ในขณะที่ทางด้านทีเอร่า โมโกะ และอีฟกำลังจะเริ่มต้นค้นหาคนหายกันอยู่นั้นเอง ทางด้านนากากับคอนแนลก็กำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าตรอกเล็กๆ ข้างร้านขนมพร้อมกับหญิงสาวหูแมวอีกสองคนที่มีชื่อว่า บราวนี่ และ คุ๊กกี้ ผู้เป็นเจ้าของร้านขนมที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน

ซึ่งคอนแนลที่กำลังชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านในตรอกมืดๆ ที่ว่านั้นก็ได้ใช้สายตาของเขาสอดส่องภายในอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดถามสาวๆ จากร้านขนมขึ้นมา

“ข้างในนี้สินะครับคุณบราวนี่?”

“ใช่แล้วจ้ะ แต่ว่าป่านนี้พวกทหารยามเขาน่าจะเก็บกวาดไปหมดแล้วล่ะ”

“จากที่ดูแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหล่ะครับ… แต่เก็บกวาดซะเรียบร้อยแบบนี้ ทหารยามของแพนเทร่าก็เก่งเหมือนกันนะครับเนี่ย…”

คอนแนลที่ได้ยินคำตอบของบราวนี่ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในเพื่อลองสำรวจดู และนั่นก็ทำให้คอนแนลได้พบเข้ากับกำแพงอิฐหนาหนักอันเป็นกำแพงของตัวอาคารที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนเข้าจนทำให้เขาต้องพูดถามบราวนี่ขึ้นมาอีกครั้ง

“เห็นบอกว่าผู้ชายคนที่คุณบราวนี่คิดว่าน่าจะเป็นคนร้ายคนนั้นเขาโดดข้ามกำแพงนี้หนีไปสินะครับ คุณบราวนี่พอจะจำรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นได้บ้างหรือเปล่าน่ะครับ?”

“ก็… เป็นผู้ชายผมสั้นสวมเสื้อคลุมสีดำคลุมแบบคลุมทั้งตัวน่ะ… แล้วพอเขาเห็นฉันเดินออกมาจากร้านเขาก็รีบกระโดดข้ามกำแพงนั้นหนีไปเลยน่ะจ้ะ”

“หมายถึงกระโดดข้ามกำแพงสูงขนาดนี้ไปเลยน่ะหรอครับ…?”

“จ้ะ ถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้จำอะไรผิดไปล่ะก็ฉันว่าฉันเห็นเขากระโดดแค่ครั้งเดียวก็ขึ้นไปถึงข้างบนหลังคาเลยน่ะ… แต่เหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้วิซธาตุลมช่วยผลักตัวเองขึ้นไปหรืออะไรแบบนั้นด้วยนะ เพราะว่าตอนนั้นมันไม่มีลมกระโชกหรืออะไรพวกนั้นเลยน่ะจ้ะ…”

บราวนี่ที่ได้ยินคอนแนลพูดถามซ้ำขึ้นมานั้นยังคงพูดตอบกลับไปตามเดิม เพราะถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อ แต่ว่าตัวเธอเองก็ไม่คิดว่าจะจำอะไรผิดไปอย่างแน่นอน

ซึ่งคำตอบของบราวนี่ก็ได้ทำให้คอนแนลต้องเงยหน้าขึ้นไปคำนวณระหว่างความสูงของอาคารสามชั้นเบื้องหน้ากับความสามารถของตนอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะตัดใจและหันไปพูดถามนากาที่ยืนรออยู่ด้านนอกขึ้นมาแทน

“ถ้าเป็นนากาจะพอกระโดดข้ามกำแพงนี่ไปได้หรือเปล่าน่ะครับ?”

“หะ? กำแพงนี่อ่ะนะ…?”

คำถามของเพื่อนอัศวินได้ทำให้นากาที่กำลังยืนคุยอยู่คุ๊กกี้อยู่ที่หน้าซอยเงยหน้าขึ้นไปมองดูกำแพงที่สูงท่วมหัวเขาที่สุดปลายของตรอกเล็กๆ แห่งนี้ก่อนที่เขาจะยักไหล่เบาๆ แล้วจึงเดินเข้าไปหาคอนแนลเพื่อพูดตอบเพื่อนของตนกลับไป

“ถ้าให้ปีนข้ามไปน่ะน่าจะพอได้ แต่ถ้าจะให้กระโดดข้ามไปคงจะไม่ไหวหรอกมั้ง… ยกเว้นแต่ว่าจะให้ฉันใช้ถุงมือช่วยด้วยน่ะนะ ถ้าเป็นแบบนั้นแวบเดียวก็ถึงแล้ว”

“หมายความว่าต้องใช้อุปกรณ์เสริมถึงจะทำได้สินะครับ…”

คอนแนลที่ได้ยินคำตอบของนากาได้พยักหน้ากลับไปให้เขาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปพูดบอกบราวนี่ขึ้นมา

“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกผมขอตรวจสอบที่นี่อีกสักพักนึงก็แล้วกันนะครับ คุณบราวนี่กับคุณคุ๊กกี้กลับเข้าไปในร้านกันก่อนได้เลยครับ”

“ถ้างั้นก็เชิญตามสบายเลยจ้ะ… อ่ะ แต่ถ้าเกิดว่าเสร็จธุระเมื่อไหร่ก็แวะเข้าไปบอกพวกฉันข้างในร้านสักหน่อยก็แล้วกันนะ”

“เข้าใจแล้วครับ”

คอนแนลพยักหน้าตอบบราวนี่กลับไปสั้นๆ และเมื่อหญิงสาวหูแมวผมสีน้ำตาลเดินกลับไปหาเพื่อนของเธอและพากันเดินกลับเข้าไปด้านในร้านขนมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นากาก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการพูดตอบคอนแนลเกี่ยวกับเรื่องที่เพื่อนของเขาดูเหมือนว่าจะสะกิดใจแล้วขึ้นมา

“นี่คอนแนล เกี่ยวกับเรื่อง—”

“เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าผู้ชายที่ชื่อว่าเดดารัสคนนั้นอาจจะเป็นคุณเวก้าก็ได้น่ะหรอครับ?”

“นายรู้…?”

“ผมก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินทีเอร่าเขาเล่าเรื่องของเดดารัสให้ฟังแล้วล่ะครับ… ว่าแต่นาการู้อยู่ก่อนแล้วหรอครับว่าคุณเดดารัสคนนั้นคือคุณเวก้าน่ะครับ?”

คอนแนลพูดถามนากาขึ้นมาพลางเอนหลังไปพิงกำแพงของร้านขายขนมที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งท่าทางที่ดูเหมือนจะกลัดกลุ้มเล็กน้อยของคอนแนลนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดตอบเขากลับไปตามตรง

“ก่อนหน้านี้คุณปู่ของไดเอน่าเขาเคยเอารูปของทีเอร่ากับเวก้าตอนที่สองคนนั้นพยายามจะเข้าไปในบ้านพักตากอากาศของไดเอน่ามาให้ฉันดูน่ะ… หืม…”

“สุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องกลับไปเจอกับเขาอีกครั้งในฐานะศัตรูจนได้สินะครับ…”

ในขณะที่คอนแนลกำลังพูดพึมพำออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวดที่เขาจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตเจ้านายที่เขาเคยให้ความเคารพในฐานะศัตรูอีกครั้งหนึ่งอยู่นั้นเอง เขาก็ได้สังเกตเห็นว่านากากำลังก้มลงไปสำรวจอะไรบางอย่างอยู่บนพื้นดินจนทำให้เขาต้องพูดถามขึ้นมา

“เจออะไรเข้าหรอครับนากา…?”

“ที่พื้นตรงนี้มีรอยแตกอยู่ด้วยน่ะ…”

นากาที่ได้ยินคอนแนลพูดถามขึ้นมาได้ชี้รอยแตกที่แผ่ขยายออกไปเหมือนกับรอยของพื้นที่ถูกกระแทกอย่างแรงให้เขาดู

“ดูแล้วเหมือนจะคล้ายๆ รอยเท้าอยู่นะครับ… นากาคิดว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่าว่ามันอาจจะเป็นฝีมือของคุณเวก้าตอนที่เขาต้องรีบหนีไปน่ะครับ?”

“ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ล่ะมั้ง แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเวก้าจริงๆ เขาก็น่าจะยังเก็บยูนิตรุ่นทดลองของเอริกะเอาไว้จนน่าจะบินหนีขึ้นไปได้สบายๆ ใช่มั้ยล่ะ… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอลองขึ้นไปดูข้างบนสักหน่อยก็แล้วกัน”

ปึ๊ก— วี๊—ครืกๆๆๆๆ

นากาที่เอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบนั้นได้ยิงใบมีดของถุงมือติดมีดโซ่ลาสเซอไวเวอร์ของเขาขึ้นไปปักกับอากาศที่ว่างเปล่าและใช้มันในการฉุดตัวเองขึ้นไปด้านบนหลังคาของอาคารที่อยู่ด้านหลังร้านขนมเพื่อสำรวจดูว่าเวก้าอาจจะเผลอทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้หรือไม่

และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง คอนแนลที่ยืนรออยู่เบื้องล่างก็ได้ป้องปากร้องถามเขาขึ้นมา

“เจออะไรบ้างมั้ยครับนากา?”

“เอ่อ… เอาจริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าต้องขึ้นมาหาอะไรข้างบนนี้น่ะ… แต่เท่าที่ดูแล้วก็ปกติดีล่ะมั้ง”

“เฮ้ย! เจ้าหนุ่ม! ขึ้นไปทำอะไรบนหลังคาบ้านคนอื่นนั่น!”

“อ่ะ–”

ในขณะที่นากากำลังพูดตอบคอนแนลกลับไปอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้นมาและเป้าหมายของเสียงร้องเรียกนั้นก็คงจะไม่พ้นนากา เด็กหนุ่มที่กำลังยืนอยู่บนหลังคาบ้านของคนอื่นนั่นเอง

ซึ่งเสียงร้องของชายวัยกลางคนที่ว่านั้นก็ได้ทำให้คอนแนลที่อยู่เบื้องล่างต้องหันไปดูทางต้นเสียงและทำให้เขาได้พบเข้ากับชายวัยกลางคนสวมแว่นผมหงอกขาวที่ถูกจัดแต่งเป็นทรงอย่างสุภาพเรียบร้อยในชุดคลุมสีดำที่กำลังใช้นัยน์ตาสีขาวขุ่นหมองมองตรงขึ้นไปทางนากาอยู่ จนทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นต้องรีบเรียกเพื่อนของเขาให้ลงมาในทันที

“ถ้าไม่เจออะไรนากาก็รีบลงมาก่อนเถอะครับ”

“รีบลงมาได้แล้ว! ขึ้นไปบนหลังคาในวันที่ลมแรงแบบนี้เดี๋ยวได้ร่วงลงมาหรอก!!”

“เข้าใจแล้วครับๆ จะรีบลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ—”

ฟู่ววววว—

“โอ๊ะ—”

แต่แล้วในขณะที่นากากำลังหาช่องทางที่จะกระโดดกลับลงไปที่พื้นถนนอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีสายลมกรรโชกพุ่งเข้าใส่เขาจนทำให้นากาเสียหลักปลิวลงมาจากด้านบนหลังคาเข้าให้

แต่ถึงแม้ว่านากาจะไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าเขายังคงสามารถที่จะใช้ใบมีดติดโซ่ของถุงมือของเขาในการรั้งตัวเองเอาไว้กลางอากาศและลงพื้นอย่างปลอดภัยได้อยู่ก็ตามที

แต่ว่าทางด้านชายวัยกลางคนที่เห็นว่านากากำลังร่วงหล่นลงมาจากหลังคาก็ได้ขยับตัวกระโดดพุ่งตัวขึ้นไปกลางอากาศและรับร่างของนากาที่กำลังหล่นลงมาเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงผิดจากรูปลักษณ์ของเขาที่เริ่มมีอายุแล้วพร้อมกับพูดถามนากาขึ้นมา

“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าพ่อหนุ่ม?”

“เอ่อ… ไม่เป็นอะไรครับ”

“งั้นก็ดีแล้ว”

หมับ

ในทันทีที่ชายวัยกลางคนพูดตอบกลับมาจนจบนั้นเอง เขาก็ได้ใช้มือที่สวมใส่ถุงมือสีดำเอาไว้คว้าจับไปที่รอยต่อของกำแพงอิฐจนทำให้ความเร็วในการร่วงหล่นของทั้งสองคนค่อยๆ ลดลงจนกลับลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย

และในทันทีที่ชายวัยกลางคนปล่อยแขนออกจากนากานั้นเอง คอนแนลที่ไม่ทันตั้งตัวก็ได้รีบวิ่งเขามาต่อว่าเพื่อนของเขาในทันที

“ระวังหน่อยสิครับนากา! ทำเอาผมใจหายใจคว่ำหมด!!”

“โทษทีๆ พอดีฉันไม่นึกว่าข้างบนนั้นจะลมแรงขนาดนั้นน่ะ เอ่อ… ขอบคุณที่เข้ามาช่วยนะครับ ผม นากามูระ อาร์ทิอัส แต่เรียกผมว่านากาเฉยๆ เลยก็ได้”

“อ่ะ– ขอบคุณที่ช่วยเพื่อนของผมเอาไว้ด้วยนะครับ ผม คอนแนล แรดคริฟ ครับ”

“พวกเธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ ฉันชื่อ—”

ในขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะพูดแนะนำตัวขึ้นมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อยและยกมือขึ้นมาเขี่ยแก้มของตัวเองราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ชั่วขณะแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดแนะนำตัวออกมาต่อ

“ฉันชื่อ มิคาเอล ยินดีที่ได้รู้จักนะทั้งสองคน”

“คุณมิคาเอลสินะครับ… เอ่อ… เอาไงดีล่ะครับนากา…?”

คอนแนลทีได้ยินมิคาเอลพูดแนะนำตัวขึ้นมาได้ค้อมหัวกลับไปให้เขาอย่างสุภาพก่อนที่เขาจะหันไปกระซิบถามนากาเบาๆ เพราะถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนเบื้องหน้าจะดูไม่ได้คล้ายเวก้าเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าลักษณะของเขาก็กลับตรงกับสิ่งที่บราวนี่บอกเอาไว้ว่าเป็นผู้ชายผมสั้นสวมชุดคลุมสีดำคลุมเอาไว้ทั้งตัวเอามากๆ

ซึ่งทางด้านนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็พอจะเข้าใจความคิดของเพื่อนของเขาได้ เขาจึงได้รีบพูดบอกเพื่อนอัศวินของเขากลับไป

“ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเวก้าแต่ตอนนี้พวกเราก็ลองหาข้อมูลเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่านะ…”

“เข้าใจแล้วครับ… เอ่อ… คุณมิคาเอลครับ พวกผมขอสอบถามอะไรคุณสักหน่อยจะได้หรือเปล่าครับ?”

“หืม? ลองว่ามาสิ ถ้าฉันตอบได้ก็จะตอบพวกเธอก็แล้วกัน”

มิคาเอลที่ในตอนแรกทำท่าเหมือนกับว่าจะพูดสอบถามว่านากาปีนขึ้นไปเล่นข้างบนหลังคาทำไมนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยและดันแว่นของเขาให้เข้าที่ก่อนจะพูดตอบกลับไป และนั่นก็ทำให้คอนแนลไม่รอช้าที่จะพูดสอบถามข้อมูลขึ้นมาในทันที

“คือตอนนี้พวกผมกำลังตามหาคนที่ใส่ชุดคลุมสีดำที่ดูคล้ายๆ ของคุณอยู่น่ะครับ เพราะงั้นพวกผมเลยอยากรู้ว่าชุดของคุณเป็นเครื่องแบบหรือว่าอะไรประมาณนั้นหรือเปล่าน่ะครับ?”

“คนที่ใส่ชุดอย่างฉัน? หมายถึงชุดคลุมสีดำแบบนี้น่ะหรอ?”

คำถามของคอนแนลได้ทำให้มิคาเอลเลิกคิ้วของเขาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และนั่นก็ทำให้คอนแนลต้องรีบพูดขึ้นมาต่อในทันที

“ใช่ครับ คือพอดีว่าพวกผมเพิ่งจะมาถึงที่แพนเทร่านี่ก็เลยไม่ค่อยจะรู้เรื่องเครื่องแบบของทางเมืองหรือว่าอะไรพวกนั้นสักเท่าไหร่น่ะครับ”

“อย่างงั้นเองหรอ เอาเป็นว่าฉันจะตอบคำถามของพวกเธอก็ได้นะ ถ้าเกิดว่าพวกเธอตกลงที่จะตอบคำถามของฉันบ้างน่ะ”

“เอ่อ… ถ้าพวกผมตอบได้ล่ะก็นะครับ”

นากาและคอนแนลที่ได้ยินคำพูดของมิคาเอลได้หันไปมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่พวกเขาจะพูดตอบกลับไป และนั่นก็ทำให้มิคาเอลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาขยับมือไปดึงปกคอเสื้อคลุมสีดำของเขาที่มีลักษณะคล้ายๆ กับปกคอของเสื้อสูทให้เข้าที่ให้เรียบร้อยเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวและเนคไทสีดำที่อยู่ภายใน

ซึ่งลักษณะของการแต่งกายที่ดูคล้ายกับบาทหลวงแต่ก็ดูไม่ค่อยจะคล้ายสักเท่าไหร่นั้นก็ได้ทำให้คอนแนลต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยจนทำให้มิคาเอลที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดตอบคำถามของเด็กหนุ่มอัศวินขึ้นมา

“ก็… ถ้าจะให้พูดตามตรงตอนนี้ฉันเป็นสัปเหร่อจากโบสถ์ที่อยู่แถวนี้น่ะ”

“สัปเหร่องั้นหรอครับ?”

“สัปเหร่อของเมืองนี้นี่แต่งตัวดูดีจังแฮะ…”

“ฮะฮะ ก็ชุดนี้มันเป็นชุดสำหรับใส่ออกมาต้อนรับแขกหรือไม่ก็เวลาต้องออกมาทำธุระข้างนอกนี่นะ”

ท่าทางแปลกใจของคอนแนลและคำพูดพึมพำของนากาได้ทำให้มิคาเอลหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดอธิบายออกมาเพิ่มเติม

“ที่จริงแล้วมันก็ไม่เชิงว่าเป็นเครื่องแบบของสัปเหร่อหรอก เพราะถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ล่ะก็มันคือเครื่องแบบทางการของพวกผู้ชายที่ทำงานในโบสถ์น่ะ ทั้งบาทหลวง ทั้งผู้ช่วย ทั้งสัปเหร่อ เวลาออกงานข้างนอกก็แต่งตัวแบบนี้กันหมดนั่นล่ะ… แต่ดูแล้วเธอคงจะพอเดาออกอยู่แล้วงั้นสินะคอนแนล”

“ครับ… เพราะพวกบาทหลวงในเมืองรีมินัสเองก็แต่งตัวคล้ายๆ แบบนั้นเหมือนกันน่ะครับ แต่ว่าชุดของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปนิดๆ หน่อยๆ”

“ก็แต่ล่ะเมืองคงจะมีธรรมเนียมแตกต่างกันออกไปบ้างนั่นแหล่ะ ถ้างั้นเอาเป็นตาฉันถามพวกเธอบ้างก็แล้วกันนะ”

มิคาเอลพูดตอบคอนแนลกลับไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะพูดทวงสัญญาในทีแรกขึ้นมา และเมื่อเขาเห็นว่าพวกเด็กๆ เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเขาจึงได้เริ่มต้นยิงคำถามกลับมาบ้าง

“เมื่อกี้นี้เธอบอกว่ากำลังตามหาคนที่ใส่ชุดคล้ายๆ ฉันอยู่ใช่มั้ยล่ะ? พวกเธอพอจะเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังได้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใครแล้วพวกเธอตามหาเขาไปทำไมน่ะ?”

“เอ๋ะ? เกี่ยวกับเรื่องคนที่พวกผมตามหางั้นหรอครับ? เอาไงดีล่ะครับนากา?”

“เอาจริงๆ ถึงบอกไปก็ไม่มีปัญหาหรอกมั้ง ว่าแต่ทำไมคุณมิคาเอลถึงอยากรู้เรื่องของคนคนนั้นหรอครับ?”

นากาพูดตอบคอนแนลกลับไปก่อนที่เขาจะหันไปพูดถามมิคาเอลขึ้นมาบ้าง ซึ่งทางด้านมิคาเอลก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบนากากลับมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองคำพูดที่ฟังดูเหมือนกับการยอกย้อนของนากาเลยแม้แต่น้อย

“ก็บังเอิญว่าตอนนี้ฉันก็กำลังตามหาคนน่าสงสัยที่สวมเครื่องแบบคล้ายๆ กันอยู่น่ะ เห็นซิสเตอร์จากโบสถ์ที่ฉันอยู่บอกว่าเธอกำลังโดนคนน่าสงสัยที่มีผมสีน้ำตาลแล้วก็แต่งชุดแบบเดียวกันฉันแอบติดตามอยู่น่ะ”

“หะ—!? / เป็นความจริงหรอครับ!?”

คำตอบของมิคาเอลได้ทำให้ทั้งนากาและคอนแนลร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ และนั่นก็ทำให้มิคาเอลที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมออกมา

“เห็นพวกเธอบอกว่าคนที่พวกเธอกำลังตามหาอยู่สวมชุดคล้ายๆ กับฉันใช่มั้ยล่ะ แล้วถ้าเกิดว่าเขามีผมสีน้ำตาลแล้วก็ใส่ผ้าปิดตาด้วยล่ะก็เขาก็น่าจะเป็นคนเดียวกับคนที่ฉันกำลังตามหาอยู่แล้วล่ะ”

“ผ้าสีน้ำตาลแล้วก็สวมผ้าปิดตา… ไม่ผิดแน่แล้วล่ะครับ…”

คอนแนลที่ได้ยินคำพูดของมิคาเอลได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความปวดใจ เพราะว่าในตอนนี้นอกจากที่เวก้าจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในกรณีทำร้ายคนแล้วก็ยังมีการแอบติดตามผู้หญิงด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ เพิ่มมาอีกอย่าง

ซึ่งท่าทางของคอนแนลนั้นก็ได้ทำให้นากาตัดสินใจที่จะพูดสอบถามมิคาเอลขึ้นมาแทนให้เขา

“งั้นที่คุณมิคาเอลมาที่นี่ก็เพราะว่าได้ยินว่าเขาคนนั้นเคยมาก่อเรื่องที่นี่ด้วยงั้นสินะ?”

“ใช่ ซิสเตอร์จากโบสถ์ที่ฉันอยู่เขาบอกว่าเหมือนจะเริ่มโดนติดตามตอนที่เธอผ่านมาทำธุระแถวๆ นี้น่ะ แล้วพอฉันลองมาตรวจสอบดูก็ได้ยินเขาพูดเรื่องฆาตกรรมอะไรสักอย่างก็เลยแวะมาดูจนเห็นเธอขึ้นไปปีนหลังคาเล่นนั่นล่ะ”

“แหะๆ …”

คำพูดของมิคาเอลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของนากาก็ได้ทำให้เด็กหนุ่มส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมา ส่วนทางด้านมิคาเอลที่เห็นท่าทางสำนึกผิดของนากานั้นก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและยกมือขึ้นมาดันแว่นของเขาอีกครั้งก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาต่อ

“ถ้าในเมื่อเป้าหมายของพวกเราเหมือนจะเป็นคนเดียวกันแบบนี้พวกเธอพอจะช่วยแบ่งปันข้อมูลให้ฉันสักหน่อยจะได้หรือเปล่าล่ะ? เพราะฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครมาจากไหนแล้วทำไมถึงต้องมาแอบตามซิสเตอร์จากโบสถ์ที่ฉันอยู่ด้วยน่ะ”

“เอ่อ… ต่อให้เป็นคนคนนั้นก็เถอะแต่ว่าเรื่องไปแอบตามผู้หญิงนี่มันก็… นายว่าไงล่ะคอนแนล?”

นากาที่ได้ยินข้อเสนอของมิคาเอลได้หันไปพูดถามคอนแนลที่น่าจะรู้จักเวก้าดีกว่าเขาขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านคอนแนลเองก็เคยทำงานกับเวก้าเป็นเวลาเพียงไม่นานก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ของคาร์เทียร์ขึ้นมาอีกทั้งในช่วงเวลาที่เขาเคยทำงานกับเวก้านั้นเขาก็ถูกสั่งให้ทำงานอยู่ด้านนอกตัวคฤหาสน์เป็นส่วนใหญ่จนไม่เคยได้รับรู้ว่าเวก้ามีคนรักเป็นหัวหน้าสาวใช้อย่างแจนที่เคยทำงานให้กับเอริกะก่อนจะเสียชีวิตไปแล้วอีกด้วย

“ถึงจะถามผมมาผมก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหล่ะครับ เมื่อตอนนั้นผมเข้าไปทำงานกับคุณเวก้าได้ไม่ถึงเดือนเลยนะครับ… แต่ว่าบอกไปคงจะไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอกมั้งครับ แถมดีไม่ดีอาจจะได้คุณมิคาเอลมาช่วยกันตามหาคุณเวก้าเขาด้วย”

“อ่าหะ ถ้านายว่างั้นล่ะก็นะ”

นากาพยักหน้าตอบคอนแนลกลับไปก่อนที่เขาจะหันกลับไปหามิคาเอลที่กำลังยืนรอพวกเขาปรึกษากันอยู่อย่างใจเย็นและเริ่มต้นพูดบอกข้อมูลเกี่ยวกับเดดารัสที่เขารู้ให้อีกฝ่ายฟัง

“เท่าที่พวกผมรู้ผู้ชายคนนั้นเขาชื่อว่า เดดารัส เขาเป็น… เอ่อ.. จะว่ายังไงดีล่ะ… แบบประมาณว่าหน่วยพิเศษที่ถูกสั่งให้มาตรวจสอบเรื่องหมอกที่เกิดขึ้นที่นี่น่ะครับ”

“หืม…? เธอหมายถึงหมอกพวกนี้น่ะหรอ…?”

“ใช่แล้วล่ะครับ แต่ว่าเมื่อตอนที่เมืองต่างๆ ถูกโจมตีอยู่ดีๆ เขาก็หายตัวไปเฉยๆ จนตอนนี้ก็ยังตามตัวไม่เจออย่างที่เห็นเนี่ยแหล่ะครับ”

“อื้ม… สรุปก็คือว่าเป็นคนจากต่างเมืองที่ถูกสั่งให้มาเช็กเรื่องหมอกของที่นี่จริงๆ ด้วยสินะ…”

มิคาเอลที่ได้รับข้อมูลของเดดารัสจากพวกนากาได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อใช้ความคิด

แต่ทว่าทันใดนั้นเองอยู่ๆ สีหน้าใช้ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นขมวดคิ้วด้วยท่าทีเคร่งเครียดเสียแทนจนทำให้นากาต้องรีบพูดถามขึ้นมาด้วยความตกใจ

“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าน่ะครับ!?”

“ก็บังเอิญว่าวันนี้ซิสเตอร์คนที่ถูกแอบตามคนนั้นเขาเพิ่งจะออกไปทำธุระข้างนอกโบสถ์น่ะสิ! ฉันเองก็บอกไปแล้วแท้ๆ นะว่าให้เลื่อนไปก่อนจนกว่าฉันจะจัดการเรื่องนี้เสร็จน่ะ!”

“เอ่—? ถ้าแบบนั้นพวกเราก็รีบตามไปกันเถอะครับ!”

“วันนี้เขาต้องไปที่โบสถ์แถวชานเมือง… ถ้าเกิดว่าพวกเธอจะไปด้วยกันก็รีบตามมาเร็ว!!”

มิคาเอลพูดสั่งพวกเด็กๆ ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนที่เขาจะออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วจนดูไม่เข้ากับสภาพร่างกายที่ดูค่อนข้างมีอายุของเขาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาและคอนแนลต่างก็ต้องรีบพากันออกวิ่งตามเขาไปในทันที

“อื้ม… ถ้าทำเรื่องรับร่างจากที่นี่เสร็จแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วล่ะมั้ง… ถ้างั้นเดี๋ยวขากลับแวะซื้อขนมไปฝากพวกเด็กๆ สักหน่อยก็แล้วกันเนอะ…”

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่หน้าโบสถ์เก่าๆ แห่งหนึ่งแถวชานเมืองก็ได้มีร่างของซิสเตอร์โจน่า ซิสเตอร์สาวผมสีทองที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับทีเอร่าที่กำลังรับบทเป็นซิสเตอร์ฝึกหัดที่เพิ่งจะพูดพึมพำมองเอกสารในมือด้วยท่าทางอารมณ์ดีก่อนที่เธอจะยื่นมือไปเคาะประตูโบสถ์เบื้องหน้าแล้วจึงลดมือลงมาเพื่อเฝ้ารอคนออกมาต้อนรับด้วยท่าทีสำรวม

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็กลับไม่ได้สังเกตเห็นชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลในชุดเสื้อคลุมสีดำที่กำลังจ้องมองเธออยู่จากเงามืดห่างออกไปไม่ไกลเลยแม้แต่น้อย