จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 152
ยามเช้าของอีกสามวันถัดมา
ฉินเทียน เมิ่งผ่านอี และเฮยหยานเดินทางออกจากเมืองอสูร
ชายชราที่เคยนําทางให้ฉินเทียนเป็นคนส่งพวกเขาออกจากเมือง นี่เป็นคํากําชับอย่างเจาะจงจากเจ้าเมืองอสูร เป็นการแสดงจิตเจตนาอย่างชัดเจน ฉินเทียนเป็นอาคันตุกะคนสําคัญของประมุขเจ้าเมือง เหล่าผู้ที่มีความคิดต่อเขาต้องชั่งผลได้ผลเสียให้ดี
การสังหารเหยาชิงแน่นอนว่าทําให้ฉินเทียนได้รับสมบัติมาไม่น้อย ดังนั้นจึงมีหลายคนที่จับตาดูความเคลื่อนไหวของฉินเทียน หากแต่ตอนนี้จําต้องสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป ไม่มีผู้ใดกล้าคิดลงมือต่อเขาอีก
ทั้งสามออกเดินทาง จากเมืองสู่น่านน้ําทมิฬมีเส้นทางอยู่เพียงเส้นเดียว
รายทางมีแต่พื้นที่ขาวโพลน ไร้ซึ่งเงาของผู้คน
ลมหนาวพัดผ่านวูบพาหิมะตกปกคลุมทั่วพื้น
ทั้งสามเร่งความเร็วในการเดินทาง
น่านน้ําทมิฬอยู่ห่างจากเมืองอสูรราวหกพันลี้ ทั่วทั้งดินแดนปกคลุมไปด้วยหิมะ ด้วยความเร็วของพวกเขาในปัจจุบันสมควรบรรลุถึงในครึ่งวัน
“นอกจากการเข้าน่านน้ําทมิฬเพื่อตามหาเพลิงทะเลล์ลับแล้ว ข้ายังได้รับปากจะช่วยเหลือเจ้าเมืองอสูรประการหนึ่ง” ระหว่างเดินทาง ฉินเทียนก็บอกต่อเมิ่งผ่านอีและเฮยหยาน ฉินเทียนย่อมไม่ต้องการปิดบังคนทั้งสอง สองคนนี้ลวันเคยผ่านประสบการณ์คับขันร่วมกันกับเขา เป็นพี่น้องที่สามารถไว้วางใจ
เมิ่งผ่านอีชะงักก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดข้าก็จะร่วมหัวจมท้ายไปกับเจ้า ฮ่าๆ……”
“ที่น่านน้ําทมิฬนั่น นอกจากเหล่าสัตว์อสูรแล้วยังมีชนเผ่าที่เรียกว่าหมิงไห้อยู่ พวกเขาอาศัยอยู่ใต้ทะเลมาหลายชั่วอายุคน นับเป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ชนเผ่าหนึ่ง พื้นที่ทะเลส่วนที่ลึกที่สุดก็คือดินแดนของพวกเขา” ฉินเทียนพักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ประมุขของพวกเขาหลัวโหวซิวเป็นผู้บ่มเพาะระดับสูงสุดขั้นจักรวาล อีกทั้งกายเนื้อของเขายังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากายเนื้อของผู้ที่อยู่ในขั้นไร้มลทิน…..”
“งานของเราคือสังหารเขา?!”
เมิ่งผ่านอีตกใจ กายเนื้อที่เหนือกว่าขั้นไร้มลทิน นั่นเป็นตัว ตนที่ท้าทายสวรรค์ถึงเพียงไหน คิดไม่ถึงว่าชนเผ่าหมิงไห่อะไรนั่นจะถึงกับมีตัวตนเช่นนี้ประจําการอยู่
เฮยหยานขมวดคิ้ว ในใจตกตะลึงไม่เบา ทั้งสองหันไปมองฉินเทียนเพื่อรอให้เขากล่าวต่อ
“พวกเราต้องช่วยคนผู้หนึ่ง เป็นน้องสาวของเจ้าเมืองอสูรหงเยว”
“เฮ้อ คิดว่าต้องไปฆ่าหลัวโหวอะไรนั่นซะอีก ที่แท้แค่ช่วยคนออกมา ตกใจแทบแย่ ฮ่าๆ…” เมิ่งผ่านอีถอนหายใจอย่างโล่งอก
เดินทางไปยังชนเผ่าหมิงไห่เพื่อช่วยคนผู้หนึ่งออกมา ไม่ต้องสู้รบปรบมือกับระดับสูงสุดขั้นจักรวาลอย่างหลัวโหวซิว แต่เพียงยอดฝีมือของชนเผ่าก็ทําให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว
อีกทั้งชนเผ่าหมิงไห่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนที่ลึกที่สุดของน่านน้ําทมิฬ กว่าจะเดินทางไปถึงที่นั่นคงต้องฝ่า ฝูงสัตว์อสูรดุร้ายนับไม่ถ้วน ดีไม่ดียังอาจพบเจอสัตว์อสูรที่อยู่ระดับสิบ ตอนเข้าเข้าไม่ยาก แต่ตอนออก…
ฉินเทียนไม่ทราบสถานการณ์ของชนเผ่าหมิงไห่ ข้อมูลที่มีก็เพียงฟังมาจากปากไห่ซื้อเยว่เพียงอย่างเดียว ไหงื่อเยว่ถูกขับออกจากชนเผ่ามาหลายพันปีแล้ว ดังนั้นนางย่อมไม่ทราบถึงสภาพการณ์ในปัจจุบันของเผ่า
ช่วยเหลือน้องสาวของนางไห่หงเยว่?
มีหรือจะเรียบง่ายปานนั้น?
ต้องไม่ใช่แค่นั้นแน่
นางจะต้องปิดบังบางอย่างเอาไว้ ตอนที่ได้ฟังคําพูดของไห่ซื้อเยว่ ฉินเทียนก็เกิดความสงสัยแล้ว หากแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดขึ้นในใจเพราะเกรงว่าไหงื่อเยวจล่วงรู้
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หอทมิฬแห่งนั้นจะต้องกลายเป็นของเขา
ฉินเทียนจะต้องรับสมบัติกึ่งเทวะชิ้นนั้นมาให้จงได้ ของสิ่งนั้นมีประโยชน์อย่างมหาศาล เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไป
ส่วนจะเข้าสู่ชนเผ่าได้อย่างไร ฉินเทียนกําลังขบคิด
แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เขาจะต้องบรรลุขั้นสวรรค์ให้ได้เสียก่อน!
“พี่เมิ่ง พี่ใหญ่เฮย หากเกิดอะไรขึ้นให้พวกท่านใช้เครื่องรางลี้ภัยหลบหนีไปได้เลย” ฉินเทียนกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง จากนั้นจึงย้ําอีกว่า “ต่อให้ข้ากําลังจะตาย ท่านก็จงหนีไปอย่าได้รีรอ”
นี่เป็นภารกิจที่อันตรายไม่น้อย
แม้ว่าระบบจะระบุไว้ว่าเป็นภารกิจระดับ S แต่ผู้ใดจะทราบเล่าว่ามันจะเปลี่ยนไปกลางคันหรือไม่
เรื่องราวแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีให้เห็น ฉินเทียนเองก็ไม่กล้ามั่นใจเกินไป หากอ้างอิงจากการที่ระบบจัดระดับภารกิจไว้ว่าระดับ S เช่นนั้นก็คงไม่มีหลัวโหวมาเกี่ยวข้อง หากแต่นี่ไม่ใช่เกม ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้
ฉินเทียนไม่ต้องการให้ภารกิจของเขาทําร้ายสหายรอบตัว
“พูดเรื่องอะไรกัน?” เฮยหยานกล่าวขึ้นอย่างโมโห “หากว่าเจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าก็จะสู้จนถึงที่สุดต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ให้ข้าหลบหนีงั้นรึ? ไม่มีทาง!”
เฮยหยานมีชีวิตชีวากว่าหลายวันก่อนมาก บุคลิกของเขาเริ่มค่อยๆกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน
ในใจฉินเทียนย่อมยินดี
“น้องฉันไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ปล่อยให้เจ้าตาย…ภัย ภัย ปากข้านี่นะ ไม่เป็นมงคลจริงๆ” เมิ่งผ่านอีหัวเรา
เฮยหยานสบตาฉินเทียนอย่างแน่วแน่
เห็นท่าทางของพวกเขา ฉินเทียนก็ซาบซึ้งใจ แต่หากมีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ เขาจะต้องหาทางช่วยพี่ชายทั้งสองคนนี้ให้ได้
ทั้งสามเร่งเดินทางต่อ ไม่นานก็มาถึงชายขอบของน่านน้ําทมิฬในช่วงบ่าย
สุดเส้นทางด้านหน้าก็คือน่านน้ําทมิฬแล้ว
คลื่นทะเลสีดําพุ่งสูงเสียดฟ้า ท้องทะเลเต็มไปด้วยคลื่นลม ท้องฟ้ามีเมฆบดบังจนมืดสลัว ท่ามกลางเมฆเหล่านั้นยังมีสายเสียงอัสนีบาตคํารามเสียงครืนครันอย่างน่าหวาดหวั่น
ลมทะเลคมกริบประดุจมีด ยามพัดผ่านพานให้เจ็บแปลบตามใบหน้า
คลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวประดุจอุ้งมือของมาราร้ายจากนรก ดูน่าขนยลุกพิกล
ฉินเทียนยืนมองอยู่ที่ชายฝั่งพลางถอนหายใจ กลิ่นเค็มและชื้นของทะเลลอยโชยเข้าจมูก
“อันตราย!”
ครืน……..
ขณะที่คลื่นยักษ์โถมเข้าหาฝั่ง สัตว์ประหลาดที่รูปร่างคล้ายกับเสือดาวก็กระโจนออกมาจากคลื่น เป้าหมายของมันคือฉินเทียน
ร่างกายของมันเต็มไปด้วยมัดกล้าม มีขนาดใหญ่โตกว่าเสือดาวทั่วไปกว่าสิบเท่า เขี้ยวงอโค้งของมันเล็งไปยังตําแหน่งคอหอยของฉินเทียน
เสือดาวทะเล สัตว์อสูรระดับสี่ ถนัดในการลอบโจมตีมีพลังสังหารสูง
ฉินเทียนผงะก่อนจะก้าวเท้าถอยหลัง เขาแค่นเสียงพลางสะบัดมือออก พลังแห่งความมืดพลันแผ่พุ่งจากฝ่ามือตรงเข้ากลืนกินเสือดาวทะเลนั้น พลังความมืดแผ่รัดพันร่างของเสือดาวทะเลที่ดิ้นรนไม่หยุดอย่างหนาแน่น สุดท้ายก็กลืนกินเสือดาวทะเลนั้นจนหาบวับไปกลางอากาศ
“ได้รับค่าประสบการณ์ 3,000 หน่วย ได้รับค่าพลังปราณ 200 จุด ได้รับค่าการรอดชีวิต 1 จุด…”
ฉินเทียนยิ้มอย่างตื่นเต้น
เมิ่งผ่านอีอ้าปากค้าง หากเป็นเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เขาก็คงถอยออกมาเพื่อหาจังหวะโต้กลับ
เสือดาวทะเลเป็นสัตว์อสูรที่มีพลังสังหารสูง ทั้งยังรวดเร็ว ที่สําคัญที่สุดคือมันสามารถปกปิดกลิ่นอายได้อย่างมิดชิด
แต่เมื่อเผชิญกับการลอบโจมตีนั้น ฉินเทียนเพียงสะบัดมือคราหนึ่ง พลังแห่งความมืดก็….
เมิ่งผ่านอีคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นท่วงท่านี้มาก่อน เขาหันไปมองฉินเทียนที่ตอนนี้เขาไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งได้อีกแล้ว
“ไปเถอะ”
ฉินเทียนออกเดินด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
การล่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!