ชิ่งอวิ๋นโหวยังคงนิ่ง ผู้ช่วยคนหนึ่งของเขากลับดึงปั๋วหมิงเย่ว์เอาไว้ “คุณชายเจ็ด ท่านเดินช้าลงสักหน่อย ท่านมีความคิดอะไรใช่หรือไม่”
ปั๋วหมิงเย่ว์ไม่กล่าวอะไร มองบิดาของเขาครั้งหนึ่ง
บางครั้งชิ่งอวิ๋นโหวก็ชอบที่เขาทำเช่นนี้ แต่บางครั้งก็รำคาญนักที่เขาทำเช่นนี้ และเวลานี้ค่อนไปทางเวลาที่รำคาญเขามากกว่า ชิ่งอวิ๋นโหวถลึงตาใส่บุตรชายครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ให้เจ้าพูดเจ้าก็พูด เจ้าไปๆ กลับๆ มาหลายรอบแล้ว มิใช่เพราะมีเรื่องอยากพูดกับข้าหรอกหรือ”
ปั๋วหมิงเย่ว์หัวเราะ กล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้าหาได้ตั้งใจทำเรื่องให้ซับซ้อน แต่ข้าคิดว่า เรื่องที่พวกเราแอบเคลื่อนกองพลขนนกไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ ก็แค่ต้องรอดูว่าฮ่องเต้จะคิดบัญชีกับพวกเราอย่างไรเท่านั้น แทนที่พวกเราจะรอรับการโจมตี ไม่สู้จู่โจมก่อนดีกว่า หาคนไปฟ้องร้องพวกเรา เมื่อพวกเรายอมรับความผิด ได้รับโทษแล้ว เหล่าขุนนางใหญ่รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ฮ่องเต้ถึงจะไม่อาจไปไล่สืบสวนต่อได้อีก!…
…ส่วนเรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย…
…ขอเพียงตระกูลพวกเราไม่ล้ม ย่อมมีเวลาให้คิดบัญชีเสมอ”
มีบุตรชายเช่นนี้ ชิ่งอวิ๋นโหวรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นท่าทางภูมิใจอย่างเปิดเผยของบุตรชายแล้ว เขาก็คิดว่าอย่าเติมเชื้อไฟลงไปในกองเพลิงดีกว่า จึงแสร้งปรายตามองเขาอย่างดูแคลนครั้งหนึ่ง จากนั้นถึงได้พยักหน้าน้อยๆ
ส่วนเฉินลั่ว เขาเองก็กำลังขบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้อยู่เช่นกัน
บิดาของเขาไม่ยอมแต่งตั้งเขาเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ มารดาของเขาจึงใช้เรื่องงานแต่งของซือจูมาบีบคั้นบิดาของเขา บิดาของเขาดูเหมือนจะพ่ายแพ้แล้ว แต่หลังจากที่ตระกูลซือหมดอำนาจ ซือจูก็ไม่มีคนคอยปกป้องแล้ว จึงไม่ต่างจากจอกแหนที่ลอยไปตามน้ำ ที่เฉินอิงกับบิดาเขาจะจัดการอย่างไรก็ได้?
เกรงว่านี่ต่างหากคือเหตุผลที่บิดาของเขาดูไม่ร้อนใจ!
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เห็นใจซือจู
หว่านอะไรไปก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ซือจูอยากเข้าใกล้วังหลวง ก็ต้องเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งอาจถูกผู้อื่นใช้ประโยชน์
ส่วนตระกูลปั๋ว เรื่องกองพลขนนกยากที่จะสลัดพ้นตัว ก็ต้องดูว่าพวกเขาจะรับมืออย่างไรแล้ว
รับมือได้ดี ทุกคนต่างถอยให้กันคนละก้าว เรื่องนี้ก็จะผ่านพ้นไปได้ แต่ถ้ารับมือได้ไม่ดี ชิ่งอวิ๋นโหวอาจถูกถอดบรรดาศักดิ์ได้
ตอนนี้เขาเป็นห่วงเรื่องกองพลขนนกกับกองพลทองคำมากกว่า
กองพลขนนกเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่าฮ่องเต้จะจัดการตระกูลปั๋วอย่างไร แต่เหล่าหัวหน้านายกองและพลทหารของกองพลขนนกต้องค่อยๆ ถูกโยกย้ายหรือไม่ก็ขับออกไปเป็นแน่ แล้วก็สับเปลี่ยนคนที่ฮ่องเต้ไว้ใจเข้าไปแทนที่เงียบๆ แต่ฮ่องเต้ยกกองพลทองคำให้เขาดูแล ฮ่องเต้ไม่กลัวว่ากองพลทองคำจะกลายเป็นกองกำลังส่วนตัวของเขาหรือ?
อาจกล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ไม่ได้คิดจะให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้นานนัก เขายังไม่ทันได้ชุบเลี้ยงคนที่ไว้ใจก็อาจต้องไปจากกองพลทองคำแล้วก็เป็นได้
เฉินลั่วนำสุราชั้นดีหลายขวดไปพบสือเหล่ยที่กำลังจะเดินทางออกจากเมืองหลวงในไม่ช้านี้ ทั้งสองคนนั่งดื่มสุราแกล้มถั่วลิสงกับเนื้อหัวหมูอยู่ในลานบ้าน
“ข้าเองก็คร้านจะสนใจความขัดแย้งข้างนอกเหล่านั้นแล้ว คิดแค่ว่าอยากให้ผ่านสองสามปีนี้ไปอย่างสงบสุขก็พอ” เฉินลั่วดูเหมือนพูดออกมาจากใจจริง “คนกลุ่มไหนที่พึ่งพาได้ เจ้าบอกข้ามาเถิด เจ้าอยู่กองพลทองคำมาตั้งนานหลายปี ข้าจะทำตามแบบที่เจ้าเคยทำมาก็พอ”
เหยียนเจิ้งสร้างผลงานที่หมิ่นหนานได้ เขาย่อมมีความสามารถของตัวเอง
ครั้งนี้ที่ลงแรงไปมากกับการพาสือเหล่ยออกจากจิงเฉิง ก็เพราะอยากเลี่ยงความขัดแย้งในเมืองหลวงก่อนที่จะมีการแต่งตั้งไท่จื่อ แต่เนื่องจากกองพลทองคำคือที่ที่สือเหล่ยดูแลมาสิบกว่าปี เขาไปได้ แต่บรรดาสหายเก่าแก่และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเหล่านั้นไปไม่ได้ เฉินลั่วมีทั้งความสามารถและคุณสมบัติ เขาค่อนข้างชื่นชม รู้สึกว่าฝากฝังคนของตัวเองไว้กับเฉินลั่วก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เขาเองก็ไม่เกรงใจเฉินลั่วอีก เล่าเรื่องราวต่างๆ ของกองพลทองคำทั้งสี่ให้เขาฟังอย่างละเอียด
นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว เฉินลั่วในฐานะที่มารับหน้าที่ใหม่ก็เปลี่ยนแปลงระบบใหม่ให้กับกองพลทองคำด้วยเช่นกัน ทุกวันเขายุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้น ดูผอมลงไปมาก
หวังซีเห็นว่าใกล้ถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้ว ไม่รู้ว่าเฉินลั่วกำลังวุ่นเรื่องอะไรอยู่ ได้แต่ส่งขนมไหว้พระจันทร์และสุราดอกหอมหมื่นลี้จำนวนหนึ่งไปที่จวนจ่างกงจู่
ตอนที่เฉินอวี้กำลังตรวจรายการของขวัญอยู่นั้น จู่ๆ ชิงกูก็เข้ามาอย่างกะทันหัน นางยิ้มตาหยีพลางถามว่า “มีคนส่งของขวัญเทศกาลมาให้หรือ ส่งมาจากตระกูลใด? แล้วส่งอะไรมาบ้าง?”
เฉินอวี้ตกใจไปครั้งใหญ่ กำลังลังเลว่าควรเอารายการของขวัญให้ชิงกูดูหรือไม่นั้น ชิงกูก็ฉวยรายการของขวัญไปเสียแล้ว อ่านออกเสียงเบาๆ ว่า “สุราดอกหอมหมื่นลี้สองไห ขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อสองกล่อง ขนมไหว้พระจันทร์ไส้เม็ดบัวไข่เค็มสองกล่อง ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ถั่วแดงสองกล่อง…พัดเปล่าขอบทองสองกล่อง โคมแปดเซียนตามหาพระจันทร์หนึ่งคู่ โคมเซียนกระต่ายไหว้พระจันทร์หนึ่งคู่”
นางหยุดอ่านแล้วจ้องเฉินอวี้ “เหตุใดถึงส่งพัดกับโคมมาให้ด้วย?”
เฉินอวี้เองก็ไม่รู้ มีความรู้สึกว่าหวังซีคงเอาของที่นางส่งให้ผู้อื่นส่งมาให้คุณชายรองของพวกเขาด้วยหนึ่งชุด
เขากล่าว “ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ กำลังจะส่งรายการของขวัญไปให้คุณชายรองพอดี”
ชิงกูกลับทำเกินอำนาจของตัวเองดึงรายการของขวัญไปเก็บไว้ในแขนเสื้อ กล่าวว่า “อย่างไรเสียคุณชายรองก็ยุ่งจนไม่ได้อยู่บ้าน วันเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ไม่รู้ว่าจะได้อยู่เฉลิมฉลองที่บ้านหรือไม่ ข้าจะเป็นตัวแทนจ่างกงจู่รับใบรายการของขวัญนี้เอาไว้ก็แล้ว หากคุณชายรองถาม เจ้าให้เขาไปหาจ่างกงจู่เองก็ได้แล้ว”
กล่าวจบ ไม่รอให้เฉินอวี้ได้พูดอะไร ก็รีบก้าวออกจากลานบ้านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งตอนที่เฉินอวี้วิ่งตามออกไป ก็ไม่เห็นเงาของชิงกูแล้ว
เฉินอวี้กระทืบเท้าไม่หยุด
บ่าวชายคนสนิทของเขาเสนอความคิดให้เขาว่า “พวกเราจัดของขวัญตามรายการของที่คุณหนูหวังส่งมาให้คุณชายรองหนึ่งชุดดีหรือไม่ ถึงจะมีของหลายรายการ แต่ทุกรายการก็มีเพียงอย่างละสองถึงสามชิ้นเท่านั้น ใช้เวลาสักสี่ถึงห้าวันก็น่าจะหามาได้แล้ว”
เฉินอวี้พลันใจเต้นขึ้นมา แต่ไม่นานเขาก็ได้สติกลับมา ใช้สายตาที่ประหนึ่งมองคนโง่มองบ่าวชายเด็กผู้นั้นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าคงไม่เคยได้กินของที่เรือนครัวของคุณหนูหวังทำ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อของพวกเขาต้องไม่ใช่ขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อธรรมดาเป็นแน่ ถ้าจู่ๆ คุณชายรองเกิดอยากกินสักชิ้นขึ้นมา เจ้าแน่ใจหรือว่ามันจะเหมือนกับขนมไหว้พระจันทร์ที่เรือนครัวของคุณหนูหวังเป็นคนทำ?”
บ่าวชายเด็กผู้นั้นไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
เฉินอวี้คอตกรอเฉินลั่วกลับจวนด้วยความหดหู่
จ่างกงจู่กลับมองชิงกูด้วยความร้อนใจรีบกล่าวว่า “รีบเอามาให้ข้าดูว่าคุณหนูหวังผู้นั้นส่งของขวัญอะไรมาให้หลินหลางบ้าง เด็กสาวคนนั้นหน้าตางดงาม เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้างในจะกลวงหรือไม่”
ชิงกูยิ้มพลางหยิบรายการของขวัญออกมา ยังชี้ไปที่อักษรแถวหนึ่งบนรายการของขวัญพร้อมกับกล่าวว่า “ยังมีตัวต่อปริศนาเจ็ดแผ่นทำจากหินหลากหลายชนิดด้วยหนึ่งชิ้น ทำราวกับว่าคุณชายรองของพวกเราเป็นเด็กเล็กเลยเจ้าค่ะ!”
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วกลับชะงักงันไปครู่ใหญ่
ตอนเป็นเด็กเฉินลั่วซนมาก เวลาเจอเขาหากนางไม่อบรมเขาสักหนึ่งคำรบก็เมินใส่เขาไปเลย นางเคยเอาโคมไฟและประทัดจากวังหลวงกลับมาให้เขา แต่เหมือนจะไม่เคยซื้อตัวต่อปริศนาอะไรให้บุตรชายเลย
จ่างกงจู่ถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน กล่าวว่า “หรือจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ เขาถึงได้ปกป้องคุณหนูหวังขนาดนี้?”
“อันใดนะเจ้าคะ?” ชิงกูได้ยินไม่ชัด
จ่างกงจู่ไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว คืนรายการของขวัญให้ชิงกู กล่าวว่า “ช่วยเฉินอวี้เอาของไปเก็บไว้ในห้องเก็บของด้วยก็แล้วกัน ดีร้ายขนมไหว้พระจันทร์นั่นก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมไหว้พระจันทร์ไส้เม็ดบัวไข่เค็ม รสหวานแต่ไม่เลี่ยน เค็มแต่ไม่ได้เค็มจนขม ทั้งแปลกใหม่และรสชาติดี แม้แต่เหล่าอาจารย์ในวังหลวงก็ยังคิดออกมาไม่ได้ อย่างไรข้าก็ต้องเหลือไว้ให้เขาชิมสักสองสามชิ้น!”
ชิงกูประหลาดใจ
จ่างกงจู่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์ของคุณหนูหวัง? นางกินตอนไหน กินมาจากที่ใด เหตุใดตนถึงไม่คุ้นเลยแม้แต่นิดเดียว?
ชิงกูเก็บความสงสัยไว้ในใจ ขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” นำรายการของขวัญไปคืนเฉินอวี้
***
ฟากหวังซีกลับรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก
ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ตระกูลเวินส่งของขวัญมาให้จวนหย่งเฉิงโหวมากมาย แม้แต่สาวใช้ก็ได้กันทุกคน แต่ละคนได้ขนมไหว้พระจันทร์คนละหกชิ้นและสุราดอกหอมหมื่นลี้อีกหนึ่งกา ทุกคนต่างได้รับอานิสงส์จากฉังเคอไปด้วย โชคที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดทำให้คนในจวนต่างยิ้มแย้มเบิกบาน แม้แต่ช่วงปีใหม่ยังไม่ขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลว่าที่สามีของฉังเหยียนอย่างตระกูลหวงที่ส่งของขวัญมาให้เล็กน้อยตามธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้น ถึงแม้ไม่มีอะไรผิดพลาด ทว่าก็ไม่อาจทำให้คนรู้สึกยินดีขึ้นมาได้ ของขวัญของตระกูลเวินจึงดูมีเกียรติมากเป็นพิเศษ ด้วยความซาบซึ้งใจ ฉังเคอถึงกับอดหลับอดนอนทำถุงเท้ารองเท้าให้เวินจง อยากเร่งทำให้ทันส่งไปให้เขาก่อนเข้าฤดูหนาว
ซือจูเองก็เก็บตัวทำถุงเท้ารองเท้าสำหรับใช้ในวันทำความรู้จักญาติมิตรอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน สหายทั้งสองคนของหวังซีอย่างคุณหนูพานและฉังเคอหายไปพร้อมกัน เมื่อไม่มีคนมาตอแยก็รู้สึกเหงามาก เริ่มเป็นห่วงว่าเหตุใดหวังเฉินถึงยังไม่มาเยี่ยมนางที่จิงเฉิงเสียที หรือมีข่าวจากสู่จงสักข่าวก็ยังดี นางอยากกลับบ้านแล้ว
ตอนที่หลงจู๊ใหญ่นำเงินเบี้ยเลี้ยงรายเดือนมาส่งให้นางนั้น นอกจากกล่าวปลอบใจนางว่าหวังเฉินมีธุระติดพันอยู่ที่เจียงหนานจึงยังเดินทางมาจิงเฉิงไม่ได้ในเร็ววันแล้ว ยังถามนางว่าต้องการให้เขารับนางออกไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์นอกจวนหรือไม่ “อย่างไรเสียนายท่านผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่า นายท่านและนายหญิงล้วนไม่อยู่จิงเฉิง ท่านฉลองเทศกาลอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ไปที่เรือนข้าท่านยังได้ดูโคมไฟในวันที่สิบห้าเดือนแปดของเมืองหลวงด้วยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร”
หวังซีรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที จึงไปขออนุญาตฮูหยินผู้เฒ่า
แต่ผู้ใดจะรู้ว่านับตั้งแต่ที่มารดาของหวังซีหายตัวไปจากการไปดูโคมไฟในวันที่สิบห้าเดือนแปดเป็นต้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็กลายเป็นคนหวาดผวาวันนี้ไปแล้ว จึงไม่อนุญาตให้คนจวนหย่งเฉิงโหวออกไปข้างนอกในวันที่สิบห้าเดือนแปด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปดูโคมไฟ
ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือของหวังซีไว้ร้องไห้ออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยหวังซีออกจากจวน
ยังถือโอกาสพูดถึงเรื่องของตระกูลซือด้วย
บอกว่าตระกูลซือถูกใส่ร้าย เพราะมีคนริษยาถึงได้ถูกคนชั่วเล่นงาย
หวังซีไม่อยากฟัง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงดึงนางไว้ไม่ยอมปล่อยให้นางไป บอกว่าหย่งเฉิงโหวอกตัญญู ไม่อนุญาตให้นางไปพูดเรื่องพวกนี้ข้างนอก
นางไปหาฮูหยินผู้เฒ่ามาครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่อยากไปอีกเลย
ลานบ้านแห่งหนึ่งติดกับลานทางทิศตะวันตกของจวนเจิ้นกั๋วกงจุดโคมเอาไว้สว่างไสว คล้ายกำลังเร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำกันอยู่ก็ไม่ปาน
นางสงสัยว่าที่นั่นอาจเป็นเรือนหอของเฉินอิง
จ่างกงจู่สร้างเรือนหอของเฉินอิงใกล้กับพื้นที่ของจวนจ่างกงจู่ ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร?
หวังซีคาดเดาไปกว่าครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้คำตอบอะไร จนกระทั่งถึงวันที่สิบห้าเดือนแปด ทุกคนตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ล้างหน้าล้างตาแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปรวมตัวที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าร่ำไห้อย่างน่าสงสาร ทุกคนได้แต่อดทนแล้วปลอบโยนนาง ทำให้อาหารเที่ยงมื้อนั้นไม่มีอะไรอร่อยเลยแม้แต่อย่างเดียว
แม้นกล่าวว่าอาหารเย็นก็ไปรับประทานที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน แต่เพราะมีบุรุษในบ้านเข้าร่วมด้วย จึงจัดโต๊ะอาหารในลานบ้านแทน
พระจันทร์กระจ่างดวงดาราจึงบางตา ประกอบกับมีโคมไฟดอกบัวรายล้อม ลานบ้านจึงดูสว่างไสวเรืองรอง
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงร่ำไห้ให้ตระกูลซือต่อ ซือจูเองก็ร้องไห้ตามไปด้วย
หย่งเฉิงโหวสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
บุตรชายคนโตของหย่งเฉิงโหวรีบตามไปด้วย
คนที่เหลืออยู่ต่างมองหน้ากัน
นับว่างานเฉลิมฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ล้มเหลวไม่เป็นท่า
หวังซีมองแล้วลอบเบ้ปากไม่หยุด
ยายของนางผู้นี้ ไม่เคยเข้าใจสถานการณ์อะไรเลย
เมื่อกลับถึงเรือน หวังซีถึงได้พบว่าในห้องมีของกองอยู่หนึ่งกองใหญ่ หวังหมัวมัวออกมาต้อนรับนางด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าเฉินให้คนส่งมาให้เจ้าค่ะ ยังบอกด้วยว่าความจริงแล้วควรเอามามอบให้ท่านด้วยตัวเอง แต่วังหลวงเรียกใต้เท้าเฉินกับจ่างกงจู่เข้าวังกะทันกัน เขาไม่มีทางเลือก คงต้องรอให้เขาออกจากวังแล้วค่อยมาเยี่ยมท่านอีกที”
เนื่องจากฮ่องเต้ให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงงดเว้นหน้าที่ดูแลวังหลวง ปีนี้ในวังจึงไม่มีการจัดงานเลี้ยงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ จวนผู้อื่นต่างพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน มีเพียงจวนหย่งเฉิงโหวเท่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ร่ำไห้ถึงตระกูลซือ สงสารซือจู เป็นห่วงว่าต่อไปตระกูลซือจะเป็นอย่างไร ทุกคนต่างหงุดหงิดรำคาญใจจนเหลือจะกล่าว ก็เลยไม่มีอารมณ์และเรี่ยวแรงมาซุบซิบเรื่องของวังหลวงอีก
…………………………………………………………..