บทที่ 150 คำขอโทษของพงศกร

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ตอนนี้เอง ประธานวรวีบนเวที ก็ประกาศรูปแบบรับโควตาต่างๆ

เป็นการแข่งขัน สตูดิโอกับบริษัทต่างๆของจังหวัดจันทร์ ต่างเลือกดีไซเนอร์ที่โดดเด่นเข้าร่วมการแข่งขัน ดีไซเนอร์ที่ชนะอันดับหนึ่ง สามารถเป็นตัวแทนของสตูดิโอหรือบริษัท รวมทั้งประเทศไปร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ

“ง่ายขนาดนี้เชียว!”วารุณีหมุนปากกาไปมา แล้วพึมพำ

ดีไซเนอร์ที่อยู่ข้างๆได้ยิน ก็มองเธออย่างประหลาดใจ“ง่าย?คุณรู้ไหมจังหวัดจันทร์มีบริษัทเครื่องแต่งกายกับสตูดิโอเท่าไหร่?”

วารุณีคิดเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้นตอบ“คิดๆแล้วน่าจะหลักร้อยขึ้นไปมั้ง”

“ใช่ สตูดิโอกับบริษัทมากกว่าร้อยแห่ง หมายความว่ามีผู้เข้าแข่งขันหลายร้อย หนึ่งในนี้ยังมีแบนด์ใหญ่ๆอีกหลายแห่ง เช่นดาวค้างฟ้า สตูดิโอของรุ่งเรือง มูนไลท์ สตูดิโอของพิชญา พราวแพรวสตูดิโอของ……แน่นอนว่า นอกจากพวกนี้แล้ว ยังมีม้ามืดที่ยิ่งใหญ่อีก!”ดีไซเนอร์คนนี้ชูนิ้วโป้งให้ สีหน้าเคร่งเครียด

มองดีไซเนอร์คนนี้ที่เรียกตัวเอว่าม้ามืด ด้วยท่าทางหวาดกลัวอย่างนี้ วารุณีก็อดไม่ได้ที่จะจริงจังขึ้นมา ไม่หมุนปากกาที่มืออีก เอาวางลง“ม้ามืดที่คุณพูดชื่ออะไร?”

“ฉันก็ไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่าเธอเป็นคนของ บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป แฟชั่นโชว์ของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปครั้งที่แล้วคุณได้ดูยัง?”ดีไซเนอร์เข้าไปใกล้วารุณี

วารุณีพยักหน้า“คุณหมายถึงBath fire rebirth?”

“ใช่ ม้ามืดที่ฉันพูดถึงก็คือหัวหน้าดีไซเนอร์ของแฟชั่นโชว์ครั้งนั้นใหญ่ชิ้นนั้น เสื้อผ้าที่จัดแสดงในโชว์ใหญ่นั้นสวยมาก จะเห็นได้ว่า พรสวรรค์การออกแบบของคนนั้นไม่ได้แพ้ดีไซเนอร์ชั้นนำพวกนั้นเลย ก็แค่ชื่อเสียงยังสู้ไม่ได้ ไม่ใช่แค่ ฉันว่าคนสุดท้ายที่จะได้โควต้าเข้ารวมการแข่งขันต้องเป็นเธอแน่”ดีไซเนอร์คนนี้ลูบคางพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

วารุณีก้มหน้าลงเล็กน้อย เอามืออุดปากไว้แล้วหัวเราะ

ที่จริงเธอยังคิดว่า จะสอบถามข้อมูลของม้ามืดคนนี้หน่อย ถึงตอนนั้นตอนที่ชิงโควตา ก็จะได้ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคู่แข่ง

คิดไม่ถึงว่า ม้ามืดนี้จะเป็นตัวเอง

“คุณหัวเราะอะไร?”ดีไซเนอร์คนนี้เห็นวารุณีจู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา จึงไม่ค่อยพอใจ

วารุณีส่ายมือ“ไม่มีอะไรๆ ขอบคุณสำหรับคำพูดที่น่าฟังของคุณนะ ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อได้โควตานี้”

พูดจบ เธอก็ปิดสมุดลง กอดไว้ที่อกแล้วยืนขึ้นมา

ดีไซเนอร์ฟังที่เธอพูด ก็กะพริบตาอย่างตะลึง จากนั้นได้สติคืนมา ชี้ไปที่เธออย่างตกใจและตื่นเต้น“คุณ……คุณคือคน……”

“ชู่ว!”วารุณียกนิ้วหนึ่งนิ้วมาไว้ที่ปาก ทำท่าเงียบให้ดีไซเนอร์คนนี้“เบาๆ!”

ดีไซเนอร์คนนี้พยักหน้าอย่างตื่นเต้น เบ้าตามีประกายขึ้นมา มองวารุณีเหมือนมองไอดอล“ฉันเข้าใจแล้วๆ!”

“งั้นฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกัน!”วารุณีโบกมือให้เธอด้วยรอยยิ้ม หันกลับออกไปจากห้องประชุม

ด้านนอกห้องประชุม วารุณีก็เจอนัทธีอีก

เขาเอนไปที่กำแพง ก้มหน้าลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง มืออีกข้างคีบบุหรี่มวนหนึ่ง บุหรี่ไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง พร้อมกับเขม่าควันยาวๆ

วารุณีหยุดฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว จ้องเขา

เธอรู้มาตลอดว่าเขาสูบบุหรี่ เพราะว่ามีหลายครั้ง เธอได้กลิ่นบุหรี่จากตัวเขา แต่ไม่เคยเห็นเขาสูบกับตา

ครั้งนี้ ในที่สุดเธอก็เห็นแล้ว หล่อมาก มาพร้อมกับความโชกโชนบางๆ ที่ทำให้คนอดไม่ไหวที่อยากจะเข้าใกล้เขา อยากรู้จักทุกอย่างของเขา

“ออกมาแล้วเหรอ?”วารุณีกำลังจ้องนัทธีอย่างตั้งใจอยู่นั้น จ้องจนหลงใหล นัทธีก็เขี่ยขี้เถ้า แล้วจู่ๆก็เงยหน้าขึ้น มองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง

ดวงตาวารุณีเป็นประกาย ได้สติคืนมา ก็พยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าตอบกลับ จากนั้นก้าวเท้าเดินออกไปจากตรงหน้าเขา เดินไปที่ลิฟต์

“เดี๋ยว!”นัทธีบีบก้นบุหรี่แล้วตามไป คว้าแขนของเธอไว้

วารุณีไม่ทันระวังที่ถูกเขาคว้าไว้ เท้าที่ก้าวออกไปหมุนอยู่ที่เดิม หันกลับชนเข้ากับอ้อมแขนของนัทธี

ศีรษะของเธอชนกับคางของชายหนุ่ม

เธอไม่เป็นอะไร แต่ชายหนุ่มกลับทำเสียงฮึดฮัด แขนที่ปล่อยเธอก็เอามาจับปากไว้

วารุณีรีบเงยหน้ามอง เห็นนัทธีขมวดคิ้ว ที่มุมหน้าผากมีเหงื่อไหล สายตามีความเจ็บปวดเล็กน้อยแอบแฝง เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บ

“ประธานนัทธี คุณเจ็บตรงไหนไหม?”วารุณีรีบถาม ถามไป ก็รีบสำรวจใบหน้าเขาไปด้วย

นัทธีจับได้ถึงความตื่นตระหนกกับความกังวลในแววตาเธอ คิ้วที่ขมวดคลายออก มือที่อุดปากก็ปล่อยลง พูดเสียงหม่น“ไม่เป็นไร ตอนที่ชนคาง ฟันกัดไปโดนลิ้น”

“อ้าปาก ฉันจะดูว่าสาหัสไหม”วารุณียื่นมือจะไปแตะริมฝีปากของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มเอาหัวหลบไปด้านหลัง“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร”

วารุณีวางมือลง“ในเมื่อไม่เป็นไร งั้นฉันก็จะไปแล้ว”

พูดจบ เธอก็คืนกลับด้วยท่าทางเย็นชา แบบเมื่อกี๊ตอนที่ออกมาจากห้องประชุม

นัทธีเม้มริมฝีปาก“วารุณี คุณจงใจหลบผม?”

วารุณีละสายตาลง ปกปิดสายตาในดวงตา ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก“เปล่า ประธานนัทธีพูดเรื่องตลกแล้ว ฉันจะหลบคุณทำไมคะ ฉันก็ไม่ได้ทำสิ่งไม่ดีสักหน่อย”

นัทธีขมวดคิ้ว กำลังจะพูดอะไร ก็ถูกเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นกะทันหันตัดบท

วารุณีคิดว่าโทรศัพท์นี้มาได้ทันเวลา หลังจากขอโทษเขาไปแล้ว ก็เอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า

อย่างไรก็ตามพอเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอ อาการของเธอก็ดูซับซ้อนขึ้นมาทันที

นัทธีก็มองเห็น แววตาเย็นชาหรี่ลง มีความอยากจะแย่งโทรศัพท์ของเธอมา แล้วกดวางสาย

แต่ยังไม่รอให้เขาทำแบบนี้ วารุณีก็กดรับ“ฮัลโหล พงศกร คุณตื่นแล้วเหรอ!”

นัทธีจ้องโทรศัพท์ของเธอแน่น อยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

วารุณีตระหนักได้ถึงสายตาของเขา แต่ไม่สนใจ ปล่อยเขาไป

“เพิ่งตื่นสักพักน่ะ ไม่เห็นคุณ พยาบาลรับจ้างบอกว่าคุณกลับประเทศไปแล้ว”ที่ปลายสาย พงศกรนอนอยู่บนเตียง สีหน้าซีดขาวเพราะอาการป่วย

วารุณีตอบอือ“ฉันออกไปเมื่อคืนน่ะ ถึงประเทศวันนี้”

“เพราะว่าผมหรือเปล่า?”พงศกรไอออกมา ถามด้วยสายตาหม่นหมอง

ริมฝีปากของวารุณีขยับ“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ที่สำคัญคือกลับมาประชุม”

“ขอโทษนะวารุณี ที่ผมทำคุณตกใจกลัว ตอนนั้นผมดื่มหนักมาก ผมเลยไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ตอนนี้ได้สติคืนมาจึงรู้ว่าผมทำเรื่องระยำพวกนั้นกับคุณไป ขอโทษจริงๆนะ วารุณี ยกโทษให้ผมเถอะ!”พงศกรขอโทษด้วยใบหน้ารู้สึกผิด

แต่ในดวงตาเขา กลับไม่มีคำขอโทษแม้แต่น้อย กลับดูค่อนข้างมืดมน

วารุณีมองไม่เห็น แต่เชื่อว่าคำขอโทษของเขานั้นมาจากใจจริง ความกังวลที่มีต่อเขาก็หายไปอย่างมากในทันที รอยยิ้มที่ใบหน้าก็ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ“อือ ฉันยกโทษให้คุณ”

ได้ยินคำนี้ ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มเป็นเส้นตรง

ถึงแม้เขาฟังไม่ออกว่าพงศกรพูดอะไร แต่จากคำพูดยกโทษให้ของเธอ ก็พอจะเดาออก ในใจไม่ค่อยพอใจ

ที่ปลายสาย น้ำเสียงดีใจของพงศกรก็เข้ามา“จริงเหรอ ขอบคุณนะวารุณี”

“จริงๆ แค่ต่อไปคุณ……”

“ผมรู้ ต่อไปผมจะไม่ดื่มมาก แล้วทำแบบนั้นกับคุณอีกแล้ว”พงศกรตัดบทเธอ นิ้วกลางอันเรียวยาวดันแว่น แววตามีความมืดมนผ่านมา“แต่ว่าวารุณี ที่ตอนนั้นผมสารภาพรักเป็นเรื่องจริง ผมชอบคุณมาห้าปีแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นคุณ ก็ชอบคุณเลย”

วารุณีคิดไม่ถึงว่าพงศกร บอกความในใจต่อเธออีกครั้งในโทรศัพท์ ใจเต้นแรง มองนัทธีอย่างไม่รู้ตัว

นัทธีมองเห็นความร้อนตัวจากดวงตาของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว

เธอร้อนตัวทำไม?