ตอนที่ 186 ยากลำบาก
เฉินลั่วเข้าวังกะทันหัน จะเกี่ยวกับเรื่องที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงถูกระงับไม่ให้ทำหน้าที่ดูแลวังหรือเปล่านะ?
หวังซีกังวลเล็กน้อย
เนื่องจากฮ่องเต้ไม่ได้ยกกองพลทองคำให้เฉินลั่วด้วยใจจริง หากบังเอิญเจอเฉินลั่วในวังขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะชักสีหน้าใส่เฉินลั่วหรือไม่ หรืออาจทำให้อารมณ์ที่เดิมสงบลงไปแล้วกลับมาปะทุอีกครั้ง ตัดสินใจสร้างความลำบากต่างๆ ให้เฉินลั่ว
สรุปแล้วก็คือ เมื่อก่อนปฏิบัติกับเฉินลั่วประหนึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวังหลวง บัดนี้เกรงว่าคงจะปฏิบัติกับเฉินลั่วเสมือนอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บแทนเสียแล้ว อย่าพูดถึงความอบอุ่นเลย แม้แต่ความปลอดภัยก็ไม่มี
หวังซีให้หวังสี่นำความไปแจ้งเฉินลั่ว บอกว่าเรื่องในวังสำคัญกว่า ให้เขาเป็นห่วงตัวเองก่อน กลับจากวังหลวงแล้วก็พักผ่อนดีๆ สักตื่นหนึ่ง ด้านนางไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร รอเขามีเวลาว่างแล้วค่อยมาหาก็ยังไม่สาย
หวังสี่รับคำแล้วออกไป
นับตั้งแต่คราวที่ได้ผ่านเหตุการณ์ที่องค์ชายใหญ่ถูกลอบสังหารร่วมกับเฉินลั่วเป็นต้นมา หวังสี่ทำอะไรก็ดูสงบและใจเย็นกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้ได้ยินว่าเขายังได้ผูกมิตรกับองครักษ์ขององค์ชายใหญ่อีกหลายคนที่ตอนนั้นกระจายตัวแล้วก็ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ องค์ชายใหญ่ อย่ามองว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงองครักษ์ เพราะนั่นก็อยู่ภายใต้การปกครองของกองพลส่วนพระองค์เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนล้วนเป็นคนรุ่นหลังของตระกูลขุนนางมือสะอาดสามชั่วโคตรทั้งสิ้น หวังสี่พลันมีเส้นสายเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งชั้นในเวลาอันรวดเร็ว แม้แต่หลงจู๊ใหญ่ยังกล่าวทีเล่นทีจริงว่า หากหวังซีเดินทางกลับสู่จง ไม่สู้มอบหวังสี่ให้เขาใช้งาน ในจิงเฉิงนี้ ตระกูลหวังยังขาดคนเช่นหวังสี่อยู่
หวังซียังเคยใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียดเป็นเวลาเนิ่นนาน รู้สึกว่าถ้าหวังสี่ได้ติดตามอยู่ข้างกายหลงจู๊ใหญ่จริงเขาก็จะได้เรียนรู้ทักษะบางอย่าง ซึ่งดีกว่าติดตามนางไปเป็นสินเจ้าให้นางมากโข และหากหวังสี่ได้รับช่วงต่อจากหลงจู๊ใหญ่ ไม่แน่ว่านางเองก็จะได้อานิสงส์ตามไปด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหวังหมัวมัวจะรั้งอยู่ที่จิงเฉิงกับบุตรชายหรือไม่
ถ้านางต้องการรั้งอยู่ที่จิงเฉิง คนข้างกายของหวังซีก็คงไม่ค่อยเพียงพอแล้ว
ให้หาคนที่จงรักภักดีและมีความสามารถเหมือนหวังหมัวมัวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
หวังซีคิดโน่นคิดนี่วุ่นวายไปหมด ไม่ได้หลับดีๆ เลยตลอดทั้งคืน กว่าจะได้เจอเฉินลั่วอีกครั้ง ก็ผ่านมาสามวันแล้ว
เฉินลั่วบอกนางว่า ที่พวกเขาถูกเรียกตัวเข้าวังเป็นเพราะเทศกาลวันไหว้พระจันทร์วันนั้น ถึงแม้วังหลวงไม่ได้จัดงานเลี้ยง แต่ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังคงเตรียมงานเลี้ยงภายในของครอบครัวเอาไว้งานหนึ่ง ผลปรากฏว่าในงานเลี้ยงดังกล่าว ฮ่องเต้เอาแต่ทำหน้าไม่พอใจ สนใจแต่พูดคุยกับซูเฟยเหนียงเหนียงเท่านั้น ไม่ปรายตามองฮองเฮาเหนียงเหนียงแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ไม่รู้องค์ชายเจ็ดไปฟังผู้ใดยุยงมา โวยวายขึ้นมาว่าต้องการสู่ขอบุตรสาวของอวี๋จงอี้มาเป็นชายา ยังบอกด้วยว่าเพราะเขาไม่ฉลาด จึงอยากแต่งสตรีฉลาดมาเป็นชายา หาไม่แล้วบุตรในอนาคตของเขาคงเบาปัญญาเหมือนเขาหมด
ราชวงศ์ปัจจุบันมีกฎว่า ข้าราชสำนักในไม่ผูกสัมพันธ์กับข้าราชสำนักนอก
องค์ชายแต่งงานกับบุตรสาวของขุนนางใหญ่ ยังเป็นบุตรสาวของเสนาบดีกรมกลาโหม มหาบัณฑิตพระที่นั่งอู่อิงที่ควบคุมกรมกลาโหมอีกด้วย นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน?
อยากให้ฮ่องเต้ลดขั้นของอวี๋จงอี้? หรืออยากให้ฮ่องเต้ปลดองค์ชายหกกันแน่?
“ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนัก” ตอนที่เฉินลั่วกล่าวถ้อยคำนี้ นัยน์ตาเผยความดูแคลนออกมาสายหนึ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับเยียบเย็น กล่าวว่า “ชี้หน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้วต่อว่า กล่าวโทษนางว่าสั่งสอนบุตรไม่ดี จิตใจชั่วร้าย ต้องการใส่ร้ายขุนนางในสภาอย่างอยุติธรรม กำลังแสดงความไม่พอใจที่ตัวเองถูกระงับไม่ให้ทำหน้าที่ดูแลวังออกมา ฮ่องเต้จึงตะโกนก้องว่าต้องการปลดฮองเฮาเหนียงเหนียง!”
หวังซีปากอ้าตาค้าง พลั้งปากออกไปว่า “นี่ฮ่องเต้ต้องการกล่าวโทษเพิ่มกระมัง? ประชาชนคนทั่วไปยังยึดถือ ‘บุตรชายอกตัญญูถือเป็นความผิดของบิดา บุตรสาวอกตัญญูถือเป็นความผิดของมารดา’ เลย นับประสาอะไรกับองค์ชาย? องค์ชายไม่ดี เกี่ยวอันใดกับฮองเฮาเหนียงเหนียง? นั่นเป็นความรับผิดชอบของฮ่องเต้มิใช่หรือ?”
“ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า” เฉินลั่วแสยะยิ้ม กล่าวว่า “ฮองเฮาแหนียงเหนียงโกรธจนตัวสั่น กล่าวว่า รอวันใดที่เกิดเรื่องกับฟู่หยางแล้วพระองค์ค่อยมาตำหนิหม่อมฉันก็ยังไม่สาย หรือไม่ พระองค์ก็มอบเหล่าองค์ชายให้หม่อมฉันเป็นคนดูแลแทน ทำให้ฮ่องเต้กริ้วจนพูดอะไรไม่ออก ยังเตะขันที ปาข้าวของอยู่ที่นั่นอีกด้วย ฮ่องเฮาเหนียงเหนียงตกใจมาก รีบเชิญมารดาข้ากับชิ่งอวิ๋นโหวเข้าวังไปพูดให้ฮ่องเต้สงบลง…
…มารดาของข้าคิดว่า ไม่เหมาะให้ชิ่งอวิ๋นโหวเข้าวัง เวลานี้ การที่ชิ่งอวิ๋นโหวยังไม่เข้าวัง เรื่องระหว่างฮ่องเต้กับฮองเฮาเหนียงเหนียงก็เป็นแค่เรื่องทะเลาะของสามีภรรยาที่ต่างคนต่างไม่พูดจาด้วยถ้อยคำดีๆ เท่านั้น แต่ถ้าชิ่งอวิ๋นโหวเข้าวัง ราชากับขุนนางมีความต่าง นั่นอาจกลายเป็นเรื่องของแผ่นดินได้ องค์ชายหกกล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ฮองเฮาเหนียงเหนียงในฐานะมารดาเอก ย่อมมีส่วนต้องรับผิดชอบ หากฮ่องเต้ต้องการเสนอปลดฮองเฮา ไม่แน่ว่าอาจมีฝ่ายร้องเรียนกระโดดออกมาสนับสนุนก็เป็นได้ เพราะคิดว่าสิ่งที่ฮ่องเต้ทำมีเหตุผล!”
“เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเข้าวังกับจ่างกงจู่?” หวังซีถาม
เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า “เพื่อไม่ให้เรื่องราวยุ่งเหยิงซับซ้อนไปกว่านี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้พ่อข้าฉวยโอกาสเข้าไปร่วมด้วย พวกข้าจึงบอกกล่าวคนภายนอกว่าถูกเรียกตัวเข้าวัง”
“แล้วตอนนี้ฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง” ถึงแม้หวังซีไม่เคยเจอฮองเฮาเหนียงเหนียงมาก่อน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ทำให้นางอดรู้สึกเห็นใจพระนางไม่ได้
เฉินลั่วกล่าว “ฮองเฮาเหนียงเหนียงเองก็ไม่มีทางเลือก ตอนข้าออกจากวังนางกำลังดึงมารดาข้าไว้พรั่งพรูระบายความอัดอั้น น่าจะไม่มีเรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าตระกูลปั๋วยังไม่ก้มหน้ายอมรับผิด เกรงว่าคราวหน้าคงไม่ใช่แค่เรื่องประณามเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นแล้ว”
ระยะนี้หวังซีได้ติดต่อกับเหล่าสตรีชั้นสูงในจิงเฉิงมามาก ได้ยินเรื่องราวในแวดวงขุนนางเหล่านี้มาก็ไม่น้อย นางจึงพอจะเข้าใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หัวสมองของนางขบคิดอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ใช่เรื่องกองพลขนนกหรือไม่? สองวันก่อนข้าได้ยินฉังเคอพูดว่า เวินจงกำลังเตรียมตัวย้ายไปที่ค่ายเทียนจิน เจียงชวนป๋ออยากให้เขาไปหลบอยู่ที่ค่ายเทียนจินสักพักก่อน รอให้ความจริงเปิดเผยปัญหาคลี่คลายแล้วค่อยกลับมาก็ยังไม่สาย ข้ากำลังคิดว่า คนที่มีทางไปและมีสติปัญญายอดเยี่ยมเหล่านั้นต่างกำลังทยอยย้ายออกไปอยู่รอบนอกแล้วใช่หรือไม่? แม้นกล่าวว่ายกกองพลทองคำให้เจ้าแล้ว แต่ก็อาจมีคนที่คิดเหมือนเจียงชวนป๋อที่รู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัย จึงหาทางย้ายออกไป”
เฉินลั่วกล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “เจ้าช่างฉลาดจริงๆ!”
หวังซีตะลึงงัน
นี่ตนคาดการณ์ถูกต้องหรือ?
เฉินลั่วหันมาพยักหน้าให้หวังซีเป็นการยืนยัน กล่าวว่า “ช่วงนี้ข้ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดมืดค่ำ แม้แต่บ้านยังไม่ได้กลับ ไม่ใช่แค่เพราะเพิ่งมารับช่วงต่อที่กองพลทองคำเท่านั้น แต่เพราะคนมีความสามารถจำนวนมากต่างกำลังหาทางย้ายออกไป ซึ่งฝ่ายคัดเลือกทหารกรมกลาโหมก็ไม่ปฏิเสธคนที่มาแสดงเจตจำนงต้องการย้าย ขอเพียงเจ้าหาที่ไปลงได้ พวกเขาก็ออกคำสั่งย้ายให้ เป็นเหตุให้กรมขุนนางไม่พอใจกรมกลาโหมเป็นอย่างมาก แต่ทั้งสองกรมก็ไม่กล้าเอาคดีความนี้ไปเสนอถึงหน้าบัลลังก์ ได้แต่ส่งคนมาวุ่นวายกับข้าทุกวัน…
…ข้าคิดว่าโดยมากแล้วฮ่องเต้น่าจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้…
…เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะย้ายคนจากกองพลใดเข้ามาแทนที่?…
…แม้นกล่าวว่ากองพลทองคำทั้งสี่อยู่ในมือข้าทั้งหมด ทว่าแต่ละคนต่างมีความคิดของตัวเอง”
หวังซีกังวลใจยิ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร ไม่อย่างนั้น เจ้าลองดูว่ามีใครบ้างที่ต้องรั้งเอาไว้ให้ได้ แล้วเชิญพวกเขาไปกินข้าวสักมื้อสองมื้อ ดื่มสุรากันสองสามจอก ดูว่าพวกเขามีความยากลำบากอะไร โดยมากก็เป็นเรื่องที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ หากเป็นเรื่องที่ใช้เงินแก้ไม่ได้ เจ้าก็ปล่อยพวกเขาไปก็แล้วกัน ถือเสียว่าไร้วาสนาต่อกัน”
เฉินลั่วมองท่าทางของนางที่แสดงความหมายออกมาว่า ‘สิ่งที่พวกเรามีคือเงิน’ ในระหว่างที่นางกำลังพูด มันดูหยิ่งทะนงเหลือจะกล่าว แต่ในสายตาของเฉินลั่วมันกลับดูน่ารักน่าเอ็นดู และน่าขบขันยิ่ง เขาหัวเราะเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ ยังกล่าวเย้านางด้วยว่า “ข้าหาใช่เจ้า ข้ายังขาดเงินทองอีกมาก ไม่กล้าคิดและไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก!”
หวังซีกล่าว “เช่นนั้นเจ้ามากู้ยืมเงินจากบ้านพวกข้าได้ พี่ชายใหญ่ของข้าผู้นี้ใจกล้าและตรงไปตรงมาเป็นที่สุด ย่อมไม่คิดดอกเบี้ยจากเจ้าแพงแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจช่วยคิดหาทางออกให้เจ้าได้ด้วย”
ท่านปู่นางเคยบอกว่า ไม่มีมิตรแท้ที่ถาวร แต่มีผลประโยชน์ที่ยืนยง หากเฉินลั่วยืมเงินจากบ้านพวกเขา เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่านางช่วยเหลือเขาแล้ว ก่อนที่เขาจะคืนเงินพวกนาง เขากับตระกูลหวังของพวกนางก็ถือเป็นคู่ค้าที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ยากที่ทั้งสองฝ่ายจะแตกหักกันเพียงแค่การตบเบาๆ ครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วหัวเราะอย่างเคืองๆ กล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเหมือนคนกลางที่กำลังโน้มน้าวให้ข้ากู้เงินดอกเบี้ยสูงเหล่านั้นเลยเล่า? เจ้าคงไม่ได้คิดเอาเปรียบอะไรข้าหรอกกระมัง”
หวังซีได้ยินแล้วขลาดกลัวเล็กน้อย แสร้งแสดงสีหน้าท่าทางไม่พอใจออกมากล่าวว่า “เจ้ามีอะไรควรค่าให้ข้าต้องคิดเอาเปรียบด้วย? เจ้าอย่าลืมว่า ข้าเป็นคนออกเงินจ้างจอมยุทธ์รับจ้างที่อยู่ข้างกายเจ้าเหล่านั้น นี่ก็ใกล้จะครบอีกหนึ่งเดือนแล้ว ได้ยินว่าพวกเขายังไม่ได้ออกจากเมืองหลวง นี่ต้องการจะจ้างต่ออีกสักระยะหรือ เช่นนั้นต้องทำหนังสือสัญญาฉบับใหม่ถึงจะใช้ได้”
“ไม่ต้องแล้ว!” เฉินลั่วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อยว่า “ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจมาอยู่กับข้า คนที่เข้ากองพลทองคำได้ ระหว่างนี้ก็ให้เข้ากองพลทองคำไปก่อน ส่วนที่เข้ากองพลทองคำไม่ได้ ก็ให้เป็นผู้ติดตามของข้าไปก่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยรายเดือนให้พวกเขาแล้ว” กล่าวถึงตรงนี้ เขาปรายตามองหวังซีครั้งหนึ่ง “ยังมีคนคิดจะแนะนำสหายหรือไม่ก็พี่น้องร่วมสำนักของพวกเขามาด้วย ข้าบอกว่าต้องเป็นคนดี วรยุทธ์ดี และต้องให้ข้าดูก่อน หากรู้สึกว่าใช้ได้ถึงเข้ามาได้”
ดูเจ้าคนใจแคบผู้นี้ ไหนเลยจะยังมีความหยิ่งทะนงเหมือนที่เจอตอนแรกๆ นั่นอีก
หวังซียู่ปาก
และนับตั้งแต่ออกมาจากเรือนหวังซี ดวงหน้าของเฉินลั่วก็ยังประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ เป็นเหตุให้เฉินอวี้ต้องมองเขาเพิ่มอีกหลายครั้ง
เขาอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับข้ามีปัญหาหรือ”
เขาคงไม่ได้สงสัยว่าตนไม่ได้ล้างหน้าหรอกกระมัง?
ต่อให้เขาไม่ได้ล้างหน้า เฉินอวี้ก็ไม่น่าจะแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา
เฉินอวี้ก้มหน้าลง กล่าวติดๆ กันว่า “ไม่มีขอรับ” หาคำพูดหนึ่งมาอธิบายพอเป็นพิธีให้ผ่านพ้นไป
เมื่อกลับมาถึงห้อง เฉินลั่วเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปที่กระจกบนโต๊ะโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้เห็นสภาพของตัวเองได้อย่างชัดเจน
เหตุใดเขาถึงยิ้ม? มีเรื่องอะไรให้ดีใจ? รอยยิ้มนั่น แผ่ซ่านออกมาจากหัวใจ แค่มองก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงอารมณ์เบิกบานของเขา
ไม่แปลกที่เมื่อครู่เฉินอวี้มองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น
เขาเองก็ไม่เคยเห็นสภาพเช่นนี้ของตัวเองมาก่อน
เพราะไปเจอหวังซีมาอย่างนั้นหรือ?
รอยยิ้มในตาของเฉินลั่วค่อยๆ เหือดหายไป นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและคมปลาบแทน
ด้านหวังซีกลับได้รับเทียบเชิญจากคุณหนูพาน เชิญนางกับฉังเคอไปเป็นแขกที่บ้าน
โหวฮูหยินเป็นคนนำเทียบมาส่งให้ ยังบอกพวกนางอ้อมๆ ว่า “สถานที่ค่อนข้างคับแคบ ตระกูลหลิวก็ใกล้จะมาวางของหมั้นแล้ว จึงไม่ทำเอิกเกริก เชิญเพียงพวกเจ้าสองคนไปแสดงความยินดีกับบ้านใหม่เท่านั้น”
อีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ใช่แค่ฉังเหยียน แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่า ซือจู นายหญิงรอง นายหญิงสามและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้รับเทียบเชิญ
บางทีอาจเป็นเพราะตระกูลพานไม่อยากใกล้ชิดสนิทสนมกับจวนหย่งเฉิงโหวมากเกินไป?
ทั้งสองคนคาดเดา พยักหน้ายิ้มๆ ไปเป็นแขกที่บ้านตระกูลพานด้วยกัน
บ้านที่ตระกูลพานเช่าห่างจากจวนหย่งเฉิงโหวโดยใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วยาม แม้นเป็นบ้านสองทางเข้าที่ไม่ใหญ่นัก แต่ต้นไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์ เก็บกวาดได้สะอาดสะอ้าน ตำแหน่งที่ตั้งดีมาก ค่อนข้างใกล้สำนักศึกษาหลวง พานฮูหยินบอกว่า เมื่อคุณหนูพานแต่งงานออกไปแล้ว คุณชายพานยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อได้
คุณหนูพานได้ยินแล้วหน้าแดงเรื่อ ดึงหวังซีกับฉังเคอไปแอบคุยกันในห้องชั้นใน บอกพวกนางว่า งานแต่งของนางก็อาจจะถูกกำหนดเป็นเดือนสิบเอ็ดเช่นกัน “มารดาข้าอยู่ที่นี่นานนักไม่ได้ ข้าออกเรือนเร็ว มารดาของข้าก็จะได้เดินทางกลับไปดูแลบิดาข้าเร็วขึ้น”
นางกังวลใจเล็กน้อยว่างานแต่งของตนจะเป็นวันเดียวกับงานแต่งของซือจู ถึงเวลาสตรีจวนหย่งเฉิงโหวย่อมไปส่งซือจูออกเรือนกันหมด
ที่จิงเฉิงตระกูลพานไม่ค่อยมีแขกเหรื่อเท่าไรนัก หากสตรีจวนหย่งเฉิงโหวไม่มาร่วม คงจะเหงาหงอยอย่างหลีกเลียงไม่ได้
หวังซีไม่ใส่ใจนัก กล่าวว่า “ถึงเวลาข้าย่อมมาร่วมงานของเจ้า เลวร้ายที่สุดก็เชิญหลงจู๊ของร้านพวกข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
ส่วนฉังเคอ เบื้องบนของนางยังมีผู้อาวุโสอยู่ หวังซีไม่อาจตัดสินใจแทนนางได้
………………………………………………………………..