สามปีผ่านไป ทุกสิ่งแปรเปลี่ยน

เนื่องจากไร้เบาะแสใดๆจากหลิวฮ่วน การตายของจ้าวเฟิงจึงกลับกลายเป็นปริศนาอันลึกลับยากคลี่คลายของสำนักจันทร์จรัสแสง

แต่แน่นอนว่ามีน้อยคนนักที่รู้ว่าจ้าวเฟิงตายแล้ว

กระทั่งป๋ายลี่หงยังไม่รู้เรื่องใดๆด้วยซ้ำ

อีกด้านหนึ่งต้วนหลิงเทียนที่เดินทางด้วยความเร็วสูง ในที่สุดเขาก็แลเห็นจุดดำๆเบื้องหน้าไกลตา

ด้วยความเร็วอันสูงล้ำ จุดดำๆดังกล่าวพลันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นเกาะอันมีม่านหมอกปกคลุมบางๆ ยากจะแลเห็นเรื่องราวบนเกาะ

“เกาะป้านเยว่!”

เป็นเวลา 3 ปีแล้วตั้งแต่ที่เขาออกเดินทางจากเกาะป้านเยว่

อารมณ์คิดถึงเอ่อล้นขึ้นมาทันใด!

ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกก็คือคิดถึงนัก

อย่างไรก็ตามพอนึกถึงใบหน้าคู่หมั้นทั้งสองและเด็กน้อยในครรภ์พวกนาง ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็เผยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาทันที

“เค่อเอ๋อ เสี่ยวเฟยเอ๋อ…ข้ากลับมาแล้ว!”

ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างด้านนอกเกาะป้านเยว่พลันกล่าวรำพันออกมา

อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาเหินร่างไปหยุดลอยเหนือน่านฟ้าของเกาะป้านเยว่ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติด้านหลังเมฆหมอกทันที

“เกิดอะไรขึ้นกัน?”

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะยังบอกไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ แต่เขาสัมผัสได้ว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเกาะป้านเยว่เป็นแน่!

ร่างต้วนหลิงเทียนเร่งดิ่งลงฝ่าเมฆหมอกลงมา จนแลเห็นเกาะป้านเยว่ชัดถนัดตา

ปราดมองเพียงวูบเดียวหน้าเขาก็ซีดลงอย่างหนัก

ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าประหนึ่งค้อนใหญ่ทุบฟาดลงกลางใจ เลือดลมทั่วร่างกลับกลายเป็นปั่นป่วน พักใหญ่กว่าจะสงบลงได้

ต้วนหลิงเทียนเห็นอะไร?

เกาะป้านเยว่ตอนนี้…แทบจะกลายเป็นซากปรักหักพัก!

เกาะป้านเยว่แต่เดิมนั้นเขียวขจีไปด้วยมวลหมู่แมกไม้ อากาศบริสุทธิ์สดชื่นเปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ประหนึ่งสวรรค์บนดิน

ทว่ายามนี้ตัวเกาะเต็มไปด้วยหลุมบ่อกับคราบเลือดแห้งกรังคล้ายมีภัยพิบัติ!

ไม่เพียงเท่านั้นอาคารของนิกายหลิงเทียนที่เคยตั้งตระหง่านอย่างโอ่อ่าบนเกาะ ตอนนี้ก็พังพินาศหมดสิ้น! ยังมีซากศพกระจัดกระจายกองระเนระนาดเกลื่อนพื้น จากสายตาซากศพนั้นเริ่มย่อยสลายแล้ว เผยให้เห็นว่าตายมาเนิ่นนาน!

“นี่มันอะไรกัน! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!!”

ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงพรึงเพริด ตอนนี้ใจเขาหวิวๆร่างกายรู้สึกล่องลอย เสมือนมีใครมาควักใจออกไปจากกลางอก ลูกตายังเปลี่ยนเป็นสีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ

“ใคร? ใครหน้าไหนมันทำแบบนี้!!”

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนแทบจะเสียสติไปให้ได้

ที่นี่ไม่เพียงแต่มีคู่หมั้นทั้งสองที่เขาใส่ใจมากที่สุด แต่ยังมีสหายสนิทและนิกายหลิงเทียนของเขา

อนิจจาบัดนี้พินาศสิ้นแล้ว…

ซากปรักหักพังนั่นยังเต็มไปด้วยซากศพ…

เขาไม่กล้าคิดเรื่องนี้สืบไป

สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัว ก่อนที่จะโรยตัวลงมายังซากปรักหักพัง บริเวณส่วนที่พักระดับสูงของนิกาย

ใจเขารู้ดีว่าตอนนี้แม้ไม่อยากจะตรวจสอบแค่ไหน ก็จำต้องตรวจสอบ!

เขาต้องยืนยันให้ได้ว่าคู่หมั้นทั้งสองของเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่! ยังอยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!!

ยังต้องยืนยันว่าสหายของเขาและคนที่เป็นดั่งครอบครัวเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

“เจ้านาย!”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนโรยตัวมาเจียนถึงซากปรักหักพังส่วนที่พักชนชั้นสูงของนิกายด้วยหัวใจบีบคั้นที่แทบจะหยุดเต้นลง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียนทันที

และเสียงที่ดังเข้าหูนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็เสมือนหยาดน้ำฟ้าที่ร่วงหล่นลงมายามแล้งไม่มีผิด!

“โฉดคลุมทอง!?”

ได้ยินเสียงนี้ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของโฉดคลุมทอง

โฉดคลุมทองนั้นก็คือ สุนัขนิรยขนทอง ที่เขารับมาอยู่ใต้อาณัติ

ครู่ต่อมาร่างโฉดคลุมทองก็ออกมาจากที่ซ่อนข้างเศษซากปรักหักพัง รีบพุ่งมาหาต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแดงฉาน

“โฉดคลุมทอง…นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?”

เสียงต้วนหลิงเทียนสั่นเครือ ตอนนี้เขาแทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้

“เจ้านาย ท่านมากับข้าก่อน”

หลังจากกล่าว โฉดคลุมทองก็เหินร่างนำต้วนหลิงเทียนไปยังส่วนตะวันออกของเกาะป้านเยว่ทันที ไม่นานก็บรรลุถึงเขาลูกหนึ่งในส่วนตะวันออก ก่อนที่จะเข้าไปถึงหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง

ในหุบเขามีบ้านไม้ปลูกไว้หลายหลัง

มีร่าง 2 ร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่งในนั้น

เฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟง!

เมื่อเห็นร่างทั้งสองต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อย เขาเป็นคนคิดพาทั้งคู่มายังเกาะป้านเยว่ เขาคงยากจะอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิตหากทั้งคู่เกิดเรื่องอะไรร้ายๆขึ้น!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟิ่งหวู่เต้า

หากเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งหวู่เต้า วันหน้าพอเขาพบเฟิ่งเทียนหวู่ เขาจะกล่าวบอกนางอย่างไร…

“ลุงเฟิ่ง! ครู!”

ดั่งประกายแสง ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปจากด้านข้างของโฉดคลุมทอง พริบตาก็ไปปรากฏเบื้องหน้าเฟิ่งหวู่เต้าและซื่อหม่าฉางฟงทันที

ด้วยความเร็วในตอนนี้ของต้วนหลิงเทียน ทั้งคู่ย่อมไม่อาจตอบสนองใดได้ทัน พอได้ยินเสียงเรียกพวกมันก็หันมองมาด้วยท่าทางตื่นตัว ตั้งท่าระแวดระวังราวกับผู้พิทักษ์

และทันทีที่เห็นดวงตาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยมวลอารมณ์ยากจะกล่าว

“เจ้าหนู ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”

เฟิ่งหวู่เต้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่ามันจะอยู่มาครึ่งชีวิต แต่มันก็ยากจะระงับอารมณ์ตัวเองได้ แม้จะพึ่งผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมาก็ตาม

แม้ซื่อหม่าฉางฟงจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่จากสีหน้าแววตาก็บอกให้รู้ว่าอารมณ์อีกฝ่ายไม่ได้สงบเหมือนท่าทาง

“นายน้อย!”

ขณะเดียวกันนั้นเองชายวัยกลางคนร่างใหญ่แลดูเข้มแข็งก็ก้าวเดินออกมาจากบ้านไม้ พอเห็นต้วนหลิงเทียนใบหน้าของมันก็เผยความชื่นมื่นยินดี ร้องทักด้วยน้ำเสียงดีใจ

“ฉงเฉวียน”

เมื่อเห็นชายวัยกลางคนร่างกายกำยำเดินออกมาจากบ้านไม้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ส่องสว่างขึ้นมาทันใด ความอึดอึดเสมือนหินทับอกค่อยๆคลายลง

“ต้วนหลิงเทียน เจ้ากลับมาแล้วเหรอ?”

ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนยังเห็นคู่แฝดหนานกงค่อยๆก้าวออกมาจากบ้าน เฉินเฉ่าช่วยเองก็ยังมีชีวิตอยู่

จังหวะนี้หินก้อนใหญ่ที่ทับใจของต้วนหลิงเทียน เสมือนค่อยๆหลุดร่วงออกไปทีละก้อนๆ

ต้วนหลิงเทียนเร่งจับจ้องไปยังประตูบ้านไม้หลังอื่นเขม็ง เพราะยังเหลือคนสำคัญที่สุดสำหรับเขาอีก 2 คนที่ยังไม่เดินออกมา

ขณะมองไปในใจก็หวั่นๆไม่น้อย

แล้วเค่อเอ๋อกับลี่เฟยเล่า?

เสี่ยวเฮย เสียวไป๋ เสี่ยวจินเล่า ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?

ในที่สุดประตูบ้านไม้หลังอื่นก็เปิดออก ร่างหนึ่งค่อยๆเดินออกมา

“ท่านประมุข”

เป็นสตรีนางหนึ่ง และทันทีที่นางเห็นต้วนหลิงเทียน ลูกตานางก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน

“หลัวผิง”

สตรีที่พึ่งออกมานี้คือรองประมุขนิกายหลิงเทียน หลัวผิง

“ฮูหยินประมุข ท่านประมุขกลับมาแล้ว”

เมื่อเห็นหลัวผิงเดินไปเรียกหาคนในบ้านไม้หลังข้างๆ ใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเต้นรัวขึ้นมาทันที

เพราะคนที่หลัวผิงเรียกหาว่าฮูหยินประมุขได้มีเพียง 2 คนเท่านั้น ก็คือเค่อเอ๋อกับลี่เฟย!

ครู่ต่อมาประตูบ้านไม้หลังดังกล่าวก็เปิดออก ร่างอรชรหนึ่งเหินออกมาทันใด กลิ่นหอมจรุงลอยมาตามลม คนโผเข้าไปหาอ้อมกอดต้วนหลิงเทียน

ไร้ซึ่งความลังเลอันใด ต้วนหลิงเทียนอ้าแขนออกรอรับร่างงามที่เหินเข้ามาทันที

“เค่อเอ๋อ ข้ามาช้าไป…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน

“นายน้อย”

โฉมงามในอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนนี้ เป็นเค่อเอ๋อ หนึ่งในคู่หมั้นเขาเอง

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ในที่สุดร่างงามที่สั่นเทิ้มเบาๆในอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนก็กลับมาเป็นปกติ นางซุกอกต้วนหลิงเทียนไม่ห่าง สุดท้ายกลับหลับลงไปคาอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนเสียอย่างนั้น

“อะ…อะไรกัน?”

ตอนนี้เองเหนือขึ้นไปบนฟ้าสูง วิหกสีม่วงที่เกาะไหลสตรีชุดดำถึงกับต้องเบิกตากว้างกล่าวออกด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของเค่อเอ๋อที่อยู่ในอ้อมกอดต้วนหลิงเทียน “พะ…พี่หญิง…นางเหมือนท่านยิ่งนัก! นางเป็นคนที่ท่านกำลังตามหาอยู่หรือ?”

“ในที่สุดข้าก็ได้พบนางแล้ว”

ชือเม่ยในชุดคลุมลมดำกล่าวพึมพำ น้ำเสียงนางไร้ทุกข์สุข เรียกว่าไม่มีอารมณ์อันใด

“ท่านประมุข ฮูหยินประมุขมิได้นอนหลับดีๆมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ที่ท่านจากไป”

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมองเค่อเอ๋อที่หลับไปด้วยสายตาเป็นกังวล หลัวผิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอธิบายออกมา

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ต้วนหลิงเทียนที่กอดเค่อเอ๋ออยู่เมื่อเห็นนางหลับไปแล้วก็ค่อยๆอุ้มนางให้นอนดีๆ ก่อนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงหาจะหายไปกลายเป็นจริงจัง กล่าวถามออกมาน้ำเสียงเคร่งขรึม

ตอนที่เขาจากเกาะป้านเยว่ไปเมื่อ 3 ปีก่อน เกาะยังสงบเรียบร้อยดั่งแดนสวรรค์

3 ปีผ่านไป พอเขากลับมาอีกครั้ง เกาะกลับกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว

สามปีผ่านไป ทุกสิ่งแปรเปลี่ยน…

“ให้ข้าเล่าเถอะนายน้อย”

ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากันด้วยไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี ฉงเฉวียนก็ก้าวออกมา

จากนั้นด้วยการเล่าเรื่องทั้งหมดของฉงเฉวียน ต้วนหลิงเทียนก็รับทราบว่าที่แท้มันเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเกือบปีที่แล้วมีคนในชุดคลุมสีทองที่เรียกหาตัวเองว่า ‘ตี้จิ่ว’ มาถึงเกาะป้านเยว่ พอมันมาถึงก็ไม่พูดไม่จาลงมือเข่นฆ่ายอดฝีมือบนเกาะป้านเยว่ทนัที กระทั่งยังฆ่า 2 ใน 3 รองจ้าวเกาะที่ขึ้นมาไถ่ถามในพริบตา!

หลังจากนั้นตี้จิ่วที่คล้ายสงบอารมณ์ลงได้หลังฆ่าคน ก็หันมาถามว่าใครเป็นคนฆ่าจ้าวเกาะป้านเยว่ ตี้ยง

ทุกคนย่อมไม่รู้เรื่องนี้เป็นธรรมดา

ไม่ใช่ว่าจ้าวเกาะตี้ยงเดินทางออกไปลำพังหรือไร? ยิ่งไปกว่านั้นยังมอบเกาะป้านเยว่ให้ต้วนหลิงเทียน ประมุขของนิกายหลิงเทียนดูแลอีกด้วย

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่รู้ความ ตี้จิ่วพาลอารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบ มันเริ่มลงมือเข่นฆ่าผู้คนราวผักปลา ระบายความเกรี้ยวกราดไม่รู้จบ!

เวลานั้นเกาะป้านเยว่เสมือนเผชิญหน้ากับวันโลกาวินาศก็ไม่ปาน!

อีกทั้งด้วยโทสะที่ล้นใจ ยิ่งมาตี้จิ่วผู้นั้นยิ่งคล้ายเสียสติ สุดท้ายคนก็กลับกลายเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ เริ่มต้นสังหารหมู่ทุกชีวิตบนเกาะป้านเยว่! ผู้คนบนเกาะป้านเยว่เริ่มหนีตายกันจ้าละหวั่น!!

และกลุ่มคนรู้จักของต้วนหลิงเทียน ก็อาศัยจังหวะชุลมุนนั้นหลบหนีออกจากเกาะ

“แล้วเฟยเอ๋อเล่า? นอกจากนั้นพวกเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ เสี่ยวจินล่ะ ไปไหนกันหมดแล้ว?”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนแดงรื้นขึ้นมาด้วยความกังวล

“ในช่วงชุลมุน ข้ากับพี่หญิงเฟยเอ๋อจำต้องแยกจากกัน ตอนนั้นพวกเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋แล้วก็เสี่ยวจินอยู่กับพี่หญิงเฟยเอ๋อ”

ไม่ทราบเมื่อไหร่ แต่เค่อเอ๋อที่ถูกปลุกขึ้นเพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่านของต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวออกมาด้วยความเสียใจ

“ตอนที่แยกกัน ข้าเห็นว่าเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 พานางแหวกฝูงชนพุ่งหายไป…หลังจากที่เหตุการณ์สงบแล้ว พวกเราก็ย้อนกลับมา และมิได้พบเจอศพไหนที่คล้ายพวกนาง เช่นนั้นพวกเราจึงมั่นใจได้ 9 ใน 10 ส่วนว่าพวกนางยังปลอดภัยดี”

เฟิ่งหวู่เต้ากล่าว

9 ใน 10 ส่วนยังมีชีวิตอยู่?

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งใจไม่น้อยเมื่อได้ฟังคำของเฟิ่งหวู่เต้า

เพียงแค่มีชีวิตอยู่ก็พอ

“แล้วคนอื่นๆ…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

“นอกจากคนที่มิได้อยู่บนเกาะป้านเยว่แล้ว ล้วนตายตกหมดสิ้น”

ลูกตาหลัวผิงเผยประกายหมองหม่น กล่าวออกมาด้วยความทอดถอนใจ “จางซันหลี่ซื่อตายแล้ว…กระทั่งรองจ้าวเกาะทั้ง 3 ก็ตกตายหมด”

ตายหมดแล้ว!

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำของหลัวผิง พลันปวดใจขึ้นมาทันใด

“ตี้จิ่ว…มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ…”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนเย็นเยียบลงทันใด ยังเต็มไปด้วยจิตฆ่าฟัน “ตี้จิ่วแห่งเผ่าพันธุ์มังกร ข้าต้วนหลิงเทียนจะจดจำเรื่องครั้งนี้ไว้ไม่มีลืม สักวันเจ้าต้องชดใช้!!”