จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 156
ในเขตน้ําลึก สัตว์อสูรโดยส่วนใหญ่ล้วนอยู่เหนือระดับห้าขึ้นไป
เมื่อพบกับสัตว์อสูรที่อยู่เป็นฝูง ฉินเทียนก็ใช้เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าจัดการถล่มจนสิ้นซาก
เมื่อพบกับอสูรที่มาตัวเดียว ทั้งสามก็จะกลุ่มรุมอย่างโหดเหี้ยม
การล่าดําเนินไปอย่างราบรื่น
แต่ยิ่งดําดิ่งลงไปลึกมากเท่าไร สัตว์อสูรทัพบเจอก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้น
เมื่อต่อสู้มากเข้า กลุ่มของฉินเทียนก็ต้องชะลอความเร็วลงเพื่อฟื้นฟู
หลังจากออกล่าต่อเนื่องกว่าสิบชั่วโมง ฉินเทียนก็เลื่อนมาเป็นระดับเจ็ดขั้นกลั่นวิญญาณ และอยู่ไม่ไกลจากระดับแปดเท่าไรนัก ความเร็วในการเติบโตของเขาสุดที่ผู้คนจะเข้าใจจริงๆ
นี่มันยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดซะอีก!
ตึง….
สัตว์อสูรระดับหกล้มครืน
เห็นแขนเฮยหยานมีแผลลึกเห็นกระดูก ฉินเทียนก็ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวว่า “พักกันก่อนเถอะ โอสถเป่ยหยวนนี่ท่านเอาไปใช้เถอะ”
เฮยหยานรับโอสถไปโดยไม่อิดออดก่อนจะกลืนมันทันที เมิ่งฝานอีทรุดนั่งลงบนพื้นทรายพลางหอบหายใจอย่างหนัก ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอย่างสาหัส
โอสถเป่ยหยวนออกฤทธิ์เร็วยิ่ง ไม่นานบาดแผลลึกก่อนหน้าก็เกือบจะปิดสนิท อย่างไรเสียนี่ก็คือโอสถระดับเก้า มีพลังฟื้นฟูสูงส่งเหนือธรรมดา
“พวกเราคงลงมาได้สักยี่สิบลี้แล้วกระมัง หากไม่มีมุกหลีกวารีคอยคุ้มครอง ร่างกายของพวกเราคงถูกแรงดันน้ําบดขยี้ไปแล้ว” ฉินเทียนเอ่ยปากขึ้น
เมื่อถึงระยะสิบกิโลเมตรจากผิวน้ําก็จะไม่มีที่คุ้มภัยใดอีก แรงดันน้ําที่ระดับความลึกช่วงนี้ก็ยิ่งน่ากลัว ผู้บ่มเพาะทั่วไปหากไม่มีมุกหลีกวารีเกรงว่าคงร่างแตกเป็นหยาดโลหิตไปแล้ว
นี่เป็นสาเหตุที่ฉินเทียนต้องจัดเตรียมมุกหลีกวาร์ไว้อีกสองเม็ด
ขณะที่เมิ่งฝานอีและเฮยหยานพักฟื้นฟู ฉินเทียนก็ทําหน้าที่คอยคุ้มครอง
ตอนนี้เอง ที่กันทะเลก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ฝุ่นทรายใต้ทะเลพลันม้วนตลบจนบดบังทัศนวิสัยอย่างสมบูรณ์ทั้งสามเพียงมองเห็นได้ในระยะยี่สิบเมตรรอบตัวเท่านั้น ระยะห่างเพียงเท่านี้แทบจะไม่มีโอกาสรับมือสิ่งใด
ตอนนี้ที่พึ่งเพียงอย่างคงมีเพียงญาณสัมผัสแล้ว
ทว่าหากร่างกายตอบรับกับประสาทสัมผัสไม่ทัน เช่นนั้นก็อันตรายแล้ว
“มีบางอย่างกําลังมา!”
กลิ่นอายนักล่าของฉินเทียนรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว เขาพลันชะงักกกก่อนจะยิงพลังแห่งความมืดออกไปโดยไม่ลังเล
ฝุ่นทรายม้วนตลบ สัตว์อสูรที่คล้ายปิรันย่าทว่าตัวใหญ่ราวขนเขาพลันแหวกฝ่าแนวสาหร่ายทะเลออกมา
ฉินเทียนรับรู้ถึงมันได้ตอนที่อยู่ห่างกันราวหนึ่งกิโลเมตร ทว่าเพียงชั่วอึดใจมันก็ใกล้จะบรรลุถึงตําแหน่งที่เขาอยู่แล้ว
มันคือปิรันย่ายักษ์ สัตว์อสูรระดับหก พลังโจมตีสูง การเคลื่อนไหวรวดเร็วขัดกับขนาดตัว และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พวกมันมักอยู่กันเป็นกลุ่ม
เมื่อปิรันย่ายักษ์ลอบโจมตีล้มเหลว มันก็สะบัดหางแหวกว่ายหนีไปในกลุ่มฝุ่นทราย
เวลานี้ทั่วพื้นที่ล้วนเต็มไปด้วยเม็ดทรายลอยคละคลุ้ง การมองเห็นทางกายภาพไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
“ฝานอีทางซ้ายของท่าน!”
“พี่ใหญ่เฮย ด้านบน…..”
“พวกเราถูกล้อมจริงๆแล้ว พวกปลายักษ์ระดับหกมีอย่างน้อยก็สองร้อยตัว….”
เปรี้ยง!
เปรี้ยง!
ฉินเทียนส่งเสียงเตือนคนทั้งสอง เฮยหยานและเมิ่งฝานอีป้องกันตามตําแหน่งที่บอกขณะที่ในใจยังตกตะลึงไม่หาย หากไม่ได้เสียงเตือนของฉินเทียนป่านนี้พวกเขาคงกลายเป็นศพไปแล้ว
ปิรันย่ายักษ์เคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก หากถูกมันพุ่งกัดเอาคงไม่กลัวตัวขาดเป็นชิ้นๆ
“บ้าคลั่งขั้นที่สอง!”
“คชสารชําระล้าง!”
“เข้ามา!”
ฉินเทียนคํารามพลางตั้งท่าเตรียมตอบโต้
ในใจฉินเทียนรู้สึกวิตกอยู่ไม่น้อย ปิรันย่าพวกนี้มีมากเกินไป เขาไม่อาจส่งเสียงเตือนสหายทั้งสองได้ตลอด แต่ต่อให้เขาส่งเสียงบอกทันก็ไม่แน่ว่าเมิ่งฝานอีและเฮยหยานจะตอบสนองได้ทัน หนทางเดียวที่จะพลิกสถานการณ์คือการปัดเป่าหมอกฝนเหล่านี้ไป
เสียงปะทุดังขึ้นคราหนึ่ง คลื่นแสงสีขาวนวลพลันระเบิดจากร่างฉินเทียนไปทั่วทุกทิศจนปัดเป่าฝุ่นกระจายออกไป
เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมชัดถนัดตา ฉินเทียนก็ขนลุกชี้ชั้น
พวกปิรันย่ายักษ์ทุกตัวล้วนแต่มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ปากของพวกมันเต็มไปด้ซี่ฟันจํานวนนับไม่ถ้วน ครีบของมันดูคมกริบไม่ต่างจากใบมีดขนาดใหญ่ อีกทั้งตามร่างยังมีบางสิ่งเกาะติดอยู่ทั่วทั้งตัว
ปิรันย่ายักษ์โอบล้อมคนทั้งสามไว้ด้วยท่าทางที่จ้องมองเหยื่อ ตามซอกฟันของพวกมันมีน้ําลายไหลย้อยออกมา ดูท่าพวกมันคงหิวกระหายมานานแล้ว
“ทะ….ทําไงดี?”
เมิ่งฝานอีรีบถอยไปอยู่ข้างกายฉินเทียน
ฉินเทียนสัมผัสได้ว่าร่างของเมิ่งฝานอีกําลังสั่นเทาอยู่น้อยๆ เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดชวนขนหัวลุกจํานวนนับไม่ถ้วนเช่นนี้ ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้บ่มเพาะขั้นจุติก็ยังต้องสั่นสะท้าน
“พวกเราหนีไม่ได้ พวกมันเคลื่อนไหวได้ไวกว่าหลายเท่า”
“ดังนั้น?”
“ฆ่าให้เหี้ยน!”
วินาทีถัดมากลิ่นอายทั่วร่างของฉินเทียนก็เปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ําดิน ปราณเพลิงสีม่วงไหลทะลักจากร่างก่อนจะควบแน่นกลายเป็นเทพดุร้ายที่ด้านหลัง
ฉินเทียนกระทืบเท้าดีดตัวพุ่งออกไปอย่างห้าวหาญ
“ฆ่าให้หมด!”
“ลุย!”
เมื่อไม่มีทางเลือก คนทั้งสามก็ได้แต่สู้ถวายชีวิต จิตสังหารคลี่คลุมออกอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นฉินเทียนพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ปิรันย่ายักษ์สิบกว่าตัวก็พุ่งออกมารับหน้า…
“เข้ามาให้หมด!”
ฉินเทียนซัดมุกอัสนี้ไปยังกลางกลุ่มของพวกมันก่อนจะพุ่งตัวเปลี่ยนทิศทาง ยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอ ปิรันย่าอีกกลุ่มก็พุ่งเข้ามาจากอีกทิศทางต้องการจะฉีกกระชากฉินเทียนเป็นชิ้นๆ
บึ้ม……
มุกอัสนีห้าเม็ดระเบิดขึ้นพร้อมกันจนเกิดเป็นการระเบิดขนาดใหญ่
แม้ว่าปิรันย่ายักษ์จะไม่ตาย แต่พวกมันก็บาดเจ็บหนัก ซี่ฟันหักหลุดไปทั้งแถบ ตามร่างยังเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของพวกมันเอง
ฉินเทียนสะบัดมือซัดมกอัสนีออกไปอีกห้าเม็ด
ปิรันย่ายักษ์จํานวนสองร้อยตัวก็เทียบได้กับค่าประสบการณ์จํานวนยี่สิบล้านหน่วย ซึ่งนั่นก็เพียงพอให้เขาเลื่อนระดับเป็นระดับแปดขั้นกลั่นวิญญาณ แล้วมีหรือที่ฉินเทียนจะปล่อยให้หลุดรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียว?
ฉินเทียนพึ่งพาความเร็วที่เพิ่มขึ้นแปดเท่ารับมือกับพวกมันอย่างไม่ลําบากกินแรง
ทว่าทางด้านของเมิ่งฝานอีและเฮยหยานนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขากําลังตกอยู่ในอันตราย
“ค่ายกลเจ็ดสังหาร!”
กระบี่บินเจ็ดเล่มพลันยิงพรวดออกไปก่อนจะบินวนสังหารพวกปิรันย่าที่กําลังกลุ้มรุมเมิ่งฝาน
ในเวลาเดียวกันฉินเทียนก็ตะโกนออกไป “ไม่ต้องบุกโจมตี เพียงป้องกันตนเอง ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง!”
“เจ้าจะบ้าเหรอ?”
“ปล่อยเจ้าลุยเดี่ยวเนี่ยนะ?”
แม้ว่าทั้งเมิ่งฝานอีและเฮยหยานจะรับมืออย่างยากลําบาก แต่พวกเขาก็ยังสามารถช่วยคลายความกดดันให้กันและกัน แต่หากคนผู้หนึ่งตกเป็นเป้าโจมตีของพวกปิรันย่ายักษ์จํานวนสองร้อยตัวในเวลาเดียวกัน ยังไม่ต้องพูดถึงขั้นสวรรค์ กระทั่งขั้นจุติเองก็เกรงว่ายากจะรอด
เฮยหยานหยิบเม็ดยาออกมาโยนเข้าปากก่อนจะกลับไปลุยอีกครั้ง
เม่งฝานอีใช้เพลงกระบี่ไท่ซูถึงขีดสุด สร้างบาดแผลให้กับปิรันย่ายักษ์ไปหลายตัว
เมื่อเห็นคนทั้งสองยังดื้อดึงต่อสู้ไม่ถอย ฉินเทียนก็ขมวดคิ้วอย่างกังวล
ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่มีผลดีใดๆต่อพวกเขา ไม่ช้าไม่นานคนทั้งสองคงต้านทานไว้ไม่อยู่เป็นแน่
ฉินเทียนพลันฉุกคิด เขานํามุกหลีกวารีให้มาวมาวพลางกล่าวว่า “มาวมาว เจ้าไปช่วยพวกเขา”
“โฮ่ง โฮ่ง!”
มาวมาวส่งเสียงอย่างตื่นเต้น เมื่ออกมาแล้วมันก็รีบเปลี่ยนร่างเข้าโหมดต่อสู้ก่อนจะพุ่งไปช่วยเมิ่งฝานอีและเฮยหยานทันที
ในเวลาเดียวกดัน ฉินเทียนก็คํารามขึ้น “เปิดโหมดปีศาจ!”
แกร๊ก…..
กระดูกทั่วร่างเริ่มส่งเสียง ผิวกายเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ํา ไม่ถึงครึ่งลมหายใจ ฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์
ร่างปีศาจตามปกติก็แข็งแกร่งกว่าร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว ยิ่งเมื่อตอนนี้ค่าสถานะถูกเพิ่มขึ้นอีกแปดเท่าก็ยิ่งแข็งแกร่งถึงขีดสด จิตสังหารดจห้วงมหาสมุทรแผ่กระจายออกครอบคลุมพื้นที่
พวกปิรันย่ายักษ์พลันชะงักลึก แต่เมื่อหันมองไปตามแหล่งที่มาของจิตสังหารและพบกับฉินเทียนในร่างปีศาจสวรรค์ พวกมันก็หันไปโจมตีฉินเทียนอย่างบ้าคลั่ง
“จงตายไปให้หมด!”
ฉินเทียนคํารามด้วยดวงตาที่แดงฉาน “เงาโลหิต จงมา!”
ภายใต้ผลของบ้าคลั่งขั้นที่สอง เงาโลหิตที่ปรากฏออกมาหมื่นกว่าร่างก็แยกย้ายกันพุ่งเข้าไปในร่างของปิรันย่ายักษ์แต่ละ ฉินเทียนคํารามขึ้นอีกครั้ง “ระเบิด!”
เสียงระเบิดดังขึ้นหลายระลอกและเปลี่ยนให้น้ําทะเลโดยรอบกลายเป็นสีแดงฉาน
ปิรันย่ายักษ์ทั้งหมดระเบิดเป็นชิ้นๆ ไม่มีแม้สักตัวที่เหลือรอด
“ค่าสถานะเพิ่มขึ้นแปดเท่านี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
ข้อความแจ้งเตือนจากระบบพลันดังขึ้นถี่ยิบ ในจํานวนนั้นยังเป็นแก่นโลหิต
“อึ้ง!”
“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ฉินเทียน สําหรับการเลเวลอัพ ระดับเลื่อนขึ้นเป็นระดับแปดขั้นกลั่นวิญญาณ……”
เลเวลอัพแล้ว!
อีกเพียงสองเลเวลก็จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์ ฮ่าๆ……..
กลิ่นเลือดลอยคละคลุ้ง สัตว์ขนาดยักษ์กว่าสองร้อยชีวิตถูกเข่นฆ่า เกรงว่ากลิ่นเลือดคงแพร่ออกไปนับพันลี้
“ไม่ต้องขุดแก่นแล้ว”
“หนี!”
ฉินเทียนเก็บมาวมาวเข้าแหวนมิติก่อนจะตะโกนอีกครั้ง “รีบเผ่นกันเถอะ ไม่อย่างนั้นคงสายเกินการณ์”
เมิ่งฝานอีและเฮยหยานรีบกลับมารวมกลุ่ม เห็นสีหน้าท่าทางอันเคร่งเครียดของฉินเทียนแล้ว ดูท่าคงมีสัตว์อสูรสุดแกร่งกําลังมุ่งหน้ามา พวกเขามีแต่ต้องไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
“เวรเอ๊ย แก่นระดับหกสองร้อยกว่าแก่น!”
ฉินเทียนหมุนตัวจากไปพลางกัดฟันกรอด เขาถอนหายใจคราหนึ่งก่อนจะรีบจากไป…..