จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 154

เสียงความดันจากกระแสน้ําดังขึ้นทางด้านหลัง ฉินเทียนที่รับรู้ได้ถึงอันตรายก็ชะลอความเร็วลง แรงผลักที่ไล่หลังมาทําให้คนทั้งสามรู้สึกอึดอัด

แม้จะมีมุกหลีกวารีซึ่งช่วยให้เคลื่อนไหวในน้ําได้อย่างอิสระ แต่มันก็ไม่ได้ป้องกันพลังจากภายนอก และกระแสน้ําอันเชี่ยวกรากนี้ก็นับเป็นพลังจากภายนอก

กระแสน้ํานี้รุนแรงขนาดไหนน่ะหรือ?

แม้ว่าฉินเทียนจะโคจรพลังปราณเพื่อต้านทานแล้ว แรงผลักที่มาจากด้านหลังก็แทบไม่ลดลงแม้แต่น้อย

ฉินเทียนมีพลังปราณลึกล้ําพอจะต้านทานได้บ้าง ทว่าเฮยหยานนั้นไม่ใช่ เขาต้านทานมันไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นร่างกายจึงถูกดันพุ่งดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว

“แย่แล้ว

ฉินเทียนลอบร้องขึ้นในใจก่อนจะถีบตัวพ่งตามไป

จู่ๆกระแสน้ําก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มันไหลเร็วขึ้น ฉินเทียนที่ก่อนหน้าพอจะต้านทานได้บ้างก็ถูกพัดไปกับกระแสน้ํา

“ตื่นตัว อย่าวอกแวก!”

ฉินเทียนพยายามต้านแรงดันน้ํา ในกระแสน้ําอันเชี่ยวกรากค่อยๆปรากฏปะการังสีดําดูแปลกตาขึ้นทีละอัน ฉินเทียนไม่มีเวลาให้ขบคิดมากความ เขารีบหยิบมุกอัสนีออกมาซัดขว้างไปยังปะการังสีดําเหล่านั้นทันที

ในแนวปะการังสีดํานั้นมีกลิ่นอายอยู่เลือนลาง และต่อให้มันเป็นแค่ปะการังธรรมดา หากพุ่งชนเข้าตอนนี้ก็มีแต่เจ็บหนักสถานเดียว

“บี้ม!”

มุกอัสนีระเบิดขึ้นในกลุ่มปะการังสีดํานั้น ประกายสายฟ้าระเบิดออกเป็นข่ายเข้าทําลายกลุ่มปะการังนั้นจนไหม้เกรียม ต่อหน้าอานุภาพของมุกอัสนีนี้ต่อให้เป็นสัตว์อสูรระดับห้าก็ยังต้องตกตาย นับประสาอะไรกับกลุ่มสัตว์อสูรระดับสี่กลุ่มหนึ่ง

ฉินเทียนตกใจ คิดไม่ถึงว่าแนวปะการังที่ดูไม่มีพิษภัยเหล่านั้นจะเป็นสัตว์อสูรทั้งหมด “มารดามันเถอะ เกือบกลายเป็นผีแล้วมั้ยล่ะ”

“ดีที่มีมุกอัสนี ไม่อย่างนั้นคงโดนพวกมันรุมตีจนตาย”

ใบหน้าของคนทั้งสามเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพราย

มุกอัสนีระเบิดอสูรปะการังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ระบบส่งเสียงแจ้งเตือนการสังหารขึ้นระรัว ฉินเทียนพลันตื่นเต้นขึ้นมา “มุกอัสนี้นี่ดีจริงๆ”

แรงระเบิดที่เกิดขึ้นยังทอนความรุนแรงของกระแสน้ําลง

ขณะที่พวกเขากําลังจะผละตัวออกจากกระแสน้ําที่อ่อนโทรมลง เสียงคํารามเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้น

“นั่นมันอะไรน่ะ?”

เมิ่งผ่านอีชะงักพลางจับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน เหนือศีรษะของพวกเขาขึ้นไปหลายร้อยเมตรปรากฏดวงไฟสีแดงเข้มขึ้นสองดวง

ไม่นาน ดวงไฟ ก็เพิ่มจํานวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อีก” ฉินเทียนกลืนน้ําก่อนจะกล่าวด้วยน้ําเสียงเคร่งเครียด

“พวกเราโดนล้อมแล้ว”

“ว่าไงนะ?”

“รอบด้านไม่เห็นมีอะไรเลย!”

เฮยหยานรบกวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง หากแต่ก็ไม่พบเจอสิ่งใด มีเพียงกระแสน้ําอันเชี่ยวกรากที่หมุนวนอยู่

เมิ่งผ่านอีผงะถอยหลัง แผ่นหลังรู้สึกเย็นวาบ เขาค่อยๆชี้มืออันสั่นเทาไปยังข้างบน

เฮยหยานมองตามไปก่อนจะตาเบิกค้าง ขณะที่กําลังจะกรีดร้อง เมิงฝานอีก็รีบเอามือปิดปากของเขาไว้ “ชูววว อย่าส่งเสียง”

“พวกมันคือ?!”

ฝ่ามือของเฮยหยานเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เมิ่งผ่านอีพยักหน้าก่อนจะหันไปมองฉินเทียน

หากแต่สีหน้าของฉินเทียนในเวร

เต้นอย่างไม่อาจควบคุม

ฉินเทียนยันเท้าเข้ากับพื้นส่งร่างตนเองพุ่งขึ้นไป เขาเงยหน้าขึ้นตะโกนอย่างดุดัน “ฆ่า!”

“เจ้าบ้าไปแล้ว!”

“นี่เจ้ากําลังฆ่าตัวตายเรอะ!”

ฉินเทียนพุ่งร่างขึ้นไปพลางกวัดแกว่งดาบวงพระจันทร์ในมือใส่ดวงไฟสีแดงเข้มนั้น…..

“ยิ้ม!”

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นคราหนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงคําราม

จู่ๆแขนขนาดใหญ่ก็ต่อยสวนกลับมาและปุ่นทําลายดาบวงพระจันทร์ที่อยู่ในมือของฉินเทียนเป็นชิ้นๆ แผ่นดินใต้น้ําเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงคํารามปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าของเสียงจะขึ้นมาแล้ว

“ฮ่าๆ พวกมันตื่นแล้ว”

ฉินเทียนหัวเราะอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าของเมิ่งผ่านอีและเฮยหยานก็อดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “พวกท่านเป็นอะไรกัน?”

เมิ่งผ่านอีจ้องฉินเทียนเขม็ง หากแต่ไม่ได้พูดอะไร

ที่ฉินเทียนเมิ่งลงมือด้วยก็คือยักษ์สมุทร สัตว์อสูรระดับห้าซึ่งมีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร ยามโตเต็มวัยสามารถใหญ่ได้นับพันเมตร ร่างของมันแข็งแกร่งคงทน ทั่วร่างอัดแน่นไปด้วยพลังทําลายล้าง พวกมันมักอาศัยอยู่รวมกันที่ปลายกระแสน้ําวนและคอยกลืนกินสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ลอยเข้ามาในกระแสน้ําวนนั้น

พื้นที่โดยรอบตอนนี้มียักษ์สมุทรอยู่เกือบร้อยตัว หากเปลี่ยนเป็นค่าประสบการณ์ก็จะได้ประมาณห้าล้านหน่วย….

แม้จะเป็นสัตว์อสูรระดับห้า แต่มีหรือที่ฉินเทียนจะยอมปล่อยแหล่งฟาร์มค่าประสบการณ์ชั้นดีเช่นนี้ไป?

นอกจากค่าประสบการณ์แล้วยังมีแก่นอสูร!

ไม่รอให้เมิ่งผ่านได้พูดอะไร ฉินเทียนก็เร่งเร้าพลังปราณพุ่งออกไปพร้อมควบแน่นพลังปราณเป็นดาบวงพระจันทร์ขึ้นในมือ เขาฟันดาบใส่ดวงแสงเหล่านั้นทีละอันเพื่อปลุกพวกมันทุกตัวขึ้นมา……

“เขาบ้าไปแล้ว?”

“คงแบบนั้น และดูเหมือนจะเยียวยาไม่ได้แล้ว”

“พวกเราเอาไงดี?”

“ยังจะทําอะไรได้อีก? สู้!”

เมื่อไม่มีทางเลือก ทั้งสองก็ได้แต่พุ่งตามออกไป

ด้วยระดับพลังในปัจจุบันของฉินเทียนแล้ว สัตว์อสูรระดับห้าพวกนี้ก็ไม่นับเป็นอย่างไร ที่ยากก็คือจํานวนเกือบร้อยของพวกมัน และที่ยิ่งยิ่งกว่าก็คือพวกมันมักจะอยู่รวมฝูง ดังนั้นการประสานงานระหว่างพวกมันจึงทําได้ไม่ติดขัด

ก่อนที่ฉินเทียนจะปลุกพวกมันได้หมด พวกมันก็ลงมือโจมตีแล้ว

แม้ยักษ์สมุทรจะมีร่างกายใหญ่โต และการตอบสนองที่เชื่องช้า ทว่ายามลงมือกลับรวดเร็วยิ่ง อีกทั้งการโจมตีของพวกมันยังรุนแรงไม่ต่างจากค้อนยักษ์

“ได้ที่ล่ะ”

หลังปลกพวกมันจนครบ ฉินเทียนก็ตะโกนขึ้นว่า “ถอยไป ข้าจะใช้สายฟ้าแล้ว….”

“ถอย!”

เมิ่งผ่านอีรีบลากเฮยหยานถอยออกไป

“บ้าคลั่งขั้นที่สอง!”

“เคล็ดวิชช์ทะลวงฟ้า!”

ปราณเพลิงสีม่วงโหมกระพือก่อนจะกระจายตัวออกทั่วผืนน้ํา

ปราณเพลิงสีม่วงที่แผ่กระจายออกด้วยกําลังที่เพิ่มขึ้นแปดเท่าค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นสายฟ้าที่มีอานุภาพเกินควบคุม

อานุภาพของสายฟ้ากลุ่มนี้ทําให้พวกยักษ์สมุทรตื่นตัวขึ้นมา พวกมันเร่งรีบโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อค่าสถานะเพิ่มขึ้นแปดเท่า ความเร็วของฉินเทียนปัจจุบันก็ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคําว่า “รวดเร็ว” อีกแล้ว การโจมตียังมาไม่ถึงคนก็หายไปแล้ว แม้จะเผชิญการปิดล้อมของพวกยักษ์สมุทร แต่ฉินเทียนก็รับมือได้อย่างปลอดโปร่ง

“สนุกพอแล้ว ถึงตาข้าบ้างล่ะ”

ฉินเทียนลอยตัวอยู่ที่สูง ฉินเทียนพลันรวมกํามือทั้งสองข้าง ปราณเพลิงสีม่วงเริ่มแปรสภาพเป็นสายฟ้า

“นั่นเขากําลังทําอะไร?”

หลังจากถอยออกมาหลายร้อยเมตร เมิ่งผ่านอีและเฮยหยานก็มองดูกลุ่มสายฟ้าสีม่วงที่ค่อยๆปรากฏขึ้นมา เฮยหยานอดสงสัยไม่ได้จนต้องถามขึ้น

“ไม่ได้ยินที่เขาบอกร์ สายฟ้าอย่างไรล่ะ” เมิ่งผ่านอีก็ไม่รู้หรอกว่าฉินเทียนจะทําอะไร แต่ดูจากสถานการณ์ แล้วก็คงเป็นท่าไม้ตายอะไรสักอย่าง

“ฮ่ๆ…..”

ฉินเทียนหัวเราะราวกับผู้ชนะ พวกยักษ์สมุทรที่อยู่ด้านล่างเริ่มหมุนตัวหลบหนีกันจ้าละหวั่น

“คิดหนี?”

“สายไปแล้ว ฮ่าๆ….”

“จงฟาดผ่า!”