ตอนที่ 185 ตั้งชื่อไม่เก่ง

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 185 ตั้งชื่อไม่เก่ง

หลังกินข้าวเสร็จพักผ่อนประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นคนตระกูลตี้มีอะไรก็แยกย้ายกันไปทำ

ถึงแม้จะมีแขกอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มองพวกมู่เถาเยาเป็นแขก เห็นเป็นคนในครอบครัว

ปู่กับย่าควงกันออกไปเดินเล่นตามความเคยชิน

ราชาตี้คุยกับอาจารย์อาเล็ก เช้าวันนี้ยังอารมณ์ค้างอยู่

คุณนายอวิ๋นเหอกับอวิ๋นไป๋น้องชายคนเล็กกำลังคุยเรื่องทางพ่อแม่ที่อยู่เจียงตู ลูกฝาแฝดชายหญิงของอวิ๋นเซียวน้องชายคนโตของเธอใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

ในฐานะที่เป็นป้า คุณนายอวิ๋นเหอย่อมเป็นห่วงสุขภาพกายและสุขภาพใจของหลานๆ ทั้งสอง

ตี้อู๋เว่ยกำลังโทรศัพท์ คุยกับเย่ว์จือเหิง

กู้เนี่ยนพาเจียงเฟิงเหมียนกับเหลียงจีไปเดินชมวังตระกูลตี้

ครอบครัวตี้ฮ่าวเทียนสามคนกลับบ้าน พวกเขาไม่ได้พักอยู่ในวังตระกูลตี้

มู่เถาเยาอุ้มเจ้าถุงลมน้อยไกวชิงช้าเล่น

ตี้อู๋เปียนนั่งอยู่บนม้านั่งยาวด้านข้าง มองพวกเขาอยู่

“ซาลาเปาน้อย เธอเล่าเรื่องหมอลู่ให้อาจารย์อาเล็กฟังหรือยัง”

“ยังเลย คนที่ไปทางตะวันตกยังไม่ได้ข้อมูลที่แน่ชัด”

ถึงแม้สัญชาตญาณเธอจะบอกว่าอาจารย์อาเล็กเป็นพี่น้องกับอาจารย์ แต่ก็ต้องมีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นอาจารย์อาเล็กไม่มีทางเชื่อ อย่างไรเสียก็ผ่านไปสี่สิบปีแล้ว

“ผ่านมานานเกิน หาหลักฐานยาก หมู่บ้านที่หมอลู่อยู่…ยากจนเกินไป เจ็บป่วยทีได้แต่ทน คนที่อายุยืนก็เลยมีน้อย”

“อืม”

ตอนอาจารย์เธอยังไม่มา หมอลู่คนก่อนพอออกไปได้ก็ไม่เคยกลับไปสักครั้ง จะต้องเป็นเพราะความสัมพันธ์วัยเด็กแน่นอน

หลังจากอาจารย์ของเธอมา ต้องเที่ยวตามหาพี่ชาย ว่างกลับไปดูบ้านเกิดที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ไม่ได้อยากเจอหน้า

“ซาลาเปาน้อย หมอลู่ยังไม่ได้เปลี่ยนทิศทาง”

“ไม่เป็นไร ฉันรอได้”

ผ่านมาสี่สิบปีแล้ว อาจารย์อาเล็กคงไม่คาดหวังอะไรอีกแน่นอน

ส่วนอาจารย์เธอน่ะเหรอ ผ่านมาแล้วหนึ่งชาติ รีบแค่ไหนเวลาแค่นี้ก็ยังรอได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเข้าเขตป่าชั้นในไปเก็บสมุนไพร

ไม่มีทางเป็นเหมือนเธอ ในนั้นยังมีเบาะแสเกี่ยวกับอาจารย์อาเล็กหรือเปล่า

บนโลกนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าป่าเซียนโหยวเป็นสถานที่ที่ไปแล้วไม่ได้กลับ

พวกโจรต่อให้อยากซ่อนตัวก็ไม่มีทางเข้าเขตป่าชั้นในของป่าเซียนโหยวไปตาย

“ซาลาเปาน้อย พี่รองกับพี่สาวของฉันบอกว่า ทักษะขี่ม้าของเธอไม่มีใครสู้ได้”

“ไม่กล้าพูดว่าไม่มีใครสู้ได้ ยังไงซะเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า” อาจารย์เธอขี่ม้าไม่ด้อยไปกว่าเธอ

เพราะตอนเธอออกศึก อาจารย์ก็เหมือนองครักษ์คู่กายเธอ ปกป้องเธอด้วยชีวิต

“ซาลาเปาน้อย เธออายุแค่เท่านี้ ทำไมทำอะไรเป็นตั้งเยอะแยะ”

“ตอนเด็กขี้สงสัยไปหมดทุกอย่าง”

ตอนเพิ่งมาถึงเธอสงสัยโลกนี้เป็นพิเศษ ก็เลยอยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง

“ซาลาเปาน้อย ถ้าฉันหายดีแล้วจะเก่งแบบเธอได้ไหม”

“ไม่ได้”

เธอไม่มีทางปล่อยให้ตี้อู๋เปียนเก่งกว่าเธอ! เพราะเธอใช้ชีวิตมาสองชาติแล้ว!

ถ้าตี้อู๋เปียนที่หายป่วยเก่งเหนือเธอ แบบนั้นเธอก็ขายหน้าแย่สิ!

ดังนั้นเธอต้องพยายามให้มากขึ้น!

มู่เถาเยาปักธงในใจ พร้อมสาบานว่าไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองถูกตบหน้า

ตี้อู๋เปียนถึงกับจุก

“ซาลาเปาน้อย เธอคิดว่าฉันสู้เธอไม่ได้แน่ๆ เหรอ”

“อืม ฉันไม่มีทางปล่อยให้คุณเก่งกว่าฉัน”

“…อายุเท่านี้ปากร้ายจังนะ”

ตี้อู๋เปียนไม่รู้ว่าตัวเองควรดีใจหรือเสียใจดี

เขาเองก็ยังขัดแย้งในใจ

ใจหนึ่งก็อยากเก่งกว่าซาลาเปาน้อย คนตระกูลเย่ว์จะได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขา ใจหนึ่งก็อยากให้ซาลาเปาน้อยเก่งที่สุดในโลก รวมถึงเขาด้วย

มู่เถาเยาก้มมองเจ้าถุงลมน้อยที่นั่งตักอยู่ “อันเหยี่ย พี่สาวเก่งหรือว่าอาเล็กเก่งจ๊ะ”

เจ้าถุงลมน้อยตอบเสียงดัง “พี่สาวเก่งที่สุดฮะ! อาเล็กโง้โง่!”

ตี้อู๋เปียน “…” เจ้าเปี๊ยกนี่ใช่หลานแท้ๆ หรือเปล่า

มู่เถาเยาเลิกคิ้วใส่ตี้อู๋เปียน

ดูสิ ขนาดเด็กยังรู้เลยว่าใครเก่งที่สุด!

“เอ๊ะ ตี้อู๋เปียน ดูเหมือนช่วงสองวันนี้ฉันจะไม่เห็นดอกฉยงฮวาเลยนะ”

“อยู่หมู่บ้านเถาหยวน”

“ทำไมทิ้งมันไว้ที่หมู่บ้านเถาหยวนล่ะ ก่อนกลับมาก็กะไว้ว่าจะกลับไปอีกเหรอ”

“อืม” ต้องกลับไปอยู่แล้ว

ข้อแรกเป็นเพราะยังต้องให้ดอกฉยงฮวาจับตาดูหมอลู่ ข้อสองเป็นเพราะแม่ของเธออยู่ที่นั่น

เขาต้องสร้างความประทับใจให้คนตระกูลเย่ว์ให้มากที่สุด!

ก็พอดี สุดสัปดาห์หน้าเธอจะกลับไปพอดี

“ซาลาเปาน้อย ได้ยินว่าโรงเลี้ยงม้าของเธออยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวงเหรอ ใช่ ‘เกาซานฟาร์มหรือเปล่า’”

“อืม”

โรงเลี้ยงม้าของเธอถูกเรียกว่า ‘เกาซานฟาร์ม’ มาตลอด

อืม ขี้เกียจตั้งชื่อ

พูดให้ถูกคือ เธอเป็นพวกตั้งชื่อไม่ได้เรื่อง!

ม้าศึก ‘จี๋เฟิง’ เมื่อชาติก่อนก็น้าเล็กให้เธอมา น้าเล็กตั้งชื่อให้

“งั้นปกติเธอไปหาเสี่ยวเหยี่ยบ่อยแค่ไหน”

พอเรียกเสี่ยวเหยี่ย รู้สึกเหมือนเรียกชื่อผู้ชายคนอื่น

ตี้อู๋เปียนไม่ค่อยสบอารมณ์

“ดูสถานการณ์ เมื่อก่อนนั่งเครื่องบินไม่สะดวก”

เริ่มนับตั้งแต่ไปสนามบิน จนเครื่องบินลง ต่อรถไปจุดหมายปลายทางอีก ใช้เวลาหลายชั่วโมง หยุดแค่สองวันต้องเร่งรีบเกินไป

ตอนนี้มีเครื่องบินเองแล้ว อีกหน่อยไปบ่อยได้

ประเด็นคือไม่ใช่แค่มีเครื่องบิน แต่เป็นความพิเศษของเครื่องบิน

ซื้อเครื่องบินน่ะง่าย เธออยากได้กี่ลำก็ซื้อไหว แต่ใช่ว่าซื้อมาแล้วอยากบินก็บินได้ มันมีกฎจราจรทางอากาศควบคุมอยู่

“ซาลาเปาน้อย พี่สาวฉันบอกว่าเธอดูแลเสี่ยวเหยี่ยดีมาก มันก็ติดเธอมากอย่างนั้นเหรอ”

“ฉันเป็นคนทำคลอดมัน มันเหมือนลูกของฉัน”

อายุสภาพจิตใจเธอคือสามสิบหกปี เสี่ยวเหยี่ยเป็นลูกเธอได้ไม่แปลก

ตี้อู๋เปียน “…”

ลูก!

เพิ่งสิบแปดก็อยากเป็นแม่แล้วเหรอ

ซาลาเปาน้อยกำลังสื่อความนัยอะไรถึงเขาหรือเปล่า

งั้นรอเขาสุขภาพดีขึ้นหน่อยก็จะสู่ขอเธอมีลูกกันได้แล้วไหม

ตี้อู๋เปียนหน้าแดงหัวใจเต้นเร็ว

“เธอยังเด็ก…”

“ยังเด็กอะไร ตี้อู๋เปียน คุณหนาวเหรอ” ไม่อย่างนั้นทำไมเสียงแหบล่ะ

“…”

“ตี้อู๋เปียน คุณกลับห้องเถอะ”

“…ซาลาเปาน้อย ฉันสบายดี” หน้าร้อนจะมาหนาวอะไรล่ะ!

ตี้อู๋เปียนแอบไม่สบอารมณ์

อาการหน้าแดงหัวใจเต้นเร็วเมื่อครู่อาจเป็นแค่ความรู้สึกลวง

เจ้าถุงลมน้อย “อาเล็กดื้อ” พี่สาวบอกให้กลับห้องไม่ยอมกลับ

เขาเป็นเด็กดี พี่สาวบอกให้ทำอะไรก็ทำ!

พี่สาวเลยชอบเขามากที่สุด!

ตี้อู๋เปียนรู้สึกว่าหลานชายเกะกะสายตาขึ้นมาทันที

“ตี้อันเหยี่ย ช่วยไปหยิบน้ำในห้องรับแขกมาสองขวดหน่อยสิ”

ตี้อู๋เปียนสั่งเด็กสามขวบแบบไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด แต่มู่เถาเยาไม่พอใจ

“ตี้อู๋เปียน เย็นป่านนี้คุณให้อันเหยี่ยเดินกลับห้องรับแขกที่ใช้เวลาสิบกว่านาทีคนเดียว หยิบน้ำแล้วเดินอีกสิบกว่านาทีกลับมา คุณว่ามันเหมาะสมเหรอ”

“…ซาลาเปาน้อย ในบ้านปลอดภัยมาก เขาเองก็ทำได้”

ไม่ใช่งานหนักเสียหน่อย ซาลาเปาน้อยจะเดือดร้อนทำไม

“คุณอยากดื่มน้ำก็กลับไปเอาเองสิ” มู่เถาเยาอุ้มเจ้าถุงลมน้อยลงจากชิงช้า

ตี้อู๋เปียน “…”

เขาไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ!

เขาแค่อยากไล่เจ้ากขคออกไปต่างหาก!

ทำไมผลลัพธ์กลายเป็นแบบนี้ล่ะ

“ซาลาเปาน้อย…”

“กลับเถอะ”

“…แต่ฉันยังมีเรื่องอยากคุยกับเธอ”

มู่เถาเยาเอียงหน้าเล็กน้อย ตาโตสุกใสกะพริบตาปริบๆ “กลับไปคุยไม่ได้เหรอ คนบ้านคุณได้ยินไม่ได้เหรอ คุณมีความลับเหรอ”

ตี้อู๋เปียนอยากกระอักเลือด

“ฉันไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น! แค่อยากถามเธอว่า อยากสร้างโรงเลี้ยงม้าที่เย่ว์ตูไหม เอาเสี่ยวเหยี่ยไปไว้เย่ว์ตู เธออยากไปเยี่ยมมันก็สะดวกด้วย”

“ตี้อู๋เปียน ฉันมีความคิดแบบนั้น” ดวงตาของมู่เถาเยาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ฉันมีสถานที่เหมาะๆ อยู่”

“หืม? ฟาร์มส่วนตัวที่อยู่ระหว่างเมืองเย่ว์ตูกับเมืองอันตูเป็นของนายใช่ไหม ฉันยังอยากถามน้าเล็กอวิ๋นอยู่เลย”

มิน่าแม้แต่เธอก็หาเจ้าของไม่เจอ

“ของฉันเอง แต่ในนั้นไม่ใช่แค่เลี้ยงม้า ยังมีวัวกับแกะด้วย”

ที่นั่นอากาศดี เหมาะแก่การรักษาตัว เลยยังสร้างอาคารที่พักไว้ด้วย ก็แค่เขาไม่เคยไปอยู่เลยสักครั้งเดียว

กลัวเหงา…

“ตี้อู่เปียน เสี่ยวเหยี่ยดุมาก จะต้องรังแกสัตว์ตัวอื่นแน่นอน”

“ไม่เป็นไร”

“งั้นไว้มีเวลาฉันจะลองไปดู”

“ได้เลย”