอาหารอันโอชะมากมาย เขาแค่ร่อนลงไปวูบเดียวก็สามารถหยิบมากินได้แล้ว

หนานหนานพยักหน้า ยื่นมือออกมาจากซอกหิน

จากนั้น…

ก็แข็งเป็นหิน…ท่านลุงเหวินกับท่านลุงเสิ่นล่ะ? หายไปไหนแล้ว? เมื่อครู่ยังยืนอยู่ตรงนี้มิใช่หรือ

หนานหนานทำแก้มป่อง โกรธจนหายใจฟึดฟัด ช่างเถอะ พวกท่านไม่รอข้า ข้ากลับไปเล่นกับเสี่ยวเฉิงเฉิงก็ได้

หลังจากเก็บของแล้ว หนานหนานจึงเดินไปยังสถานที่ไร้ผู้คนเพื่อไปที่พักของเย่หลานเฉิงอย่างระมัดระวัง

เมื่อคืนมันดึกเกินไป เขาจึงไม่ทันได้เห็นที่พักของเย่หลานเฉิงอย่างชัดเจน วันนี้เป็นช่วงเวลาท้องฟ้าสว่าง หนานหนานจึงค้นพบว่าสถานที่ที่เขาพักอาศัยช่างโดดเดี่ยวและอ้างว้างมากเพียงใด

ภายในเรือนไม่มีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าแม้แต่คนเดียว นอกจากเคอกงกงที่เดินเข้า ๆ ออก ๆ แล้ว ไม่มีใครย่างกรายเข้ามาที่นี่แม้แต่คนเดียว

หนานหนานเข้าไปพร้อมกับถอนหายใจ หากเขาอาศัยอยู่ที่นี่ คงได้หายใจไม่ออกแน่ ๆ

เสียง “แกรก” ดังขึ้น ประตูห้องถูกผลักให้เปิดออกอย่างเงียบ ๆ จากด้านนอก ศีรษะขนาดเล็กชะโงกเข้าไปด้านในด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ

ตอนที่เย่หลานเฉิงเห็นเขา ดวงตาอีกฝ่ายพลันเป็นประกาย มองเขาอย่างมีความสุข “หนาน…หนานหนาน เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ?”

“เฮ้อ ข้าก็ยังไม่ไปน่ะสิ” หนานหนานไม่เห็นเคอกงกงผู้น่าสงสัยคนนั้น จึงเบียดร่างเล็ก ๆ ของตนเองเข้าไป

เย่หลานเฉิงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ว ท่าทางดูมีความสุขผิดปกติ ดึงมือเล็ก ๆ ของหนานหนานวิ่งมามาข้างโต๊ะ ดูเหมือนว่าเขาคงมีความสุขมากที่ข้างกายมีสหายอย่างหนานหนานเพิ่มมาหนึ่งคน และรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างมาก

“ข้าเห็นเจ้าหายไปตั้งแต่เช้าตรู่ จึงคิดว่ากลับไปแล้วเสียอีก” อันที่จริงเขาตื่นมาตอนเช้าแล้ว การเคลื่อนไหวตอนหนานหนานตื่นก็ไม่ใช่น้อย ๆ เขานอนอยู่ด้านนอก ประกอบกับความคุ้นชินหลายปีมานี้ เขาจึงไม่ได้นอนหลับลึก

ด้วยเหตุนี้ตอนที่หนานหนานออกไป เขาจึงตื่นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าส่งเสียง และไม่คิดจะส่งเสียงด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอสหายที่มีชีวิตชีวาและพูดคุยกับเขาอย่างมีความสุขเช่นนี้ภายในเรือนที่เหมือนกับตำหนักเย็นแห่งนี้ เขารู้สึกได้ว่าราวกับตนเองฝันไป ดังนั้นจึงไม่กล้าลุกขึ้นมา ไม่กล้ามองหนานหนานที่เดินหายไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

จนกระทั่งหนานหนานออกไปแล้ว เขาจึงกล้าลืมตาขึ้นมา ทว่าภายในใจกลับรู้สึกเศร้าหมองอย่างมาก ครุ่นคิดว่าหลังจากนี้เขาต้องอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ก็ยิ่งทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง

หนานหนานมองเขาด้วยความประหลาดใจ “มีแค่ช่วงเช้าตรู่เท่านั้นที่ห้องพระเครื่องต้นจะมีคนไม่เยอะ ข้าถึงเข้าไปในนั้นได้ ไม่เช่นนั้นหากคนเยอะ ข้าคงไม่สามารถเข้าไปกินของด้านในนั้นได้”

เขาพูดได้อย่างมีเหตุผล ทำให้เย่หลานเฉิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “เจ้าไปที่ห้องพระเครื่องต้น…ขโมยของกินหรือ?”

“ขโมยของกินอะไรกัน นี่เขาเรียกว่าแบ่งปันต่างหากเล่า แบ่งปันเข้าใจหรือไม่? ห้องพระเครื่องต้นมีของเยอะแยะขนาดนั้น ก็ต้องแบ่งปันให้พวกเรากินด้วยสิ” หนานหนานถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ ขณะบ่นพึมพำ

“นายน้อย บ่าวกลับมาแล้วขอรับ” จู่ ๆ ด้านนอกประตูก็มีเสียงของเคอกงกงดังขึ้น “นายน้อยกำลังคุยกับใครอยู่หรือขอรับ?”

เย่หลานเฉิงหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเคอกงกงผลักประตูเข้ามาโดยไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากพูดอะไร

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ดีมากเจ้าหนานหนานที่ยังไม่พังแผนของท่านพ่อ

เย่หลานเฉิงน่าสงสารจัง น้องคงดีใจที่ได้เพื่อนเพิ่มมาหนึ่งคน กี่ปีแล้วนะที่น้องต้องอยู่อย่างหงอยเหงาคนเดียว

ไหหม่า(海馬)