เจิ้นกั๋วกงที่ได้รับพระราชโองการหน้าเขียวไปหมดแล้ว
เขาไปส่งขันทีที่มาประกาศพระราชโองการเสร็จเรียบร้อยก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ตรงเข้าวังหลวง
ฮ่องเต้กำลังนั่งคุยกับซูเฟยเหนียงเหนียงอยู่บนแหย่ง ได้ยินว่าเจิ้นกั๋วกงขอเข้าเฝ้า ก็ให้ซูเฟยเหนียงเหนียงถอยออกไปก่อน เรียกเจิ้นกั๋วกงเข้ามา
เจิ้นกั๋วกงเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้ กล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมกับจ่างกงจู่เป็นสามีภรรยากันมายี่สิบกว่าปี กระหม่อมรู้ว่ากระหม่อมมีจุดที่ทำไม่ถูก ทำให้จ่างกงจู่ได้รับความอยุติธรรมมากมาย แต่พระองค์ก็ทรงรู้จักกระหม่อมดี มีตอนไหนบ้างที่กระหม่อมละเลย ใช่ว่าไม่เห็นใจจ่างกงจู่ แต่เรื่องในบ้าน กระหม่อมมอบให้จ่างกงจู่ตัดสินใจทุกอย่าง ต่อให้นางไม่อยากดูแลเรื่องพวกนี้ กระหม่อมก็ไม่เคยให้บุตรสาวคนโตสอดมือเข้ามายุ่ง แต่ครั้งนี้ จ่างกงจู่เอาแต่ใจเกินไปแล้ว…
…ในเมื่อกระหม่อมรับปากว่าจะแต่งตั้งเฉินลั่วเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ย่อมต้องทำได้อย่างแน่นอน แต่กระหม่อมก็ไม่อาจแต่งตั้งเฉินลั่วไปง่ายๆ เช่นนี้โดยไม่เตรียมการอะไรให้บุตรชายคนโตได้…
…ทว่าจ่างกงจู่กลับรอไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว…
…กระหม่อมก็แค่ปรึกษานางว่ารอกระหม่อมคุยกับเฉินอิงดีๆ ก่อน รอเฉิงอิงคิดตกแล้ว ค่อยแต่งตั้งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อก็ยังไม่สาย จ่างกงจู่กลับมาขอพระราชโองการโดยไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ เลื่อนงานแต่งของเฉินอิงกับตระกูลซือเข้ามา…
…คล้ายกลัวกระหม่อมจะกลับคำพูดก็ไม่ปาน…
…เรื่องนี้ พระองค์ต้องตัดสินให้กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!” ฮ่องเต้ดูประหลาดพระทัยยิ่งนัก กล่าวว่า “องค์ชายใหญ่เพิ่งรอดชีวิตมาได้ หัวใจดวงนี้ของเราอ่อนแรง หลายวันนี้ล้วนให้ซูเฟยเหนียงเหนียงมาอยู่คุยเป็นเพื่อน เรื่องในวัง เราไม่รู้เรื่องจริงๆ”
ขณะที่พูดไปนั้น เขาก็พึมพำกล่าวว่า “เราว่าเอาเช่นนี้ ระหว่างนี้เจ้ารอไปก่อน เราจะให้คนไปสอบถามฮองเฮาเหนียงเหนียง หากมีเรื่องเช่นนี้จริง…เราคงไม่อาจหักหน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงเพื่อเรื่องเล็กน้อยนี้ได้ งานแต่งของเฉินอิงกับคุณหนูซือ พวกเจ้าก็เตรียมงานไปก่อน รอพวกเขาแต่งงานกันไปแล้ว เราค่อยหางานดีๆ ให้เฉินอิงสักตำแหน่งหนึ่ง…
…เจ้าว่าอย่างไร?”
เจิ้นกั๋วกงจะว่าอะไรได้
ที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังลงโทษและเตือนเขาอยู่
ลงโทษที่เขาขัดขวางจ่างกงจู่เอาไว้ไม่ได้ตอนที่จ่างกงจู่เข้ามาสร้างความวุ่นวายที่วัง ไม่ขัดขวางเฉินลั่วตอนที่เขาแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้เฉินลั่ว และกำลังเตือนเขาว่าหากเขาไม่ตั้งใจทำงานให้ฮ่องเต้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องงานแต่งของเฉินอิง แม้แต่อนาคตของเฉินอิงก็อยู่ในการตัดสินใจของเขา
เจิ้นกั๋วกงสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง
ตอนแรกสาเหตุที่เขาไม่ได้ขัดขวางสมรสพระราชทานที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงพระราชทานให้เฉินอิงอย่างจริงจังเป็นเพราะ หนึ่งเขาอยากให้บทเรียนกับเฉินอิงสักครั้งหนึ่ง และสองเขารู้สึกว่าเรื่องงานแต่งกับตระกูลซือนั้น ขอเพียงตระกูลปั๋วสิ้นอำนาจ ก็ถือเป็นโมฆะได้แล้ว
คิดไม่ถึงว่าตระกูลซือจะทะเยอทะยานได้มากขนาดนี้ ถึงกับเข้ามาแทรกแซงเรื่องแต่งตั้งผู้สืบทอด แต่เมื่อตระกูลซือถูกลงโทษ เรื่องงานแต่งของซือจูกับเฉินอิงก็ยิ่งจัดการง่ายแล้ว กล่าวคือคนที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจอย่างตระกูลซือนี้ หากซือจูไม่ถูกขายเข้ากองสังคีตก็ถูกเนรเทศ ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง เขาล้วนออกหน้ามาขอความเมตตาให้ซือจูสักครั้งหนึ่งได้ แล้วส่งซือจูไปอยู่วัดหรืออารามชี ใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงพระธรรมไปตลอดชีวิต
ได้ทั้งตอกหน้าคนที่รอดูงิ้วเหล่านั้น ได้ทั้งมอบความรักลึกซึ้งให้เฉินอิง นับว่าเป็นเรื่องน่าพึงพอใจทั้งสองอย่าง
เขาจึงไม่ร้อนใจ
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วพริบตา ฮ่องเต้ถึงกับถูกจ่างกงจู่จับจุดอ่อนได้ พระราชทานบำเหน็จชิ้นใหญ่ให้เฉินลั่ว งานแต่งของเฉินอิงก็กลายเป็นเบี้ยในมือฮ่องเต้ไปเสีย
เจิ้นกั๋วกงรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย
หากตอนแรกเขาอำมหิตกว่านี้สักหน่อย จัดการซือจูให้ถึงที่ตายไปตั้งแต่ตอนแรกที่เกิดเรื่องกับตระกูลซือเสียก็ดี แต่เช่นนี้ก็ถือว่าซือจูแต่งงานกับเฉินอิงแล้ว ตอนเขาอยากจัดการซือจูก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งแล้ว
เจิ้นกั๋วกงตัดสินใจได้แล้ว เวลานี้อาการต่อต้านฮ่องเต้ก็ไม่ได้ดูคุกรุ่นและเคร่งเครียดขนาดนั้นแล้ว เขาขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ” อย่างนอบน้อม ถือเป็นการยอมรับวิธีการของฮ่องเต้
ฮ่องเต้พอพระทัยกับท่าทีเช่นนี้ของเขาเป็นอย่างมาก คุยสัพเพเหระกับเขาอีกสองสามประโยค แต่มิได้เอ่ยถึงเรื่องให้เขารีบแต่งตั้งซื่อจื่อ เขาจึงรู้ว่าฮ่องเต้ยังไม่ถอดใจ ยังคงอยากแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นไท่จื่ออยู่
ขอเพียงฮ่องเต้ยังต้องการเขาอยู่ จวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่มีทางล้ม
เจิ้นกั๋วกงยิ่งรู้สึกสงบใจขึ้นหลายส่วน เมื่อกลับมาจากวัง เจอเฉินเจวี๋ยที่มาร่ำไห้ว่าซือจูมิใช่คนที่คู่ควรกับเฉินอิง เขาจึงอดกลั้นได้ถึงสิบส่วน กล่าวปลอบโยนเฉินเจวี๋ยว่า “ที่ฝ่าบาททำเช่นนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน พวกเราต้องเห็นใจความลำบากของฝ่าบาทด้วย งานแต่งนี้ ตอนนี้ให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน เรื่องในอนาคต วันข้างหน้าค่อยว่ากันอีกที”
น่าเสียดายที่เฉินเจวี๋ยกับเฉินอิงต่างเบาปัญญาดุจเดียวกัน นอกจากไม่เข้าใจความนัยของเขาแล้ว ยังแอบเข้าวังเป็นการส่วนตัว ไปสร้างเรื่องวุ่นวายที่ตำหนักเจียงไท่เฟยมาครั้งหนึ่งด้วย
หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่อง ก็ให้ฮองเฮาหยุดปฏิบัติหน้าที่ดูแลวังหลังทันที
นี่เท่ากับไม่อนุญาตให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงทำหน้าที่ในฐานะฮองเฮา กำลังประณามฮองเฮาเหนียงเหนียงนั่นเอง!
เฉินเจวี๋ยพอใจแล้ว
เจิ้นกั๋วกงกลับดวงตามืดครึ้ม อยากจะย้อนเวลากลับไปเหลือเกิน ส่งตัวเฉินเจวี๋ยกลับไปขังไว้ในบ้านสามีไม่ให้ออกมาถึงจะดี
เฉินเจวี๋ยทำเช่นนี้ มิเท่ากับทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าจวนเจิ้นกั๋วกงไปฟ้องฮองเฮาเหนียงเหนียงต่อหน้าฮ่องเต้หรอกหรือ ยังฟ้องชนะด้วย!
จวนชิ่งอวิ๋นโหวจะคิดอย่างไร ฮองเฮาเหนียงเหนียงจะคิดอย่างไร
เจิ้นกั๋วกงปวดหัวไปหมดแล้ว
จวนเจิ้นกั๋วกงยังไม่ได้เตรียมตัวสำหรับมีปัญหากับจวนชิ่งอวิ๋นโหวอย่างเปิดเผย
ไปคุยกับชิ่งอวิ๋นโหวสักคำ? หากเขาเป็นชิ่งอวิ๋นโหว ย่อมไม่เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับจวนเจิ้นกั๋วกง แต่ถ้าไม่อธิบาย หากจวนชิ่งอวิ๋นโหวเกลียดชังจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วจะทำอย่างไร
เจิ้นกั๋วกงไม่มีทางเลือก จำต้องเขียนจดหมายให้บุตรเขยของตัวเอง ให้เขากักบริเวณบุตรสาวเอาไว้
ตระกูลติงเชื่อฟังเจิ้นกั๋วกงเป็นอย่างมาก ไม่กล้ากักบริเวณเฉินเจวี๋ย แม่สามีจำต้องแสร้งป่วย รั้งให้เฉินเจวี๋ยอยู่บ้านดูแลแม่สามี
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งานแต่งของเฉินอิงจึงตกมาอยู่ที่จ่างกงจู่
และจ่างกงจู่เองก็เปลี่ยนท่าทีไม่หือไม่อือก่อนหน้านี้ไปแล้ว ภายในสามวันก็จัดเตรียมเรือนหอจนเสร็จเรียบร้อย ยังเห็นใจที่ซือจูต้องอาศัยจวนหย่งเฉิงโหวเป็นสถานที่ออกเรือน จึงไม่ให้ซือจูต้องเตรียมพวกเครื่องเรือนใดๆ จ่างกงจู่เป็นคนรับผิดชอบให้ทั้งหมด บอกว่าเมื่อถึงเวลาร้านของช่างไม้จะส่งของไปให้ที่จวนหย่งเฉิงโหวโดยตรง ตอนซือจูออกเรือนค่อยส่งไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงอีกที
จวนหย่งเฉิงโหวพลันแตกตื่นขึ้นมา
หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าพนมมือสวด “อมิตตพุทธ” ไม่หยุด กล่าวกับโหวฮูหยินว่า “ข้าว่าแล้วว่าจ่างกงจู่เป็นคนจิตใจดี ต่อให้เจิ้นกั๋วกงไม่อยากยอมรับงานแต่งครั้งนี้ แต่จ่างกงจู่ก็ไม่มีทางอนุญาตให้เจิ้นกั๋วกงสร้างปัญหา”
แล้วก็จับมือซือจูเอาไว้กล่าวว่า “อาจู บัดนี้เจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อไปแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ต้องกตัญญูต่อจ่างกงจู่ เชื่อฟังนาง ให้เกียรติและยกย่องนาง ขอความโปรดปรานจากนางถึงจะถูก หากมิใช่นาง เจ้าไหนเลยจะมีวันนี้ได้!”
ซือจูนึกถึงเรื่องที่ตานหมัวมัวไปสืบมาเมื่อวาน พวกพี่สะใภ้ไม่ยอมรับความอัปยศ ทยอยกันพาสตรีในบ้านกับหลานสาวที่ยังไม่ออกเรือนแขวนคอฆ่าตัวตาย
หากนางไม่ได้อยู่ที่จิงเฉิง ในจำนวนคนที่แขวนคอฆ่าตัวเองก็คงมีนางอยู่ด้วยคนหนึ่ง
ไม่เคยผ่านความเป็นความตาย ย่อมไม่รู้ว่าการมีชีวิตอยู่มีค่าเพียงใด
ซือจูพยักหน้า กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยดวงตาที่แดงก่ำว่า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ! ท่านวางใจ ข้าจะตั้งใจกตัญญูต่อจ่างกงจู่”
ต่อให้นางไม่อยากก็ไม่มีทางเลือก
เนื่องจากตอนนี้นอกจากจ่างกงจู่ นางก็ไม่มีคนอื่นให้พึ่งพิงได้แล้ว
แต่พอซือจูนึกถึงข่าวลือเหล่านั้นของจ่างกงจู่แล้ว ยังคงรู้สึกคัดค้านอยู่ในใจ รู้ว่าควรเคารพยกย่องจ่างกงจู่ แต่อย่างไรก็กลืนความรู้สึกในใจลงไปไม่ได้ ไม่อาจยอมรับจากใจจริง
หวังซีกลับมองเห็นอะไรบางอย่างจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปกตินี้
นางแอบพูดกับหวังหมัวมัวเป็นการส่วนตัวว่า “ใต้เท้าเฉินบอกว่าเจิ้นกั๋วกงรับปากแล้วว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อ ทว่าจนถึงตอนนี้กลับยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว งานแต่งของเฉินอิงก็เลื่อนเข้ามา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจิ้นกั๋วกงไม่ยอม กำลังขับเคี่ยวกับจ่างกงจู่อยู่?”
นับเป็นครั้งแรกที่หวังหมัวมัวได้ยินว่าเจิ้นกั๋วกงรับปากจะแต่งตั้งเฉินลั่วเป็นซื่อจื่อ นางกล่าว “หากพูดถึงเรื่องทำการค้า ข้ายังบอกอะไรท่านได้บ้าง แต่เรื่องแต่งตั้งซื่อจื่อเอย เรื่องสมรสพระราชทานเอยเหล่านี้ ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าว่าใต้เท้าเฉินไม่ได้มาที่นี่ระยะหนึ่งแล้ว ตอนที่เขามาที่นี่คราวหน้าท่านลองถามเขาดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
พูดจบก็ทอดถอนใจกล่าวอีกว่า “ชีวิตของเขานี้ยังไม่สะดวกสบายเท่าชีวิตปุถุชนคนธรรมดาเลย กล่าวไปกล่าวมาล้วนเป็นเพราะเจิ้นกั๋วกงปกครองบ้านได้ไม่ดี อยากแต่งตั้งบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกก็แต่งตั้งบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกไป ใครว่าอะไรข้าก็ไม่เปลี่ยนใจ ท่านดูคุณชายทั้งสองท่านของตระกูลเฉินทะเลาะกันจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”
หวังซีได้แต่หัวเราะ แต่รอเฉินลั่วมาหลายวันก็ยังไม่เห็นเขา ให้คนไปสืบข่าว ก็รู้แค่ว่าเฉินลั่วงานยุ่งมาก หลิวจ้งตามติดอยู่กับเขาไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว
***
ภายในจวนชิ่งอวิ๋นโหว ชิ่งอวิ๋นโหวโกรธจนไม่พูดอะไรไปครึ่งค่อนวัน
แน่นอนเขาไม่มีทางตื้นเขินขนาดที่เชื่อว่าด้วยคำพูดโวยวายเพียงไม่กี่ประโยคของเฉินเจวี๋ยจะทำให้ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงหยุดปฏิบัติหน้าที่ในวังหลัง
นี่ตบหน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงที่ไหนกัน กำลังตบหน้าจวนชิ่งอวิ๋นโหว กำลังตบหน้าชิ่งอวิ๋นโหวอย่างเขาต่างหาก
ผู้ช่วยที่อยู่ใต้บัญชาการห้าถึงหกคนของเขาต่างเสนอความเห็นของตนคนละประโยค แม้นเสียงไม่ดังมาก แต่ก็อลหม่านเหมือนอยู่ตลาดสด
นับตั้งแต่ที่องค์ชายใหญ่กลับมาพักฟื้นที่จิงเฉิงเป็นต้นมา ภาพเหตุการณ์เช่นนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
มีคนสนับสนุนให้ชิงลงมือก่อนดีกว่า หาวิธีเข้าไปกวนน้ำให้ขุ่น ทำให้ทุกคนเห็นความเก่งกาจของจวนชิ่งอวิ๋นโหว อย่าคิดว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวรังแกได้ง่ายๆ
บางคนสนับสนุนให้ซ่อนความสามารถเอาไว้ ตอนแรกพวกเขาใจร้อนเกินไปที่สั่งเคลื่อนกองพลขนนก เป็นการเดินหมากที่เพลี่ยงพล้ำไปแล้วก้าวหนึ่ง ฮ่องเต้ยังไม่ไล่สืบสวน ยังไม่เหมาะสมที่จะโผล่ศีรษะออกไปตอนนี้
แล้วก็มีคนเสนอว่าควรให้ฝ่ายร้องเรียนฟ้องร้องหนิงผิน เป็นการเตือนพระสนมในวังหลัง ขอเพียงพระสนมในวังหลังไม่สร้างปัญหา ตำแหน่งขององค์ชายรองก็จะยังมั่นคงดุจภูเขาไท่ซาน
ชิ่งอวิ๋นโหวฟังด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ไม่แสดงความคิดเห็น
ปั๋วหมิงเย่ว์นำบ่าวชายเด็กสองคนเข้ามาเติมน้ำชา
ชิ่งอวิ๋นโหวโปรดปรานบุตรชายผู้นี้ของตัวเองยิ่งนัก แต่ในยามคับขันที่เป็นเวลาแห่งความเป็นความตายของตระกูล เขาก็ไม่ชอบใจที่ความเฉลียวฉลาดของบุตรชายคนเล็กผู้นี้กลับช่วยอะไรที่บ้านไม่ได้
เขาเห็นเช่นนั้นแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่ามาเตร็ดเตร่อยู่ในนี้เลย หากมีเวลาว่าง ไม่สู้ไปอยู่เป็นเพื่อนย่าเจ้าให้มากหน่อย องค์ชายใหญ่ประสบเคราะห์ร้าย ทำเอาย่าของเจ้าตกใจจนเสียคนไปแล้ว เป็นเวลาที่ต้องการเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยที่สุด แต่เจ้าก็ดีเหลือเกิน วันๆ เอาแต่วิ่งมาเพ่นพ่านไปมาอยู่ตรงหน้าข้า”
ปั๋วหมิงเย่ว์มองเหล่าผู้ช่วยทั้งหลายของที่บ้านแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ ข้าหาได้อยากมาเตร็ดเตร่อยู่ตรงหน้าท่าน แต่ข้ารู้สึกว่าพวกท่านเสียเวลามากเกินไปแล้ว นี่มีอะไรให้ต้องพิจารณาด้วย? ฮ่องเต้ก็แค่ให้ท่านป้าหยุดปฏิบัติหน้าที่ในวังหลัง หาได้สั่งปลดตำแหน่งของท่านป้า! กล่าวไปกล่าวมาล้วนเป็นเพราะเรื่องที่พวกเราแอบเคลื่อนกองพลขนนกทั้งสิ้น…
…กองพลขนนกเป็นกองพลส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ ท่านแตะต้องของของผู้อื่น ยังไม่คิดว่าผู้อื่นจะโมโหอีกหรือ!…
…ท่านดูแม้แต่ท่านป้าของข้ายังรู้สาเหตุ เหตุใดพอมาถึงท่านแล้ว ท่านกลับไม่เข้าใจเล่า!”
ชิ่งอวิ๋นโหวไหนเลยจะไม่เข้าใจ แต่เพราะสะดวกสบาย อยู่สูงมีอำนาจมากจนชิน จึงทนไม่ได้ไปชั่วขณะก็เท่านั้น
เขาหันไปโบกมือให้บุตรชายคนเล็ก กล่าวว่า “เจ้าควรทำอะไรก็ไปทำเถอะ อย่ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่!”
“ข้าสร้างความวุ่นวายหรือไม่ ในใจของท่านกระจ่างแจ้งดีที่สุด!” ปั๋วหมิงเย่ว์เองก็ไม่กล่าวอะไรมากอีก ยกกาน้ำชาแล้วเดินออกไปข้างนอก พลางกล่าวว่า “ท่านลองเอาสิ่งที่ข้าพูดไปคิดดูดีๆ! การหยุดปฏิบัติหน้าที่ในวังหลังไม่นับเป็นอะไร ขอเพียงไม่มีใครให้คนไปถวายฎีกาต่อฮ่องเต้เสนอให้แต่งตั้งองค์ชายรองเป็นไท่จื่อก็พอ”
……………………………………………………………….