บทที่ 139 ชาวบ้านผู้โง่เขลา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ตอนที่ 139 ชาวบ้านผู้โง่เขลา

ตอนที่ 139 ชาวบ้านผู้โง่เขลา

“ไม่ใช่หรอก! ครอบครัวที่ดีขนาดนี้จะมอบลูกชายให้คนอื่นได้อย่างไร”

“แกจะมองเด็กสองสามคนด้วยเจตนาดีอะไรอีก ข้ารู้ว่านี่เป็นพังพอนมาสวัสดีปีใหม่ให้กับไก่[1] ไม่มีทางมาดีแน่นอน!”

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานทำให้ความคิดเห็นของชาวบ้านเปลี่ยนไป เมื่อสักครู่ทุกคนยังอยู่ข้างซุนซื่อจนนางนึกพอใจ แต่ในเวลานี้คำพูดของทุกคนกลับทำให้ซุนซื่อทนไม่ได้ แม้กู้เสี่ยวหวานจะดูนุ่มนวลและอ่อนแอ แต่คำพูดเหล่านี้จริง ๆ แล้วเหมือนคมดาบที่สร้างความเจ็บปวด

ซุนซื่อจ้องมองกู้เสี่ยวหวานอย่างโกรธเกรี้ยว หลังกู้เสี่ยวหวานพูดจบแล้วก็มองซุนซี่อ เมื่อเห็นซุนซื่อจ้องมองด้วยสายตาดุดันเช่นนั้นนางก็ไม่กลัว หันกลับมาท้าทายสายตาตรง ๆ พร้อมมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้ม ทำให้ซุนซื่อตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด

สายตาเช่นนี้ของกู้เสี่ยวหวานดูน่ากลัวนัก นางเป็นคนฉลาดพูด แม้แต่สายตาก็คมเหมือนกับใบมีด

ซุนซื่อต้องการหลบเลี่ยงไป แต่ผู้เห็นเหตุการณ์ได้หยุดนางไว้และขอให้นางพูดให้ชัดเจน “ซุนซื่อ วันนี้เจ้าต้องพูดให้ชัดเจน พูดมาสิ เจ้าต้องการพาตัวพี่น้องกู้หนิงอันทั้งสองคนไปใช่หรือไม่?”

“ไม่แปลกใจเลยที่หนิงผิงจะทุบตีเจ้า หากเป็นข้า ข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้ว”

“ใช่แล้ว เขาตีเบา ๆ เอง!”

เมื่อกุ้ยซื่อที่คอยส่งเสริมซุนซื่อมาโดยตลอดเห็นว่าซุนซื่อกลายเป็นเป้าหมายของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สีหน้าของนางก็ดูประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคน นางจึงแอบปล่อยมือซุนซื่อ และต้องการปลีกตัวจากไปอย่างเงียบ ๆ อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านตาแหลมบางคนเห็นแล้วจึงขวางทางกุ้ยซื่อไว้พลางชี้หน้าพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเห็นใจซุนซื่อ ที่แท้ก็เป็นคนใจร้ายเช่นกัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย”

เมื่อกุ้ยซื่อเห็นว่าผู้คนเริ่มพูดเรื่องของตน นางก็โกรธและถามกลับว่า “ข้าจะมีลูกชายหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”

คนในหมู่บ้านล้วนหัวโบราณกันหมด ถ้าให้กำเนิดบุตร ต้องให้กำเนิดบุตรชาย หากให้กำเนิดบุตรชายก็เหมือนได้เชิดหน้าชูตา ดูเหมือนว่ากุ้ยซื่อคนนี้จะลบหลู่เทพยดาเข้าแล้วจริง ๆ เหล่าทวยเทพจึงลงโทษให้นางไม่มีลูกชายแม้แต่คนเดียว

“ชาติที่แล้วเจ้าคงเคยทำสิ่งชั่วร้ายมามากมายกระมัง จึงทำให้ชาตินี้เจ้าไม่มีลูกชาย!”

“เฮ้ พูดให้มันดี ๆ ข้าจะมีลูกชายหรือไม่แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” กุ้ยซื่อดุคนที่บอกว่านางไม่มีลูกชาย “เจ้ามีลูกชายได้มันน่าทึ่งนักหรือ มีลูกสาวแล้วจะทำไม? เจ้าไม่ใช่สตรีหรือ ในอนาคตลูกชายเจ้าจะไม่แต่งงานกับลูกสะใภ้หรืออย่างไร?”

แม้กุ้ยซื่อคนนี้จะไม่ใช่คนดี แต่สิ่งที่นางพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล

เพียงแต่ในตอนนี้กู้เสี่ยวหวานต้องการปราบซุนซื่อ จึงทำให้กุ้ยซื่อพลอยติดร่างแหไปด้วย

กู้เสี่ยวหวานร้องไห้โฮออกมา เมื่อเห็นว่าชาวบ้านโดยรอบช่วยพูดให้นาง นางก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ขอบคุณท่านลุงท่านป้าท่านน้าท่านอาทุกคนนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่ของข้าจะจากไปแล้ว แต่เราทั้งสี่ก็แยกกันไม่ได้ ท่านป้าบอกว่าจะส่งน้องชายสองคนของข้าไปให้ลูกพี่ลูกน้องของนางเลี้ยงดูและให้เงินสินสอดทองหมั้นในอนาคตกับข้าและน้องสาว นี่ไม่ใช่ของขวัญแต่เป็นการขายคน ไม่มีเงินจำนวนมากที่ไหนสามารถซื้อเลือดเนื้อเชื้อไขใครได้ ต่อให้พวกเราจะยากจนเพียงใด ข้าก็จะไม่ขายน้องชายของข้า มิฉะนั้นถ้าข้าตายแล้ว ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนขายน้องชายไป?” กู้เสี่ยวหวานพูดรัวเร็ว แต่ทุกสิ่งที่พูดล้วนมาจากใจ ในวันนี้ตัวนางที่เคยมีชีวิตมาแล้วเกือบสามสิบปีขอค้านหัวชนฝาไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดที่จะส่งน้องชายของนางไป

แต่ถ้าเป็นกู้เสี่ยวหวานคนเดิมล่ะ? เรื่องนี้ก็ยากที่จะบอก

กู้เสี่ยวหวานคนเดิมทั้งอ่อนแอและขี้อาย หากซุนซื่อแข็งแกร่งกว่านี้ หรือกู้เสี่ยวหวานอ่อนแอกว่านี้ บางทีนางอาจจะส่งน้องชายสองคนออกไป แต่มันก็เป็นความเมตตาเช่นกัน ถ้าไม่รู้จักหาเงินเลี้ยงครอบครัวแล้ว นางจะยอมให้น้องสองคนทนทุกข์กับนางไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาในทันใด นี่คือญาติที่กินข้าวหม้อเดียวกันจริงหรือ พวกเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร?

กู้เสี่ยวหวานมองซุนซื่อ ใบหน้าของนางในขณะนี้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง และจากสีแดงเป็นสีเขียว การถูกชาวบ้านรุมชี้หน้าทำให้นางรู้สึกละอายใจ เดิมทีก่อนหน้านี้นางเพียงแค่ต้องการมาคุยกับกู้เสี่ยวหวาน หากวิธีนี้ไม่ได้ผลก็สามารถกลับไปได้โดยไม่รบกวนคนอื่น

แต่นางไม่คิดเลยว่าพวกกู้เสี่ยวหวานจะไม่ยอมใครแบบนี้ พวกเขากลับหยิบไม้กวาดมาทุบตีขับไล่นางออกไป ความจริงแล้วซุนซื่อสามารถหลบหลีกได้ แต่เมื่อมาคิดดูในภายหลังก็พบว่าเรื่องที่กู้หนิงผิงไม่เคารพและทุบตีผู้อาวุโสมันทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายเดือดร้อนได้ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้กู้หนิงผิงใช้ไม้กวาดทุบตี ด้วยคิดว่าการเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้จะเรียกคะแนนความสงสารจากชาวบ้านที่มองดูได้ แต่ไม่ได้คาดหวังเลยว่ากู้เสี่ยวหวานจะบอกความจริงและทำให้ชาวบ้านหันหลังให้นาง

“เสี่ยวหวาน อย่าพูดเหลวไหลสิ ข้าบอกตอนไหนว่าจะส่งสองพี่น้องกู้หนิงอันออกไป?” เมื่อเห็นชาวบ้านกำลังรุมก่นด่าตน ซุนซื่อก็เห็นว่าหากยอมรับว่าจะส่งเด็กทั้งสองออกไปในวันนี้ เช่นนั้นตนคงโดนชาวบ้านรุมด่าจนตาย

“เมื่อสักครู่ท่านเพิ่งพูดกับพี่สาวของข้า ท่านอย่าปฏิเสธ” กู้หนิงผิงเห็นว่าซุนซื่อยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เขาพูดในตอนนี้ เขาจึงเป็นกังวลและพูดเสียงดัง

“หนิงผิง อย่ากล่าวหาข้าผิด ๆ อย่างนี้!” ซุนซื่อเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว “ข้าสงสารพี่น้องอย่างพวกเจ้าจริง ๆ นะ ข้าเลยบอกเสี่ยวหวานไปและเกลี้ยกล่อมว่าถ้านางลำบากที่จะเลี้ยงน้องก็ลองไปส่งที่บ้านลูกพี่ลูกน้องของข้าก็ได้ ถึงอย่างไรลูกพี่ลูกน้องของข้าก็ไม่มีลูก การส่งพวกเจ้าไปนับว่าเป็นโชคดีแล้ว เสี่ยวหวานจะได้วางใจได้” ซุนซื่อพูดอย่างน่าสงสาร “ข้าอุตส่าห์หวังดี แต่ถ้าพวกเจ้าไม่เห็นค่าก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ทำเหมือนว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”

“ท่าน……”

ซุนซื่อช่างมีวาจาเฉลียวฉลาดจริง ๆ นางเอ่ยเสนอแนะแต่ไม่ได้บังคับ นับว่าเป็นเจตนาดีอย่างหนึ่ง จะมีความผิดได้อย่างไร?

บางคนทนไม่ได้จึงย้ายข้างมาหาซุนซื่อและเกลี้ยกล่อมกู้เสี่ยวหวาน “ครอบครัวกู้เหล่าเอ้อ ท่านป้าของเจ้าพูดถูก เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กหญิงอายุแปดขวบที่จะเลี้ยงน้องชายน้องสาวสามคนด้วยตัวเอง ป้าใหญ่ของเจ้านับว่าใจดีแล้ว”

ถูกต้อง นับว่าใจดี!

แทนที่กู้เสี่ยวหวานจะโกรธ นางกลับยิ้มออกมาและเหลือบมองชาวบ้านรอบ ๆ บางคนมาเพื่อรับชมความสนุก บางคนมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างจริงใจ และบางคนก็มาเพื่อขว้างก้อนหินใส่คนที่ตกลงไปในบ่อน้ำ*

*ซ้ำเติมคนเมื่อเขาล้ม

“กู้ฉวนฟู่ก็ตายแล้ว ทำไมยังสนใจเรื่องชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้นอยู่? มีหรือไม่มีลูกชายก็เหมือนกัน? ถ้าเจ้าส่งพวกเขาไปเป็นคุณชาย เจ้าจะทุกข์น้อยลง! หนิงผิง เจ้าต้องคิดให้รอบคอบนะ ถูกส่งตัวไปอยู่กับคนอื่นนี่แหละคือความสุข จะอยู่ที่บ้านนี้ให้ลำบากไปทำไม!”

“น่าเสียดายที่ลูกข้าโตแล้ว มิฉะนั้น ข้าก็อยากจะให้ซุนซื่อส่งลูกของข้าไป ถึงอย่างไรเมื่อลูกโตแล้วสายสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ยังคงอยู่ ไม่ได้ถือว่าห่างเหินกับเขาหรอก”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ย้ายข้างกันเก่งจริงชาวบ้านพวกนี้ เปลี่ยนสีกันยิ่งกว่ากิ้งก่า

ไหหม่า(海馬)