ตอนที่ 163 การหย่าร้างของแม่ต้าเป่า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 163 การหย่าร้างของแม่ต้าเป่า

เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่พากันออกไปแล้ว เจ้าของร้านคนอื่น ๆ ก็เข้ามาที่ร้านของหลินม่าย

พอพวกเขาเห็นว่าเธอมีใบอนุญาตอยู่แล้ว ทุกคนก็พากันอิจฉา

ทันทีที่พวกเจ้าหน้าที่จากกรมอุตสาหกรรมและการค้าจากไป เหล่าเจ้าของร้านก็มารวมกันอยู่ที่ร้านของหลินม่ายเพื่อถามว่าเธอขอใบอนุญาตมาได้อย่างไร

หลินม่ายอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ให้พวกเขา แนะนำให้ทุกคนไปที่ขอใบอนุญาตกับผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรม ฯ ของพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง

ส่วนเรื่องที่ว่า ผอ. จะยอมออกให้พวกเขาหรือไม่ก็อาจจะต้องลองดูกันเอาเอง

เหล่าเจ้าของร้านต่างยอมรับในตัวเธอที่ยังช่วยบอกวิธีต่าง ๆ ให้ทั้งที่พวกเขานับว่าเป็นคู่แข่งทางการค้าของกันและกัน

หลังจากที่เจ้าของร้านเหล่านั้นจากไป หลี่หมิงเฉิงก็บ่นกับหลินม่ายว่า “ทำไมต้องสอนพวกนั้นขอใบอนุญาตด้วย ถ้าไม่มีใบอนุญาตพวกเขาก็คงเปิดร้านต่อไม่ได้ เราก็จะได้ลดคู่แข่ง เธอไม่รู้เหรอว่าร้านของเราขายดีที่สุดในย่านนี้ พวกนั้นอิจฉาเราขนาดไหน”

หลินม่ายไม่ได้จริงจังอะไรนักกับเรื่องพวกนี้ “ก็ปกติแหละที่ทำงานแบบเดียวกันก็จะมีอิจฉากันบ้าง ถ้าเห็นร้านคนอื่นขายดีกว่า ฉันก็อิจฉาเหมือนกัน อิจฉาได้ตราบใดที่ไม่ทำอะไรเพื่อขัดขากัน แล้วอีกอย่าง ต่อให้ฉันไม่บอก นายคิดว่าพวกเขาจะไปหาวิธีเองไม่ได้หรือไง เรื่องแบบนี้จะไปถามใครก็ได้ ฉันก็แค่สร้างไมตรีเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้นเอง บางทีมันก็เป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

แม้เขาจะไม่ได้เห็นด้วยกับเธอ แต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง จึงทำได้แค่ฟังแล้วยอมรับตามนั้นไปอย่างเงียบ ๆ

ถึงการออกใบอนุญาตจะไม่ใช่เรื่อง่าย แต่เงินก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นได้เอง

เหล่าเจ้าของร้านต่างทำตามคำแนะนำของหลินม่ายและเพิ่มเงินเข้าไปอีกทางหนึ่ง ภายในไม่กี่วันพวกเขาก็ได้ใบอนุญาตมาครอบครอง ถนนที่เงียบเหงาไปสองวันก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง

กรมอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เข้ามาตรวจสอบที่นี่เพราะมีคนไปร้องเรียน

เหล่าเจ้าของร้านต่างวิเคราะห์กันอยู่ว่าคงมีใครซักคนอยากจะหาเรื่องแทงข้างหลังพวกเขา หลายคนคิดว่าเป็นป้าหู

ตอนนี้ยอดขายร้านป้าหูค่อนข้างแย่ แถมยังมีปัญหากับคนอื่นไปทั่ว อาจจะเป็นไปได้ที่หล่อนจะใช้วิธีนี้เป็นตัวช่วย

ถึงแม้จะเป็นการทำให้ตัวเองเดือดร้อนตามไปด้วย หรือถึงขั้นต้องปิดร้านจริง ๆ หล่อนก็จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะทุกวันนี้ก็ขาดทุนจะแย่อยู่แล้ว

เจ้าของร้านหลายคนเลยแค้นเคืองหล่อน และเชื่ออย่างสุดใจว่าเป็นฝีมือของป้าหู

ป้าหูโกรธมาก เพราะตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะอธิบายยังไงก็ไม่มีใครเชื่อเลย

ซึ่งอันที่จริงแล้วคนร้ายตัวจริงคือหวังหรง

เพราะคุณหมอฟางไม่ยอมให้ความช่วยเหลือพี่ชายของหล่อนกับเพื่อนของเขา ทำให้พวกเขาหนีคดีไปไม่พ้น

หวังเฉียงถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ส่วนเพื่อน ๆ ถูกตัดสินจำคุก 3 เดือน

หวังเฉียงได้รับโทษเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหนึ่งกระทง

ความจริงแล้วในคดีนี้ปกติมักจะถูกตัดสินจำคุกเพียง 1 ปี

พ่อแม่ของเขาไม่เข้าใจว่าทำถึงได้เป็นแบบนี้ จึงขอให้เจ้าหน้าที่อธิบายเหตุผล คำตอบของศาลคือ เป็นเพราะญาติของจำเลยพยายามที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทำให้ถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีก

พ่อแม่ของเขาร้องไห้อย่างหนัก พวกเขาโทษว่าหวังหรงเป็นคนทำให้พี่ชายต้องเดือดร้อน

หวังหรงสาปส่งหลินม่ายด้วยความเกลียดชัง

ในยุคนี้ถ้าคุณเคยถูกตัดสินจำคุก ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือใหญ่อย่างไรก็หมดอนาคตแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อพ่อแม่เพื่อนทั้งสองของหวังเฉียงเห็นว่าลูกของตัวเองได้รับความเดือดร้อนเพราะหวังเฉียง พวกเขาก็มาเอาเรื่อง เพราะไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

ครอบครัวหวังถูกบีบบังคับอย่างไร้ทางเลือกให้ควักเงินออมทั้งหมดไปชดใช้ให้ครอบครัวของเพื่อนหวังเฉียง พวกเขาถึงยอมไม่เอาเรื่อง

แบบนั้นยิ่งทำให้หวังหรงโกรธมากขึ้นไปอีก

ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของหลินม่ายที่มีต่อฟางจั๋วหราน เธอก็คงไม่ต้องให้พี่ชายมาจัดการจนเรื่องลงเอยแบบนี้

หลินม่ายนั่นแหละที่เป็นคนทำให้ครอบครัวของหล่อนต้องอยู่ในสภาพนี้ จะให้ยอมได้อย่างไร

ถ้าจะเล่นงานหลินม่ายโดยตรงร้านเดียวก็กลัวว่าทั้งหลินม่ายและฟางจั๋วหรานจะมองแผนการของตัวเองออกแล้วมาเอาคืนอีก เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยร้องเรียนทุกร้านในย่านนั้นเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกสงสัยได้

หล่อนเข้าใจว่าหลินม่ายคงจะเปิดร้านโดยไม่มีใบอนุญาต แค่ไปร้องเรียนร้านอาหารนั่นก็คงต้องปิดทำการไป

แต่กลับไม่ได้คาดว่าอีกฝ่ายจะมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องอยู่ร้านเดียวในย่านนี้ นั่นทำให้หล่อนโมโหแทบตาย

โต้วโต้วอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ และหมอก็ให้กลับบ้านได้หลังจากอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาครึ่งเดือน

ทันทีที่ลูกออกจากโรงพยาบาล หลินม่ายก็ไปที่หมู่บ้านซานหยางเพื่อดูเรื่องการเช่าตึกแถว

เนื่องจากแต่ละห้องเป็นสัญญาเช่าคนละฉบับกันทำให้ราคาค่าเช่าต่อห้องค่อนข้างถูก ใคร ๆ ก็สามารถจ่ายได้ ผู้นำหมู่บ้านเลยหาคนมาเช่าได้ครบทุกห้องแล้ว

หลินม่ายจ่ายค่านายหน้าให้เขาตามที่ตกลงกันไว้และไปที่ตึกเพื่อเช็คความเรียบร้อยรอบ ๆ อีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าผู้เช่าอยู่กันอย่างเรียบร้อย แม้ว่าส่วนกลางจะถูกแยกส่วนในการใช้งาน แต่เมื่อเห็นว่ายังรักษาความสะอาดอย่างดีเธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อผ่านหน้าบ้านของต้าเป่า หลินม่ายก็ได้ยินเสียงร้องไห้แสนเศร้าจากแม่ของต้าเป่าที่อยู่ด้านใน แถมยังมีชาวบ้านมารวมตัวกันที่บ้านของหล่อนราวกับกำลังรอดูอะไรน่าสนใจ

หลินม่ายเป็นห่วงโต้วโต้ว กังวลว่าลูกสาวจะรู้สึกไม่ดีถ้าเห็นว่าแม่หายไปนาน เธอจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้วรีบออกจากหมู่บ้านเพื่อกลับไปหาลูก

แต่หงเซียงลูกสะใภ้ของป้ากู่เห็นเธอเข้าเสียก่อน อีกฝ่ายรีบตรงเข้ามาเพื่อทักทายเธอด้วยท่าทางตื่นเต้น “ม่ายจื่อ กลับมาแถวนี้เหรอ”

หลินม่ายยิ้มแล้วฮัมเพลงขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

หงเซียงรีบคว้าตัวเธอไว้และเริ่มถามไถ่ถามเรื่องการงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง

หลินม่ายพยักหน้าตอบ “ราบรื่นดี”

หลินม่ายมองไปทางบ้านของต้าเป่าแล้วหันไปถามอย่างเป็นกันเอง “ทำไมแม่ต้าเป่าถึงดูเศร้าขนาดนั้น?”

หงเซียงกลับหัวเราะเยาะขึ้นมา “ก็เพราะว่าโดนขอหย่าน่ะสิ จะไม่ให้ร้องไห้ยังไงไหว”

หลินม่ายตกตะลึงไปชั่วครู่ “เขาไม่ได้อยู่ในโอวาทของหล่อนหรอกเหรอ ทำไมถึงกล้าหย่าได้”

“ขนาดกระต่ายน่ารักเวลาโกรธยังกัดเจ็บเลย ไม่ต้องพูดถึงผู้ชายท่าทางเรียบร้อยแบบนั้น”

หงเซียงเล่าต่อ “ก็ใครใช้ให้หล่อนเอ็นดูพฤติกรรมเด็กเหลือขอนั่นเองล่ะ หล่อนพาลูกไปที่ห้างด้วยกัน เด็กนั่นเล่นเอาน้ำในกาต้มน้ำเทราดทีวีไปตั้งสองเครื่อง พนักงานขายคงจะเอ็นดูด้วยอยู่หรอกมั้ง พอเป็นแบบนั้นก็เลยโดนให้จ่ายค่าเสียหาย ไม่งั้นจะโดนจับส่งตำรวจข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ แม่ต้าเป่าก็ยังพอมีเหตุผลอยู่บ้างถึงจะชอบทะเลาะกับคนในหมู่บ้าน แต่ก็ไปทำตัวหน้าใหญ่กับพนักงานที่นั่นไว้ เลยกลับบ้านไปหาพ่อต้าเป่ามาขอเงินไปจ่าย ทีวีสองเครื่องราคาแปดเก้าร้อยหยวน จะไปหาจากที่ไหนได้ เขาโกรธมากจนถึงขั้นต่อว่าว่าเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นเด็กแบบนี้ แต่แม่ต้าเป่าแทนที่จะสำนึก ดันไปเถียงเขาอีกต่างหากทะเลาะกันสองคนไม่พอ ยังไปเรียกกันมาทั้งบ้านมาช่วยรุมทำร้ายสามีจนหน้าช้ำ โดนไปขนาดนั้นถ้าไม่ขอหย่าก็คงบ้าเต็มที”

หงเซียงพูดต่ออย่างสะใจ “เมื่อก่อนฉันต้องคอยคิดอยู่ตลอดว่าจะต้องรับมือกับเด็กบ้านั่นยังไง ตอนนี้มาลงเอยแบบนี้ก็สมควรแล้ว เหอะ”

หลินม่ายเองก็ยังคิดว่าแม่ต้าเป่าสมควรถูกตำหนิแล้ว ถึงแม้ว่าเสียงร้องไห้นั้นจะน่าสงสารแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

ตอนแรกหลินม่ายวางแผนจะเอาผลผลิตจากชาวบ้านออกไปขาย ตั้งแต่โต้วโต้วออกจากโรงพยาบาล

แต่เด็กน้อยยังดูหวาดกลัว รู้สึกไม่ปลอดภัย ในช่วงนี้ลูกสาวจึงติดเธอเป็นพิเศษ

ตั้งแต่กลับมาที่บ้าน ถ้าลูกไม่ได้เห็นเธอนานกว่าครึ่งชั่วโมงเด็กน้อยจะเริ่มอารมณ์ไม่คงที่

เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย หลินม่ายเลยไม่อยากจะห่างจากเจ้าตัวเล็กไปไหน แต่ในใจก็กังวลเรื่องเส้นตายสามเดือนที่ใกล้เข้ามาทุกวัน

แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะคอยให้ความช่วยเหลือเธอ ถ้าเธอไม่สามารถจ่ายหนึ่งหมื่นหยวนได้ในสามเดือนได้ เขาจะให้เธอยืมเงินไปซื้อบ้านตรงข้ามเพื่อไม่ให้เงินสามพันหยวนที่เจอจ่ายไปต้องสูญเปล่า

แต่หญิงสาวก็อยากให้ทางเลือกนั้นเป็นทางเลือกสุดท้าย เธอไม่ต้องการจะรบกวนเขา

ในคืนนั้นมีชายหนุ่มสองสามคนสวมเสื้อลายดอกกับกางเกงยีนส์ มีผมหยิก และสวมแว่นดำเข้ามาที่ร้าน พวกเขาสั่งเซาเข่าและเบียร์มาหลายชุด

ชายกลุ่มนั้นกินอาหารและพูดคุยกันด้วยเสียงที่ไม่จัดว่าเบา

แม้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะแต่งตัวดูมีสไตล์ แต่โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้อยากจะสนใจนัก

เจียงเฉิงก็นับเป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะได้เห็นหนุ่มสาวที่แต่งตัวตามแฟชั่นเดินอยู่ตามที่ต่าง ๆ

สำเนียงปักกิ่งและเรื่องราวที่พวกเขาคุยกันช่างน่าตื่นเต้น ทำให้คนอื่น ๆ ในร้านลอบมองไปที่โต๊ะนั้นอยู่บ่อย ๆ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เออดี กรรมตามสนองทุกคนโดยที่หลินม่ายไม่ต้องทำอะไรเลย แพ้ภัยตัวเองกันทั้งนั้น นังหรงตัวดีนี่ทำไปขนาดนั้นแล้วยังจะหวังให้พี่หมอมารักอีกเหรอ เขาไม่ด่าหล่อนกลางสี่แยกก็ถือว่าบุญแล้ว

ลูกค้าก๊วนนี้มาจากไหนกันนะ น่าสนใจจัง

ไหหม่า(海馬)