“อาการของคุณวิลฟอร์ดเป็นยังไงบ้างคะคุณริว”

ในขณะที่พวกนากากำลังทำงานของเอริกะกันอยู่ข้างในเมืองนั้นเอง ทางด้านเคาน์เตสอาริสะที่กำลังร่วมมือกับเอริกะเพื่อสืบหาต้นตอของปัญหาหมอกควันเองก็กำลังเดินไปตามโถงทางเดินของปราสาทแพนเทร่าและพูดถามผู้ชายที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ เธอเกี่ยวกับเรื่องของพลซุ่มยิงที่โดนไคเลอร์จัดการไปเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา

ซึ่งคำถามของอาริสะนั้นก็ได้ทำให้ชายหนุ่มสวมแว่นผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดเครื่องแบบทหารของเมืองกราวิทัสที่มีเหรียญประดับยศติดไว้บนอกและมีตราประจำหน่วยเป็นรูปของสุนัขสีขาวคาบมีดติดไว้ที่ต้นแขนต้องค้อมศีรษะกลับมาให้เธอเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไป

“ตอนนี้อาการของวิลฟอร์ดคงตัวแล้วครับ แต่ถ้าเกิดว่าพวกเราไปถึงช้ากว่านั้นก็คงจะพูดยากเหมือนกัน”

“ฝากไปย้ำเตือนให้หน่วยแพทย์หลวงใช้ทรัพยากรทุกอย่างในการช่วยชีวิตเขาให้ได้ด้วยนะคะ….”

หลังจากที่อาริสะเอ่ยปากพูดออกมาจนจบแล้วเธอก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาต่อ

“เรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะความสะเพร่าของดิฉันเอง… ถ้าหากดิฉันไม่ได้สั่งให้เขาไปซุ่มโจมตีที่นั่นคนเดียวหรือว่ารีบสั่งให้หน่วยแพทย์ไปที่นั่นเร็วกว่านั้นล่ะก็…”

“ท่านอาริสะ…”

คำพูดที่สื่อไปในทางโทษตัวเองของอาริสะได้ทำให้ริวเผยรอยยิ้มเอ็นดูออกมาก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นไปจับไหล่ของเด็กสาวเอาไว้และพูดปลอบใจเธอออกมา

“ท่านอาริสะไม่ต้องถือโทษโกรธตัวเองไปหรอกครับ เรื่องที่เกิดขึ้นมานั่นมันอยู่เหนือการควบคุมของท่าน แถมการส่งวิลฟอร์ดไปตำแหน่งนั้นเองก็เรียกได้ว่าเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นั้นแล้ว… อีกอย่างนึงการยอมสั่งให้ยกเลิกภารกิจเมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนการนี่ผมรับรองได้เลยว่ามีขุนนางน้อยคนนักที่จะยอมทำอย่างที่ท่านอาริสะทำนะครับ”

“…งั้นหรอคะ”

“ครับ ผมยืนยันได้เลยว่าไม่มีใครในหน่วย หรือแม้แต่กระทั่งตัววิลฟอร์ดเองจะโทษว่าเป็นเพราะท่านอาริสะหรอกครับ”

“ขอบคุณนะคะคุณริว…”

อาริสะที่ได้ยินคำพูดปลอบใจของริวที่เป็นลูกน้องของเธอได้ยิ้มพูดตอบเขากลับไป ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ ของเธอแล้วเธอก็ยังไม่มั่นใจนักว่าตัวเธอเองตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมในสถานการณ์แบบนั้นแล้วหรือไม่

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่ริวจะได้พูดตอบอะไรเจ้านายของเขากลับไป อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงใสๆ ของเอริกะดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของพวกเขาเสียก่อน

“อ่ะ ก็ว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มาอยู่ที่นี่นี่เอง”

เสียงพูดทักทายของเอริกะได้ทำให้อาริสะต้องหันไปมองทางต้นเสียง และเมื่อเธอได้พบเข้ากับเอริกะที่กำลังหอบหิ้วม้วนเอกสารและหนังสือเก่าๆ จำนวนหนึ่งอยู่เต็มอ้อมแขนเธอจึงได้แต่ต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“คุณเอริกะกลับมาแล้วหรอคะ? แล้วเอกสารพวกนั้น…?”

“ของจำเป็นนิดๆ หน่อยน่ะจ้ะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

คำถามของอาริสะได้ทำให้เอริกะที่กำลังมองตรงไปทางริวที่กำลังจับไหล่ของเด็กสาวอยู่ด้วยแววตาแพรวพราวพูดตอบเธอกลับไปอย่างส่งๆ ก่อนที่เธอจะพูดถามเกี่ยวกับเรื่องของนายทหารที่จนถึงบัดนี้ก็ยังจับไหล่ของอาริสะเอาไว้ขึ้นมา

“ว่าแต่คนๆ นี้คือใครกันล่ะเนี่ย? คนรู้จักของเธอหรอ?”

“ค่ะ เขาชื่อว่า ริว เป็นหัวหน้าหน่วยทหารของดิฉันเองค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเอริกะ ซิกมอร์ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคุณมาไม่ใช่น้อยเลย… น่าเสียดายนะครับที่คุณเอริกะตัดสินใจจะปักหลักอยู่ที่เมืองรีมินัสไม่ใช่เมืองแพนเทร่าของพวกเราน่ะครับ”

คำพูดแนะนำตัวของอาริสะได้ทำให้ริวต้องรีบปล่อยมือออกจากไหล่ของอาริสะเพื่อยื่นมือไปหวังจะจับมือทักทายเอริกะตามธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งทางด้านเอริกะนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะส่งม้วนเอกสารที่เธอหอบเอาไว้เต็มอ้อมแขนไปให้อาริสะถือเอาไว้ก่อนก่อนที่เธอจะยื่นมือไปจับมือของริวและพูดตอบเขากลับไป

“คิกคิก ถึงจะพูดอย่างงั้นแต่ฉันก็คงจะย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ”

“เอ่อ… เอกสารพวกนี้มันจำเป็นจริงๆ หรอคะคุณเอริกะ?”

ในขณะที่ทางด้านเอริกะและริวกำลังพูดทักทายกันอยู่นั้นเอง อาริสะที่ในบัดนี้มีเอกสารเต็มอ้อมแขนก็ได้พูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าเอกสารที่อีกฝ่ายเพิ่งจะส่งมาให้เธอนั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีหรือว่าข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์โบราณที่น่าจะจำเป็นต่อการไขความลับของห้องควบคุมเลยแม้แต่น้อย แต่ว่ากลับเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนที่หรือแผนผังเมืองแพนเทร่าในหลายยุคหลายสมัยเสียมากกว่า

“อ่ะ รู้จักถามแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะจ้ะ แต่ก่อนหน้านั้นฉันขอถามเธอก่อนก็แล้วกันว่าเธอมีอำนาจในการสั่งการหน่วยทหารของเธอมากขนาดไหนน่ะ?”

“เอ๋ะ? เอ่อ… อำนาจในการสั่งการงั้นหรอคะ? ก็ถ้าเกิดว่าดิฉันมีอะไรให้พวกเขาช่วยพวกเขาก็พร้อมจะทำนะคะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นสิครับท่านอาริสะ ที่คุณเอริกะถามเขาหมายถึงว่าหน่วยของพวกผมที่ขึ้นตรงกับท่านอาริสะมีความเป็นเอกเทศจากทางวังหลวงขนาดไหนน่ะครับ”

ริวที่เห็นว่าอาริสะเหมือนจะเข้าใจคำถามของเอริกะผิดไปเล็กน้อยได้รีบโน้มเข้าไปกระซิบพูดบอกเจ้านายของเขาขึ้นมาในทันที และนั่นก็ทำให้อาริสะต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่อาริสะจะได้พูดตอบอะไรเอริกะกลับไป ทางด้านนักประดิษฐ์สาวที่ดูเหมือนว่าจะหูดีผิดคาดก็ได้ชิงเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ก็ตามที่คุณริวเขาว่ามานั่นแหล่ะจ้ะ ว่าแต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันขอฟังคำตอบของคุณหัวหน้าหน่วยเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยสิ~”

“………”

คำถามของเอริกะได้ทำให้ริวนิ่งเงียบไปเล็กน้อยเพื่อมองสำรวจดูรอบๆ และเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในโถงทางเดินแห่งนี้นอกจากพวกเขาแล้วเขาก็ได้พูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ถึงพวกผมจะเป็นทหารของทางวังหลวงก็เถอะ แต่ว่าความภักดีของพวกผมเหลือเอาไว้เพื่อมอบให้กับท่านอาริสะตั้งแต่เมื่อวันที่ท่านอาริสะยอมสละตัวเองเพื่อให้พวกผมได้มีชีวิตต่อแล้วล่ะครับ”

“ด–เดี๋ยวสิคะคุณริว–! จู่ๆ ก็พูดอะไรออกมากันคะเนี่ย!!”

คำตอบที่ฟังดูหนักแน่นของริวผู้เป็นหัวหน้าหน่วยของอาริสะได้ทำให้เด็กสาวสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพยายามห้ามเขาด้วยท่าทีลนลาน

ซึ่งท่าทีของอาริสะนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะพูดถามริวขึ้นมาต่อในทันที

“หืม…? สละตัวเองงั้นหรอ… ก็ยังเห็นอยู่ดีแบบนี้นี่หมายถึงสละในแง่ไหนน่ะ? ลาภยศ? ชื่อเสียง? เงินทอง? หรือว่าความสามารถกันล่ะ?”

“เรื่องนั้น… ที่จริงแล้วพวกผมเคยเป็นหน่วยที่คอยรับใช้ท่านไมเคิลน่ะครับ แล้วเมื่อตอนที่ท่านไมเคิลถูกปลดออกจากตำแหน่งพวกผมที่เป็นลูกน้องก็คงจะมีจุดจบไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ถ้าเกิดว่าไม่ได้ท่านอาริสะช่วยไปเจรจา—”

“ว๊าๆๆๆๆๆๆ!! คุณริวพูดอะไรดิฉันไม่เห็นจะได้ยินเลยค่ะ! แล้วไม่ใช่ว่าคุณริวเองก็มีงานที่ฉันเพิ่งจะสั่งไปให้ทำหรอกหรอคะ! รีบๆ ไปทำงานได้แล้วค่ะ!”

ในขณะที่ริวกำลังเอ่ยปากพูดอธิบายออกมาให้เอริกะฟังอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ทางด้านอาริสะก็ได้ร้องโวยวายขึ้นมาเสียงดังก่อนที่เธอจะรีบเอ่ยปากพูดไล่ริวไปก่อนราวกับว่าเธอไม่อยากจะให้เอริกะได้ยินเรื่องที่เธอเคยทำลงไปอย่างไรอย่างนั้น

ซึ่งท่าทางการโวยวายราวกับเด็กๆ อย่างสมวัยของอาริสะที่โดยปกติแล้วมักจะแสดงออกอย่างสุขุมดูเป็นผู้ใหญ่นั้นก็ได้ทำให้ริวหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมา

“แหม่ ในเมื่อท่านอาริสะพูดแบบนั้นผมก็คงจะเล่าอะไรต่อไม่ได้แล้วล่ะครับ แต่เอาเป็นว่าถ้าเป็นคำสั่งของท่านอาริสะล่ะก็ต่อให้ทางวังหลวงจะสั่งห้ามแต่เดี๋ยวพวกผมก็จะหาทางทำให้มันเสร็จจนได้เองล่ะครับ”

“อย่างงั้นเองสินะคะ… ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าคุณริวรีบไปทำสิ่งที่อาริสะเพิ่งจะสั่งมาเมื่อกี้นี้ก่อนที่อาริสะเขาจะโกรธมากกว่านี้น่าจะดีกว่านะคะ~”

“ใช่แล้วค่ะ! รีบๆ ไปได้แล้วค่ะ!”

ในขณะที่ทางด้านเอริกะพยักหน้าให้กับคำตอบของริวและพูดหยอกเล่นกลับไปนั้น ทางด้านอาริสะเองก็ได้เอ่ยปากไล่ลูกน้องของเธอขึ้นมาอีกครั้งจนทำให้เขาแทบจะหลุดหัวเราะออกมาและเอ่ยปากขอตัวจากไป

“เข้าใจแล้วครับๆ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ”

หลังจากที่ริวพูดจนจบแล้วเขาก็ได้ค้อมหัวเล็กน้อยแล้วจึงเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง ในขณะที่ทางด้านอาริสะก็ได้พองแก้มของเธอและพูดบ่นออกมาเล็กน้อย

“ให้ตายสิ คุณริวนี่ก็นะ คิดจะพูดอะไรก็พูดออกมาเฉยไม่ถามอะไรกันก่อนสักคำ…”

“แต่ฉันว่าเขาเป็นลูกน้องที่ดีนะ…”

“เรื่องนั้นดิฉันก็คงจะเถียงอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”

อาริสะที่เมื่อสักครู่นี้ยังพูดบ่นลูกน้องของตนอยู่ได้แต่เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาให้กับคำพูดของเอริกะก่อนที่เธอจะพูดถามนักประดิษฐ์สาวขึ้นมา

“ว่าแต่ทำไมคุณเอริกะถึงถามคำถามเมื่อกี้นี้ขึ้นมาหรอคะ?”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่อยากจะรู้ว่าถ้าเกิดทางวังหลวงออกคำสั่งอะไรสักอย่างมาให้เขาที่มันขัดกับสิ่งที่เธอต้องการขึ้นมา ในเวลานั้นเขาจะเลือกที่จะตัดสินใจยังไงน่ะสิ”

“คุณเอริกะหมายถึงในอีกเร็ววันนี้หรือเปล่าคะ…?”

“….ก็นั่นสินะ”

เอริกะที่ได้ยินคำถามของอาริสะไม่ได้พูดตอบอะไรเด็กสาวกลับไปก่อนที่เธอจะพูดถามขุนนางสาวตัวน้อยขึ้นมาด้วยคำถามอื่นแทน

“ว่าแต่ทหารในหน่วยของเธอมีจำนวนกี่คน แล้วเธอสามารถเรียนใช้งานพวกเขาได้ทั้งหมดทันทีเลยหรือเปล่า?”

“เอาจริงๆ รวมทั้งหมดแล้วก็มีแค่หกคนเองน่ะค่ะ นอกจากคุณริวที่เป็นหัวหน้าหน่วยแล้วก็มีอีกสามคนที่ทำหน้าที่ทั่วๆ ไป กับพลสนับสนุนอีกหนึ่งคน แล้วก็พลซุ่มยิงที่เพิ่งจะได้รับบาดเจ็บจากภารกิจคราวก่อนและกำลังพักรักษาตัวอยู่ค่ะ”

“หรือก็คือพร้อมทำงานกันแค่ห้าคนเองงั้นสินะ… แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะเพราะหน้าที่ของเธอก็ทำงานอยู่แต่ในวังก็เลยไม่ต้องใช้คนคุ้มกันอะไรเยอะแยะอยู่แล้ว… ถ้าอย่างงั้นพวกทหารในหน่วยของเธอสามารถสั่งการทหารคนอื่นๆ ในเมืองได้หรือเปล่า?”

เอริกะที่ได้ยินคำตอบของอาริสะได้พูดพึมพำออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะถามคำถามใหม่ขึ้นมา ซึ่งถึงแม้ว่าอาริสะจะมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามของเอริกะในครั้งนี้แต่ว่าเธอก็ยังคงพูดตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไปแต่โดยดี

“ถ้าคุณเอริกะหมายความว่าพวกเขาสามารถยืมตัวพวกทหารยามในเมืองมาใช้งานได้หรือเปล่าล่ะก็ ถ้าเกิดว่ามีคำสั่งจากดิฉันพวกเขาก็จะสามารถทำได้ค่ะ แต่ว่าคงจะได้แค่คนละราวๆ ห้าสิบคนเพราะว่าพวกเขามียศราวๆ กัปตันน่ะค่ะ”

“คนละห้าสิบ… งั้นก็คงจะเรียกรวมพลได้แค่ราวๆ สองสามร้อยคนเองสิ แบบนี้จะพอหรือเปล่าเนี่ย…”

“ตั้งสองสามร้อยคนก็ยังไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่างั้นหรอคะ? นี่คุณเอริกะวางแผนจะทำอะไรอยู่กันคะเนี่ย?”

คำพูดพึมพำของเอริกะได้ทำให้อาริสะต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนที่เธอจะเงยหน้ากลับขึ้นมาและพูดถามอาริสะขึ้นมาตรงๆ

“อื้ม จะว่ายังไงดีล่ะ… ถ้าเกิดว่าฉันอยากจะให้เธอเตรียมการอพยพชาวเมืองที่อาศัยอยู่แถวๆ สวนสาธารณะกลางเมืองทั้งหมดออกจากพื้นที่ไปสักพักนึงเธอจะทำให้ฉันได้หรือเปล่าล่ะ?”

“อ–เอ๋ะ!? อพยพงั้นหรอคะ!? เรื่องนั้นต่อให้ดิฉันจะมีตำแหน่งเคาน์เตสก็ใช้อำนาจตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ!! อย่างน้อยๆ ถ้าจะทำจริงๆ ก็คงจะต้องไปขอคำอนุมัติจากขุนนางที่ประจำกระทรวงต่างๆ ให้ได้สักครึ่งนึงก่อนน่ะค่ะ”

“แล้วเธอจะสามารถทำให้ฉันได้หรือเปล่าล่ะ?”

เอริกะที่ได้ยินคำตอบของอาริสะได้พูดถามขึ้นมาตรงๆ ด้วยท่าทีจริงจังแตกต่างจากท่าทีปกติของเธอที่ดูเป็นคนขี้เล่น ซึ่งนั่นก็ทำให้อาริสะต้องชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไป

“ถ้าเกิดว่าคุณเอริกะต้องการจริงๆ ล่ะก็ดิฉันสามารถเรียกประชุมรัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆ มาให้ได้ค่ะ แต่ว่าดิฉันคงจะต้องอ้างชื่อของคุณเอริกะสักหน่อยแล้วคุณเอริกะก็ต้องเป็นคนเกลี้ยกล่อมพวกเขาเองนะคะ เพราะว่าพอดีว่าดิฉันไม่ค่อยจะถนัดเรื่องของการ… ‘เจรจา’ แบบนั้นสักเท่าไหร่…”

“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นฝากเธอเชิญตัวพวกเขามาทันทีที่สามารถทำได้เลยก็แล้วกันนะ”

“ค่ะ ถ้ายังไงดิฉันจะพยายามเชิญตัวพวกเขาให้ได้ภายในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะคะเพราะว่าเวลาป่านนี้คงจะไม่ทันแล้วล่ะค่ะ…”

“ที่โบสถ์หลังนี้ล่ะ!!”

ในขณะที่ทางด้านเอริกะกำลังจะเริ่มต้นดำเนินแผนการขั้นต่อไปในการตรวจสอบเรื่องปัญหาหมอกควันของแพนเทร่าที่ดูเหมือนว่าจะยุ่งยากและอันตรายกว่าที่คิดอยู่นั้นเอง ทางด้านสัปเหร่อมิคาเอลที่วิ่งนำหน้านากาและคอนแนลตรงไปยังโบถส์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะรีบวิ่งตรงเข้าไปหาบาทหลวงชราที่กำลังยืนกวาดลานกว้างอยู่ห่างออกไปไม่ไกลและหยิบเอาตราสีทองอันหนึ่งออกมายื่นให้อีกฝ่ายดูและพูดถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“หลวงพ่อครับ! เมื่อสักครู่นี้ซิสเตอร์โจน่ามาที่นี่หรือเปล่าครับ!?”

“โอ๋ะ…? โอ้…”

บาทหลวงชราที่เห็นตราสีทองของมิคาเอลนั้นได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยื่นหน้าเข้าไปมองดูมันใกล้ๆ แล้วจึงค่อยพูดตอบมิคาเอลกลับไป

“ถ้าหมายถึงซิสเตอร์ผมสีทองคนใหม่คนนั้นล่ะก็เพิ่งจะกลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเองน่ะ…”

“ถ้าเกิดว่าเพิ่งจะออกไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็คงจะยังไปไหนได้ไม่ไกลหรอกครับ นากาลองขึ้นไปดูข้างบนหน่อยให้สิครับ”

คำตอบของบาทหลวงชราได้ทำให้คอนแนลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดสั่งนากาขึ้นมา และนั่นก็ทำให้นากาไม่รอช้าที่จะยิงใบมีดติดโซ่ของเขาขึ้นไปปักอยู่กลางอากาศและดึงตัวเองขึ้นไปบนหลังคาบ้านแถวนั้นอย่างรวดเร็ว

ปึ๊ก— วี๊—ครืกๆๆๆๆ

“ซิสเตอร์ผู้หญิงผมสีทองงั้นสินะ…. อ่ะ—”

ในขณะที่นากาที่พุ่งตัวขึ้นไปสอดส่องอยู่บนหลังคาบ้านโดยระวังตัวไม่ให้โดนลมพัดจนปลิวตกลงมาเป็นครั้งที่สองกำลังสอดส่ายสายตาไปมาเพื่อมองหาซิสเตอร์สาวผมสีทองที่มาจากโบสถ์เดียวกับมิคาเอลอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเขาได้พบกับเงาของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลในชุดผ้าคลุมสีดำเข้าให้แทน และนั่นก็ทำให้เขาไม่รอช้าที่จะร้องบอกคอนแนลในทันที

“ตรงนั้น!! เวก้าเขาอยู่ตรงนั้น!!”

“เอ๋ะ— คุณเวก้างั้นหรอครับ!?”

“เวก้าที่พวกเธอพูดถึงนั่นหมายถึงผู้ชายผมสีน้ำตาลคนนั้นหรือเปล่า!? ถ้าเกิดว่าเขาอยู่แถวนั้นล่ะก็โจน่าก็น่าจะอยู่ใกล้ๆ กันด้วยนั่นล่ะ เธอลงมาเองได้หรือเปล่านากา!?”

ในขณะที่ทางด้านคอนแนลกำลังชะงักไปด้วยความคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเจอตัวเวก้าที่ทีเอร่าใช้เวลาตามหาตัวนานนับเดือนก็ยังไม่เจอได้อย่างง่ายดายอยู่นั้นเอง ทางด้านมิคาเอลที่เห็นว่านากาขึ้นไปอยู่บนหลังคาเล่นแล้วอีกครั้งหนึ่งก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงจนทำให้นากาต้องรีบพูดตอบกลับไปก่อนที่เวก้าจะได้รู้ตัวว่าถูกเจอตัวแล้วจนรีบหนีไปอีกครั้ง

“ผมลงเองได้ครับ! เขาอยู่ข้างบนตึกฝั่งนั้นห่างไปสักสองสามหลัง— อ่ะ หมอนั่นกระโดดลงไปข้างล่างแล้ว ทั้งสองคนรีบไปก่อนเลยเร็วเข้า!”

“ถ้างั้นพวกเรารีบไปกันเถอะคอนแนล!”

“ครับ!!”

คอนแนลพูดตอบรับคำของมิคาเอลกลับไปก่อนที่สองหนุ่มต่างวัยจะรีบวิ่งตรงไปทางที่นากาชี้ไปเมื่อสักครู่กันอย่างรวดเร็ว

แต่ทว่าเมื่อพวกเขาวิ่งไปจนถึงตรอกข้างๆ อาคารหลังที่น่าจะเป็นอาคารที่นากาพูดถึงแล้วนั้นเองพวกเขาก็ต้องชะงักฝีเท้าลงเมื่ออยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของชายคนหนึ่งดังลั่นออกมาจากซอยเบื้องหน้าก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของเสียงจะวิ่งสวนออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“ว๊ากกกกก—!?”

“ฉันจะเข้าไปละนะคอนแนล!”

“อ่ะ–เดี๋ยว— ข–เข้าใจแล้วครับ!”

มิคาเอลที่เห็นว่ามีชายคนหนึ่งรีบวิ่งหนีออกมาจากตรอกมืดข้างอาคารนั้นได้รีบพูดบอกคอนแนลขึ้นมาก่อนที่เขาจะวิ่งสวนชายหนุ่มคนนั้นหายเข้าไปข้างในตรอกเล็กๆ นั่นในทันที

ซึ่งถึงแม้ว่าคอนแนลจะอยากที่จะหยุดเพื่อสอบถามชายหนุ่มคนนั้นเสียก่อน แต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้มิคาเอลที่ค่อนข้างมีอายุแล้วเข้าไปเผชิญอันตรายคนเดียวได้เขาจึงได้แต่ต้องรีบวิ่งตามเข้าไป

และนั่นก็ทำให้คอนแนลได้พบเข้ากับมิคาเอลที่ยืนนิ่งอยู่ที่เบื้องหน้า ในขณะที่ถัดออกไปไม่ไกลนั้นก็คือร่างของเวก้า อดีตขุนนางหนุ่มจากเมืองรีมินัสที่ในบัดนี้กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าโจน่า ซิสเตอร์สาวผมสีทองที่กำลังทรุดนั่งอยู่กับพื้นและกำลังเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจ้องมองอดึตขุนนางหนุ่มที่ถือมีดเอาไว้ในมือและกำลังยืนค้ำหัวเธออยู่

“…เป็นเธอจริงๆ ด้วย”

และในขณะที่ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบนั้นเอง เวก้าที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้สึกตัวว่ามีผู้มาเยือนอยู่ที่ด้านหลังของเขาก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะก้าวเดินเข้าไปหาโจน่าอย่างช้าๆ จนทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นต้องรีบหยิบเอาโล่อัศวินที่เขาสะพายเอาไว้ที่ด้านหลังออกมาและใช้มันเพื่อพุ่งเข้าไปกระแทกใส่เวก้าในทันที

“คุณเวก้า!!”

“—!?”

ปึ๊ก!!

ถึงแม้ว่าเวก้าจะรู้ตัวได้ทันว่าตัวเองกำลังจะถูกลอบโจมตีและดูเหมือนว่าจะกำลังสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างง่ายๆ นั้นเองเขาก็กลับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูคุ้นหูเข้าจนทำให้ร่างของเขาถูกโล่อัศวินของคอนแนลกระแทกเข้าใส่จังๆ จนกระเด็นออกไป

ซึ่งเวก้าที่กระเด็นออกไปนั้นก็สามารถตั้งหลักไม่ให้ตนเองล้มกลิ้งลงไปได้อย่างดายก่อนที่เขาจะหันไปมองเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของการโจมตีเมื่อสักครู่และพูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความแปลกใจ

“…คอนแนลคุง”

“คุณเวก้า…”

“ไม่เป็นอะไรใช่หรือเปล่าโจน่า!?”

ในขณะที่เด็กหนุ่มอัศวินและอดีตเจ้านายที่เขาเคยรับใช้กำลังจ้องมองกันอย่างเงียบๆ อยู่นั้นเอง ทางด้านมิคาเอลก็ได้รีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างของซิสเตอร์สาวผมสีทองขึ้นมาและพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงจนทำให้โจน่าต้องรีบพูดตอบกลับไป

“ค..ค่ะ… แค่เจ็บจากที่โดนผลักล้มนิดหน่อยแต่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนหรอกค่ะ…”

“……….”

คำพูดตอบกลับและท่าทางสนิทสนมของโจน่าที่มีต่อมิคาเอลนั้นได้ทำให้คิ้วของเวก้าขมวดแน่นก่อนที่เขาจะหันไปมองทางด้านคอนแนล เด็กหนุ่มอัศวินฝึกหัดที่ในอดีตที่ผ่านมาเขาเป็นคนเลือกอีกฝ่ายมาเองกับมือและก้มลงไปหยิบมีดสั้นที่ปลิวหลุดจากมือไปเมื่อสักครู่กลับขึ้นมาแล้วจึงเอ่ยปากพูดบอกคอนแนลขึ้นมาเบาๆ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมต้องเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง… ได้โปรดถอยไปเถอะครับคอนแนล”

“……….”

คำพูดเบาๆ ของเวก้าที่เป็นอดีตเจ้านายที่ดูเหมือนว่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่ซิสเตอร์โจน่าได้ทำให้คอนแนลนิ่งเงียบไปด้วยความลังเลก่อนที่เขาจะหลับตาลงเล็กน้อยแล้วจึงลืมตากลับขึ้นมาจ้องมองเวก้าด้วยแววตามุ่งมั่น

“ในฐานะอัศวินคนสุดท้ายของตระกูลรีวิซผมคงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ! ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณทำลายชื่อเสียงของตัวเองไปมากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว!!”