จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 157

กลิ่นอายสุดสะพรึงมุ่งหน้าใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ความกดดันที่ยิ่งใหญ่ราวขุนเขาปรากฏขึ้นในขอบเขตการรับรู้ของฉินเทียน หัวใจของฉินเทียนพลันบีบรัด เขาหันไปเร่งเมิ่งฝานอีและเฮยหยานให้เพิ่มความเร็วขึ้น

ฉินเทียนมั่นใจว่าสัตว์อสูรที่ตามกลิ่นเลือดมานี้ต้องเหนือกว่าระดับแปด

ระดับแปดและระดับหกนับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ปิรันย่ายักษ์ที่เป็นสัตว์อสูรระดับหกก็ยังเทียบไม่ได้กับสัตว์อสูรระดับแปดเพียงตัวเดียว ความน่ากลัวของสัตว์อสูรระดับแปดนั้นอยู่เหนือจินตนาการ

ไม่ได้มีเพียงกลุ่มของฉินเทียนที่รีบหลบหนี กระทั่งพวกสัตว์อสูรระดับต่ําก็แตกฮือหนีหาย หากไม่รีบหลบหนีเสียตอนนี้คงไม่มีโอกาสได้หลบหนีในวันหน้า

แม้สัตว์อสูรในทะเลจะเป็นพวกกระหายเลือด แต่ที่พวกมันสนใจยิ่งกว่าก็คือแก่นอสูร

แก่นอสูรมีความดึงดูดใจต่อทั้งผู้บ่มเพาะและสัตว์อสูร สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจะออกล่าสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่าเพื่อกลืนกินแก่น และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทําให้พวกมันเลื่อนระดับชั้น

พวกมันก็เหมือนกันฉินเทียน เข่นฆ่าเพื่อเติบโต เดินอยู่บนเส้นทางแห่งโลหิต นี่ก็คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้เข้มแข็งปกครองทุกสิ่ง

ปิรันย่ายักษ์สองร้อยกว่าตัวก็คือแก่นอสูรสองร้อยกว่าแก่น เป็นขุมทรพย์ที่ไม่ว่าใครก็ตาลุกวาว

ฉินเทียนปวดใจราวกับถูกมีดกรีดเฉือน

หลังจากหนีมาได้หลายสิบลี้ ฉินเทียนก็หยุดยั้งก่อนจะคืนร่างเดิม หมัดที่กําแน่นสั่นอยู่น้อยๆ ต่อสู้มาตั้งนาน สุดท้ายกลับเป็นการตัดเย็บชุดวิวาห์ให้กับผู้อื่น เป็นความรู้สึกที่ยากจะรับได้จริงๆ ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “เวรเอ๊ย”

“ลูกพี่ นั่นมันอะไรกัน?” เมิ่งฝานอีถามขณะหอบหายใจ เขาเพิ่งตะบึงมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด ตอนนี้เหนื่อยแทบหายใจแล้ว

เฮยหยานก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาเหน็ดเหนื่อยจนไม่มีแม้แต่แรงจะพด เฮยหยานนั่งพิงก้อนหินก่อนจะหลับตาลงพักหายใจ

“สัตว์อสูรระดับแปด” ฉินเทียนตอบ

เมิ่งฝานอีเบิกตาค้างพลางเสียวสันหลังวาบ

“แปด..ระดับแปด?” เฮยหยานพึมพําอย่างตกตะลึง

ตัดสินตามระดับบ่มเพาะของมนุษย์แล้ว สัตว์อสูรระดับแปดก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะระดับสูงสุดขั้นสวรรค์

แต่แน่นอนว่าสัตว์ย่อมแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ ร่างกายของพวกมันผ่านการขัดเกลาซ้ําแล้วซ้ําเล่าจนถึงขั้นน่ากลัว การโจมตีทั่วไปไม่มีผลต่อพวกมัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมฉินเทียนถึงเลือกจะหลบหนี

หากยังฝืนอยู่ต่อไปก็คงกลายเป็นอาหารให้สัตว์อสูรตัวนั้น แม้จะหนีมาหลายสิบลี้แล้วก็ไม่อาจนับว่าพวกเขาปลอดภัยแล้วจริงๆ

“บัดซบ…”

ฉินเทียนสบถอย่างโมโห “ตามทันแล้ว”

“อะไรนะ?”

“สัตว์อสูรระดับแปด?”

ทั้งสามลุกขึ้นพรวดก่อนจะหนีต่อ

“ฉินเทียน ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”

ในขณะที่พวกเขากําลังจะหลบหนี เสียงอันเย็บเยียบก็ดังขึ้น แรงกดดันสามยหนึ่งกดทับลงมาจากทางด้านบน พลังมังกรพิสุทธิ์ในตันเถียนพลันโคจรเพื่อต้านทานโดยสัญชาตญาณ

“ใคร?”

ฉินเทียนพลันหน้าเคร่งเครียดขณะแผ่สัมผัสการรับรู้ออกไปรอบตัว

“ผู้ที่จะมาเอาชีวิตเจ้า”

สิ้นเสียง เงาร่างสี่เงาร่างก็ปรากฏขึ้นโอบล้อมกลุ่มของฉินเทียนเอาไว้

เฟิง หยุน เหลย เตี้ยนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันจิตสังหารอันเข้มข้น

“กลุ่มชิงเทียน เฟิง หยุน เหลย เตี้ยน สี่มือสังหาร?!”

เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาทั้งสี่ เมิ่งฝานอีก็โพล่งออกมา เมิ่งฝานอีหน้าเครียดพลางลดเสียงกล่าว “คนพวกนี้ ล้วนอยู่ขั้นสวรรค์ ยามเมื่ออยู่ครบสี่คนพวกมันสามารถสอดประสานกันสําแดงพลังได้เทียบเท่าผู้บ่มเพาะขั้นจุติ!”

“กลุ่มชิงเทียน? สี่คน?” ฉินเทียนจับจ้องไปยังห่วงน้ําที่ดํามืดก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ไฉนกลุ่มชิงเทียนจึงตามตอแยข้าไม่เลิก?”

“เจ้าสังหารผู้ดูแลของเรา นี่เป็นโทษที่ไม่อาจละเว้น เจ้าคิดหรือว่าประมุขน้อยจะยอมปล่อยเจ้าไป?” เฟิงผู้ซึ่งอาวุโสที่สุดในคนทั้งสี่กล่าวตอบ

กล่าวจบก็สะบัดมือสร้างพายุหมุนขึ้นมาลูกหนึ่ง

ความสามารถในการควบคุมลม?

“ในสงครามชิงอํานาจ ความเป็นความตายล้วนแต่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ในเมื่อกล้าก้าวเท้าเข้าสนามต่อสู้ เขาก็ต้องเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว แม้แต่หอคุมกฏก็เห็นว่านี่เป็นความผิด พวกเจ้าอาศัยความชอบธรรมจากไหนมากล่าวหาข้า?” ฉินเทียนตอบกลับอย่างไม่กลัวเกรง เขากระทืบเท้าปล่อยพลังคชสารชําระล้างออกไปทําลายพายุ ที่พุ่งเข้ามาลูกนั้นจนสลายไป

“อาศัยความชอบธรรมจากไหนงั้นรึ? กลุ่มชิงเทียนก็คือความชอบธรรม เมื่อเจ้าฆ่าคนจากกลุ่มชิงเทียน เจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

เฟิงหัวเราะก่อนจะสร้างพายุหมุนลูกใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะของพวกฉินเทียน

“ข้าเอง” เมิ่งฝานอีพุ่งตัวพร้อมฟันกระบออกไป เจตจํานงกระบอันแกร่งกร้าวพลันสะบั้นพายุลูกนั้นเป็นสองส่วน

“เป็นกระบี่ที่ไม่เลว”

เหลยที่นิ่งเงียบมานานพลันกล่าวอย่างเย็นชา

ฉินเทียนก้าวขึ้นหน้า “กลุ่มชิงเทียนงั้นหรือ? เป็นกลุ่มชิงเทียนหรือสํานักเทียนจีที่ยิ่งใหญ่กว่า? อํานาจอิทธิพลของพวกเจ้ายังเทียบไม่ได้กับหนึ่งในตําหนักทั้งแปดเลยด้วยซ้ํา หอคุมกฏไม่ได้บอกว่าข้ามีความผิด ดังนั้น ข้าย่อมไม่ผิด พวกเจ้าต้องการฆ่าข้า? ไม่กลัวว่าหอคุมกฏจะลงมาสอบสวนงั้นรึ?”

“กลุ่มชิงเทียนก็คือฟ้า ประมุขน้อยก็คือเทพเจ้า สํานักเทียน แปดตําหนัก หอคุมกฏ? เหล่านี้ก็คือหิน รองเท้าให้กลุ่มชิงเทียนเราย่าเหยียบขึ้นไป ส่วนเจ้า……” เฟิงแค่นเสียงก่อนจะยกนิ้วขึ้น “เป็นหินก้อนเล็กๆที่ ใหญ่ไม่เท่านิ้วมือ”

“สังหารเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากบั้มด”

เฟิงจ้องมองฉินเทียนอย่างเหยียดหยาม เขากางฝ่ามือก่อนที่น้ําจากโดยรอบจะถูกควบคุมโดยพลังสวรรค์ควบแน่กลายเป็นเสาน้ําวน “ตายซะ”

“ฝานอี พี่ใหญ่เฮย พวกท่านหาจังหวะหนีไป เป้าหมายของพวกมันคือข้า” พลังแห่งความมืดก่อตัวขึ้นในฝ่ามือขณะที่สายตาของเขาจ้องมองไปในห้วงน้ําอันมืดมิดเพื่อมองดูร่างที่ซ่อนตัวอยู่ สิ่งที่กําลังซ่อนตัวนั้นต่างหากที่ทําให้เขารู้สึกกังวล

“จะได้อย่างไร? พวกเราเป็นพี่น้อง……”

“ข้าไม่ไป”

“ขึ้นอยู่ไปก็คงไม่รอดกันทั้งหมด จําไว้ว่าหากสบโอกาสก็ให้หนีทันที ยิ่งไกลก็ยิ่งดี อีกสามเดือนข้างหน้าไปเจอกันในเมืองอสูร หากข้ายังรอดข้าจะไปที่นั่น” ฉินเทียนกล่าวก่อนจะพุ่งร่างออกไป

มือสังหารกลุ่มนี้มาเพื่อกําจัดฉินเทียน

แม้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งไม่เบา แต่ฉินเทียนไม่ได้วิตกมากนัก อย่างไรเสียบนวิถีของเต๋แห่งการฆ่าฟันก็ไม่มีคําว่าหวั่นเกรง

พลังแห่งความมืดพุ่งออกกลืนกิน

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เฟิง หยุน เหลย เตี้ยนก็ไม่ได้ใช้ท่าประสานในทันที หากว่าหนึ่งในสี่คนนี้ถูกฆ่า……..

พวกเขาก็จะใช้การประสานนั้นไม่ได้!

แต่อย่างไรเสียทั้งสี่ก็บ่มเพาะอยู่ในขั้นสวรรค์มาหลายร้อยปีแล้ว

แล้วมีหรือที่จะถูกคนฆ่าเอาง่ายๆ?

แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะตายไม่เป็น

ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก สัตว์อสรระดับแปดตัวหนึ่งกําลังจับจ้องมองมา ฉินเทียนเพียงหัวเราะเสียงเย็น…