จวนหย่งเฉิงโหวไม่ค่อยเกรงใจนางแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตาม ดีร้ายก็ยังมีฮูหยินผู้เฒ่าให้การสนับสนุนอยู่ ถึงแม้ในบรรดาบ่าวไพร่ของจวนหย่งเฉิงโหวอาจมีบางคนที่วิสัยทัศน์คับแคบ แต่สุดท้ายแล้วก็กินข้าวของจวนหย่งเฉิงโหว ขอเพียงจวนหย่งเฉิงโหวยังอยู่ในอำนาจไม่ได้ล้มลง พวกนางก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลตามอำเภอใจ จึงยังคงยังปฏิบัติกับซือจูอย่างให้เกียรติ ไม่ต่างอะไรกับยามปกติ
ตัวหวังซีเองมีความสงสัยเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ข้าได้ยินไป๋กั่วเล่าว่า ก่อนหน้านี้ตระกูลซือไม่พอใจเรื่องหมั้นหมายระหว่างซือจูกับเฉินอิงเป็นอย่างมาก ยังมีข่าวลือไม่ค่อยดีกระจายออกมาด้วย แต่เมื่อหลายวันก่อนกลับมีคนของตระกูลซือแอบมาพบซือจูเป็นการส่วนตัว ฟังจากความหมายนั่นแล้ว อยากให้ซือจูไปขอความช่วยเหลือจากเจิ้นกั๋วกง ดูว่าทำให้โทษเบาลงได้หรือไม่ ให้ลดตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการย่อมได้ทั้งสิ้น อย่าเนรเทศหรือส่งไปอยู่ชายแดนก็พอ”
เนรเทศหรือส่งไปอยู่ชายแดนล้วนต้องไปที่ที่กันดาร ห่างไกลเป็นพันลี้ทั้งสิ้น ง่ายต่อการเกิดเหตุร้ายเป็นพิเศษ ขุนนางต้องโทษจำนวนมากล้วนตายตกระหว่างเดินทางกันทั้งครอบครัว
เฉินลั่วแสยะยิ้มเย็นพร้อมกับพยักหน้า กล่าวว่า “พ่อข้าไม่มีทางช่วยพูดให้ตระกูลซือแม้แต่ประโยคเดียวเป็นแน่ เรื่องถอนหมั้นนั้นไม่อาจพูดได้ ต้องดูว่าจะมีคนสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องงานแต่งของเฉินอิงหรือไม่”
หวังซีถอนหายใจ
นางไม่ชอบชะตาชีวิตเช่นนี้เลย ถูกคนแปลกหน้าควบคุม ถูกคนไม่รู้จักก่อกวน ราวกับว่าแม้แต่ความเป็นความตายของตัวเองก็ยังไม่อาจตัดสินใจเองได้
น้อยนักที่เฉินลั่วจะได้เห็นหวังซีดูหดหู่เช่นนี้ เขาอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
หวังซีคิดแล้วเล่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้เฉินลั่วฟัง กล่าวว่า “ก็เหมือนฤดูมรสุมเดือนสี่เดือนห้า คล้ายหายใจไม่ออกก็ไม่ปาน”
เฉินลั่วได้ยินแล้วนิ่งงันไปครู่หนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน! บางครั้งเพราะเป็นเช่นนี้ถึงได้รู้สึกไร้ความหมาย”
“ฉะนั้นข้าถึงอยากกลับสู่จง!” หวังซีนึกถึงความรักที่ผู้อาวุโสในบ้านมีให้นางแล้วยู่ปากออกมา ด้วยเหตุนี้สีหน้าท่าทางจึงดูน่ารักน่าเอ็นดูมากเป็นพิเศษ “จิงเฉิงไม่สนุกเลยสักนิด” แม้นกล่าวเช่นนี้ แต่นางก็ไม่อาจปฏิเสธว่านางอยู่จิงเฉิงก็จริง แต่ก็ไม่ค่อยไปสถานที่อะไรมากมาย “บางทีอาจเป็นเพราะจิงเฉิงไม่ใช่เขตแดนของข้า ข้ายังไม่ค้นพบสถานที่ดีๆ แล้วก็ไม่เคยไปด้วย น่าเสียดาย หากกลับสู่จงคงไม่ได้กินเนื้อแกะอร่อยๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว”
นางน้ำลายสอเล็กน้อย
เฉินลั่วมองดวงหน้าแจ่มใสมีความสุขของนาง อยากถามนางเหลือเกินว่า ไม่กลับสู่จงได้หรือไม่ แต่เมื่อทบทวนความคิดดังกล่าว อย่างไรเขาก็ไม่อาจพูดประโยคดังกล่าวออกมาได้
จิงเฉิงสำหรับคนไม่มีอำนาจอยู่ในมืออย่างพวกเขาเหล่านี้ ก็เหมือนปกคลุมด้วยกระดาษหนังวัวหนึ่งชั้นจริงๆ ต่อให้มีความสุขเพียงใดก็เป็นได้แค่ความสุขที่หลอกตัวเองเท่านั้น ไม่อาจเหมือนอยู่สู่จง ที่ภูเขาสูงห่างไกลจากฮ่องเต้ พูดคุยหรือหัวเราะเสียงดังอย่างไรก็ได้
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขารู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน
หวังซีไม่ชอบ นางยังมีสถานที่หนึ่งให้วิ่งหนีไปได้ ส่วนเขาถ้าไม่ชอบ ไม่มีที่ให้วิ่งหนีได้เลยแม้แต่ที่เดียว
หรือเขาต้องเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต?
คนที่ชอบก็ไม่กล้าชอบ สิ่งอยากพูดก็พูดออกมาไม่ได้ ของที่อยากได้ก็ไม่อาจยื่นมือออกไปฉวยไว้…เหมือนมีก้อนหินวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่กลางหน้าอก เฉินลั่วพลันรู้สึกรับไม่ค่อยไหวแล้ว
ความตายนับพันนับหมื่น ก็แค่ต้องตายครั้งเดียว เหตุใดเขาต้องบังคับฝืนตัวเองกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วย?
เขามีชีวิตเพื่ออะไร? มีความหมายอะไร?
เฉินลั่วลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน เดินวนไปตามซุ้มองุ่นหนึ่งรอบ
หวังซีกล่าวอย่างสงสัยว่า “เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ น้ำพริกนี้รสชาติดีมาก ไม่เสียแรงที่เป็นมังกรระห่ำข้ามน้ำข้ามทะเลมา ยืนอยู่ในจิงเฉิงอย่างมั่นคงได้ หากเจ้ารู้สึกว่าเผ็ดเกินไป ข้าให้ไป๋กั่วไปยกน้ำพริกหวานที่บ้านข้าทำขึ้นมาเองให้เจ้าสักจานหนึ่ง รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ มีความเผ็ดแซมสายหนึ่ง ช่วยให้เจริญอาหารยิ่ง ส่วนน้ำพริกนี้ของเจ้าทิ้งเอาไว้ที่นี่ เจ้ามาคราวหน้า ข้าจะให้แม่ครัวผัดหมูหั่นเต๋ารสเผ็ดให้เจ้าสักจานหนึ่ง เจ้าชอบกินหมูหั่นเต๋ามากมิใช่หรือ ยังทำขนมแป้งทอดไส้เนื้อให้เจ้าได้ด้วย”
เฉินลั่วหยุดฝีเท้าลง หัวเราะออกมาในทันใด
ถึงรู้ว่ามารดาใช้วิธีของตัวเองมาปกป้องตน แต่เขายังคงชอบที่ทุกๆ วันมีคนมาถามไถ่เขาเรื่องกินเรื่องดื่ม มาเอาใส่ใจดูแลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่มของเขาอยู่ดี
เฉินลั่วกล่าวอย่างที่ใจนึกว่า “ดีเลย! ถ้าเจ้าชอบ ตอนมาคราวหน้าข้าจะเอาน้ำพริกมาให้อีก หรือไม่ก็ เจ้าอยากเรียนทำหรือไม หากเจ้าอยากเรียน ข้าจะหาวิธีทำให้หวังเอ้อหมาจื่อสอนเจ้า”
“อย่าเลยดีกว่า!” หวังซีกล่าวยิ้มๆ “เป็นสูตรเอาไว้ทำมาหากินที่สืบทอดต่อกันมาของผู้อื่น เจ้าทำเช่นนี้ ก็เหมือนไปแย่งชามข้าวของผู้อื่นมาอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนี้ต่างอะไรกับการปลิดชีพผู้อื่นเล่า? อย่าให้กลายเป็นว่าต้องได้ชื่อเป็นคนชั่วร้ายเพียงเพื่อของกินคำหนึ่งเลย”
“แต่มนุษย์บนโลกใบนี้ ก็อยู่เพื่อกินดื่มสองคำนี้มิใช่หรือ” เฉินลั่วกล่าวเสียงเบา
หวังซีได้ยินไม่ชัด ถามว่า “เจ้าพูดอันใดนะ”
“เปล่า!” เฉินลั่วกลับมานั่งลงใต้ซุ้มองุ่นอีกครั้ง เมื่อกินขนมแป้งย่างที่เขาเอามาหมดแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เจ้าควรสร้างห้องอุ่นสักห้องถึงจะดี”
ต่อไปเขาก็จะได้มาขอข้าวกินบ่อยๆ
หวังซีไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถิด วางเตาไฟเตาหนึ่งเอาไว้ รับประกันว่าเจ้าไม่แข็งตายแน่นอน”
ทั้งสองคนชวนกันคุยไม่รู้จบ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ทว่ากลับทำให้เฉินลั่วรู้สึกสงบและมั่นคง
เขาออกมาจากเรือนหวังซีก็เลี้ยวไปยังเรือนพักของจ่างกงจู่ กล่าวว่า “เรื่องคุณหนูหวังท่านอย่าเพิ่งเข้าไปยุ่ง บ้านพวกเราเป็นเช่นนี้ ท่านอยากทำให้ผู้อื่นตกต่ำไปกับพวกเราด้วยหรือ?”
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วไม่ชอบใจ กล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าพวกเราจะตกต่ำ? หากเป็นเช่นนี้แล้วนางยังยินดีติดตามเจ้า นั่นถึงแสดงว่านางชอบเจ้าจริงๆ”
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเราจะตกต่ำหรือไม่” เฉินลั่วกล่าว “และข้าไม่คิดว่าต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันก่อนถึงจะเป็นความรักแท้ ข้าเพียงไม่อยากให้เรื่องราวซับซ้อนไปมากกว่านี้ เรื่องอื่นพวกเรามาหารือด้วยกันดีๆ ได้ ยกเว้นเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้”
สองแม่ลูกแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์
จ่างกงจู่บ่นกับชิงกูที่รับผิดชอบเวรกลางคืนว่า “มีคนเป็นบุตรชายเช่นเขาด้วยหรือ ข้าไม่ได้ทำเพื่อเขาหรืออย่างไร เขาถึงไม่รู้จักซาบซึ้งกับสิ่งที่ข้าทำเลยตั้งแต่เด็กจนโต”
ชิงกูได้แต่โน้มน้าวจ่างกงจู่ว่า “คุณชายรองโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง นี่มิใช่เรื่องดีหรือเจ้าคะ หาไม่แล้วในราชสำนักมีจิ้งจอกเฒ่ามากมายปานนั้น มิเท่ากับว่าจับคุณชายรองไปฉีกกินได้หรือ”
จ่างกงจู่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ปล่อยให้ชิงกูปรนนิบัตินางนอนลงเสร็จแล้วถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้าว่า เหตุใดเฉินอวี๋ถึงยังไม่มีความเคลื่อนอะไร? เขาคงไม่ได้คิดว่าเขาไม่เอ่ยแล้วข้าจะไม่ไล่สืบสวนหรอกกระมัง ตอนนั้นเขารับปากข้าต่อหน้าฝ่าบาทแล้วว่าจะแต่งตั้งหลินหลางเป็นซื่อจื่อ เขาคงไม่ได้กลับถึงจวนแล้วรู้สึกเสียดายภายหลังขึ้นมาหรอกกระมัง”
ชิงกูรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้จริงๆ เพียงแต่ไม่อาจกล่าวออกมาตรงๆ ได้แต่กล่าวว่า “วันนี้ดึกแล้ว มีเรื่องอะไรก็คงต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยว่ากันอีกที ท่านพักผ่อนก่อนเถิด! พรุ่งนี้ข้าค่อยหาวิธีไปสืบข่าว”
จ่างกงจู่ “อืม” เสียงหนึ่งแล้วหลับตานอน
เพียงแต่ว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จ่างกงจู่แต่งกายเรียบร้อย พาองครักษ์ที่สนิทที่สุดออกจากบ้านไปด้วยเพียงสองคน กว่าชิงกูและคนอื่นๆ จะรู้ว่าจ่างกงจู่เข้าวัง ก็เป็นช่วงบ่ายของวันดังกล่าวตอนที่เจิ้นกั๋วกงกลับมาจากที่ทำการแล้ว
ชุ่ยกูกล่าว “นี่จ่างกงจู่ไปพบฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือ เหตุใดถึงไม่พาคนไปด้วยอีกสักสองสามคน?”
นางกับชิงกูรับใช้จ่างกงจู่มาตั้งแต่เด็ก บัดนี้ก็เป็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในที่มียศมีตำแหน่ง ข้างกายมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติรับใช้ จ่างกงจู่จึงไม่ได้ใช้งานพวกนางทุกเรื่อง
ชิงกูมองชุ่ยกูครั้งหนึ่ง ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เจิ้นกั๋วกงกลับพุ่งเข้ามาอย่างเดือดดาล กล่าวเสียงดุดันว่า “จ่างกงจู่เล่า? นางยังไม่กลับจวนอีกหรือ”
ชิงกูกับชุ่ยกูต่างตกใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้เจิ้นกั๋วกงกับจ่างกงจู่ไม่ได้เป็นสามีภรรยาที่กลมเกลียวกัน ทว่าเบื้องหน้าต่างยังคงมีความระแวดระวังตัวอยู่บ้าง นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เห็นเจิ้นกั๋วกงปกปิดความโกรธของตัวเองไม่ได้เช่นนี้
ทั้งสองก้าวออกมาทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน กำลังจะพูด เจิ้นกั๋วกงก็ตะโกนเรียกขึ้นมาก่อนว่า “ฝูหยวน เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนทำเรื่องนี้ เจ้ามีความสามารถทำ ก็ต้องมีความสามารถยอมรับด้วย จะหลบไปทำไม?”
ชิงกูกับชุ่ยกูรีบก้าวออกมาขวางเอาไว้ โน้มน้าวเสียงอบอุ่นว่าให้เจิ้นกั๋วกงไปนั่งในโถงรับรองก่อน พวกนางจะไปตามจ่างกงจู่มาให้
เจิ้นกั๋วกงแสยะยิ้มเย็น ยื่นแขนออกไปหมายจะผลักทั้งสองคน กลับมีเสียงของจ่างกงจู่ดังมาจากข้างกายเขาว่า “ท่านกั๋วกงจะทำอะไร ที่นี่คือจวนจ่างกงจู่ หาใช่จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเจ้า! ท่านกั๋วกงอยากแสดงอำนาจบารมี ก็เชิญไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง อย่าทำให้พื้นที่จวนจ่างกงจู่ของข้าต้องแปดเปื้อน”
เจิ้นกั๋วกงได้ยินแล้วโกรธจัด หมุนกายไปชี้จ่างกงจู่พลางกล่าว “เจ้าอย่าอาศัยว่าเจ้าเป็นจ่างกงจู่แล้วจะทำอะไรก็ได้ ข้าขอบอกเจ้า องค์หญิงแต่งผู้ต่ำศักดิ์กว่า กฎบ้านสำคัญเท่ากฎแผ่นดิน นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิไท่จงบัญญัติไว้ เจ้ากล้าไม่เคารพกฎของบรรพบุรุษหรือ”
“ตอนใดที่ข้าไม่เคารพกฎของบรรพบุรุษ?” สีหน้าของจ่างกงจู่ก็ไม่น่าดูมากเช่นกัน กล่าวว่า “เพราะข้าเคารพกฎของบรรพบุรุษมากเกินไป ถึงได้ตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉินอวี๋ เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่มีเหล่านั้น เจ้ามาหาข้าที่นี่ ก็เพื่อเรื่องงานแต่งของเฉินอิง ข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้าตามตรง ไม่ผิด ข้าเป็นคนสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องงานแต่งของเขาเอง…
…เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเคยรับปากข้าต่อหน้าเสด็จพี่ของข้าว่าจะขอแต่งตั้งเฉินลั่วเป็นซื่อจื่อ…
…แต่แล้วหนังสือขอแต่งตั้งอยู่ที่ใดเล่า?…
…เจ้ากล้าทำก่อน ข้าก็กล้าทำตาม…
…ในเมื่อเจ้าไม่ยอมขอแต่งตั้งเฉินลั่วเป็นซื่อจื่อ เช่นนั้นข้าก็จะให้เฉินอิงแต่งซือจูเข้ามา ข้าเองก็อยากดูเหมือนกันว่า หลังจากที่เขามีภรรยาเอกเป็นบุตรของขุนนางต้องโทษแล้ว จะเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อได้อย่างไร…
…แน่นอน เจ้าเองก็ไปเจรจาต่อรองกับเสด็จพี่ของข้าต่อไปได้โดยการฆ่าเฉินลั่วเสีย แต่เจ้าต้องคิดคำนวณให้ดี ต้องสังหารข้าไปด้วยอีกคน หาไม่แล้วต่อให้เฉินลั่วตาย เฉินอิงมีภรรยาเอกเช่นซือจู ข้าก็ถวายฎีกาต่อฮ่องเต้ได้ อาจจะรับบุตรบุญธรรมผู้หนึ่งมาสืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกง หรืออาจจะทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงไร้บรรดาศักดิ์ไปเสีย…
…ตั้งแต่ก่อตั้งแผ่นดินมีกั๋วกงสิบท่าน บัดนี้เหลือเพียงสามท่านเท่านั้น…
…ข้าคิดว่า ไม่ว่าผู้ใดได้เป็นฮ่องเต้ ย่อมยินดีที่ข้าถวายฎีกาเช่นนี้ขึ้นไป”
เจิ้นกั๋วกงได้ยินแล้วพลันอ่อนข้อลงมา กล่าวอย่างขอร้องว่า “ใช่ว่าข้าไม่อยากขอแต่งตั้งเฉินลั่วเป็นซื่อจื่อ แต่ระยะนี้มีเรื่องมากมายเกินไป นอกจากนี้เฉินอิงก็เป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเข้าใจมาตลอดว่าตัวเองจะได้เป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ต่อให้เจ้าไม่เห็นแก่หน้าข้า แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็เห็นเฉินอิงเติบโตขึ้นมา ถือเป็นเกียรติครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะมอบให้เขาในฐานะเป็นมารดาผู้หนึ่ง ให้ข้าได้คุยกับเฉินอิงให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยถวายฎีกาขอแต่งตั้งเฉินลั่วก็ยังไม่สาย”
จ่างกงจู่ยิ้มหยัน กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าอยากให้เฉินอิงเป็นซื่อจื่อ เช่นนั้นเจ้าจะแต่งกับข้าเพื่ออันใด สายเลือดของราชวงศ์มีเกียรติสูงสุด เขาที่เป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกผู้หนึ่งข่มได้หรือ สิ่งเลวร้ายที่เจ้ากระทำ เหตุใดต้องให้ข้ามาเก็บกวาดความวุ่นวายให้เจ้าด้วย”
แม้นกล่าวเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วน้ำเสียงของนางก็อ่อนลงไม่น้อย
เจิ้นกั๋วกงรู้ว่าเรื่องนี้คงนับว่าผ่านพ้นไปได้แล้ว
เขาจึงกล่าวถ้อยคำขอโทษขอโพยอีกสองสามประโยค เสร็จแล้วถึงได้จากไป
ชิงกูกับชุ่ยกูโกรธจนแทบทนไม่ไหว กล่าวว่า “จ่างกงจู่ ครั้งนี้ท่านก็จะปล่อยไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” จ่างกงจู่จับจ้องเงาหลังของเจิ้นกั๋วกง กล่าวว่า “ข้ายังไม่รู้ว่าเขามีพฤติกรรมน่ารังเกียจเพียงใด เมื่อก่อนก็เพียงแก่งแย่งที่หนึ่งหมู่สามเฟินผืนหนึ่งเท่านั้น แต่ครั้งนี้เขากลับไม่สนใจสัมพันธ์ระหว่างบิดาบุตรแล้ว สามีภรรยาครึ่งๆ กลางๆ อย่างพวกข้านี้ ยามมีหายนะมาจวนตัวควรจะต่างคนต่างโบยบินถึงจะถูก”
ชิงกูกับชุ่ยกูได้ยินแล้วไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ผลปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นมีพระราชโองการประกาศออกมาจากวังหลวง บอกว่าซือจู ‘มีคุณธรรมความสามารถ กิริยามารยาทงดงาม เป็นที่รักของพี่น้อง’ เป็นคู่ที่เหมาะสมของเฉิงอิง ให้ซือจูกับเฉินอิงแต่งงานกันในวันที่สิบเดือนสิบเอ็ด
…………………………………………………………………………………….