คุณหนูพานเองก็รู้ดีว่าฉังเคอกับหวังซีนั้นไม่เหมือนกัน แค่นี้นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนักแล้ว จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอก ข้าอยากออกเรือนอย่างมีความสุขมากกว่า”
เพราะฉะนั้นงานแต่งไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนคนมากน้อย แต่คนที่มาส่งออกเรือนควรเป็นคนสนิทที่มาส่งด้วยความจริงใจถึงจะดี
เมื่อเอาใจเขามาใส่ใจเราดูแล้ว ฉังเคอเข้าใจความหมายของนางดี ลอบตัดสินใจว่าหากงานแต่งทั้งสองงานจัดวันเดียวกันจริงๆ เช่นนั้นนางจะมาส่งคุณหนูพานออกเรือน
ด้านซือจู ย่อมมีคนยินดีไปร่วมงานเลี้ยงของนางอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นบ้านรอง
บางทีอาจเป็นเพราะตอนที่นายหญิงรองลอบฉกฉวยเอางานแต่งของคุณชายสี่ฉังไปนั้น โหวฮูหยินกล้ำกลืนฝืนทนไม่ปริปากว่าอะไร และตอนที่นางฉกเอางานแต่งของฉังเคอไปก็ไม่มีความละอายใจเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีการคิดบัญชีหลังเก็บเกี่ยว โหวฮูหยินกับบ้านสามร่วมมือกันกดทับบ้านรองทุกเรื่อง
วันเวลาของบ้านรองไม่ราบรื่นนัก จึงไปประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ
วันที่ซือจูออกเรือน อาจจะขาดใครไปก็ได้ แต่บ้านรองต้องไปเป็นเกียรติให้ซือจูอย่างแน่นอน
ฉังเคอคิดว่าต่อให้มารดาของนางต้องเชื่อฟังฮูหยินผู้เฒ่าเนื่องด้วยหลักความกตัญญู แต่นางไม่มีทางไปร่วมความวุ่นวายนั้นด้วยอย่างแน่นอน
หวังซีกับฉังเคอยังได้ไปดูสินเจ้าสาวของคุณหนูพานด้วย
ตระกูลพานเองก็รักใคร่บุตรสาว สินเจ้าสาวจำนวนสามสิบหกคนหามที่เตรียมให้คุณหนูพานนั้นบรรจุของเอาไว้จนเต็ม แน่นจนสอดมือเข้าไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังมีร้านค้าที่ประตูซีจื๋อของจิงเฉิงอีกหนึ่งร้านด้วย
ฉังเคอชื่นชมปนอิจฉา กล่าวว่า “ช่างมากมายยิ่งนัก!”
ถึงแม้นางเองก็มีสินเจ้าสาวไม่น้อย แต่นางไม่มีสินเจ้าสาวอย่างร้านค้าที่ประตูซีจื๋อ
คุณหนูพานปลอบโยนนางว่า “สตรีดีไม่พึ่งสินเจ้าสาว คุณชายเวินมีความสามารถปานนั้น เจ้าจงวางใจแต่งออกออกไปรอวันมีความสุขเถิด! ต่อไปพวกเจ้าย่อมมีทุกอย่างแน่นอน”
แม้นหวังซีตั้งใจจะเติมสินเจ้าสาวให้ฉังเคอ แต่คิดเอาไว้ว่าจะแอบให้ฉังเคอเงียบๆ ตอนนางออกเรือน เวลานี้จึงยังไม่ได้บอกอะไรสักคำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกนางกลับถึงจวนหย่งเฉิงโหว กลับได้ยินว่าระหว่างทางที่ถูกควบคุมตัวกลับจิงเฉิงนั้นจู่ๆ ตระกูลซือก็กล่าวหาองค์ชายรองว่าองค์ชายรองเป็นคนสั่งการให้ชิ่งอวิ๋นโหวลอบสังหารองค์ชายใหญ่
หวังซีได้ยินข่าวนี้ตอนที่นางเพิ่งล้างหน้าล้างตาและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดอยู่บ้านเสร็จใหม่ๆ กำลังนั่งดื่มชาอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง
นางเบิกดวงตากว้างด้วยความตกใจ รีบวางจอกชาลงสอบถามว่าข่าวคราวนี้เชื่อถือได้หรือไม่
คนที่มารายงานนางคือหวังหมัวมัว นางพยักหน้าพลางกล่าว “เป็นข่าวที่เชื่อถือได้เจ้าค่ะ ผู้ติดตามอยู่ข้างกายท่านโหวเป็นคนบอกมา ว่ากันว่าข่าวแพร่กระจายไปทั่วทั้งจิงเฉิงแล้ว ท่านโหวยังไม่ออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าเลยเจ้าค่ะ!”
หวังซีไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้าซือบ้าไปแล้วกระมัง คำพูดเหลวไหลเช่นนี้ ไม่กลัวถูกสำเร็จโทษทั้งตระกูลหรืออย่างไร”
กล่าวหาองค์ชายคือการหมิ่นเบื้องสูง ต่อให้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็อาจต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน
และเห็นๆ อยู่ว่าคนที่หมายสังหารองค์ชายคือฮ่องเต้ ตระกูลซือปั้นหลักฐานลวงขึ้นมา
หวังหมัวมัวถอนหายใจกล่าวว่า “บางที ตระกูลซืออาจคิดว่าไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่านี้แล้ว มิสู้ลองเสี่ยงหาทางเอาชีวิตรอด ดึงองค์ชายรองเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เดิมพันกันสักตั้งหนึ่ง”
หวังซีไม่แสดงความคิดเห็น
หวังหมัวมัวกล่าว “ได้ยินผู้ติดตามของท่านโหวเล่าว่า ใต้เท้าซือบอกกับเจ้าหน้าที่คุ้มกันตัวว่า เดิมทีตระกูลซือเพียงอยากให้คุณชายรองเฉินหลีกทางให้คุณชายใหญ่เฉินเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดจะลอบปลงพระชนม์องค์ชายใหญ่ คนที่ได้รับการไหว้วานไปบังเอิญเจอกับคนที่ตระกูลปั๋วส่งไปลอบปลงพระชนม์องค์ชายใหญ่พอดี ทั้งสองตระกูลพบกันกลางดึกโดยไม่คาดคิด ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มาช่วยชีวิตคนที่ฝ่ายตนต้องการสังหาร ถึงได้เกิดการต่อสู้ขึ้นมา กระทั่งได้ยินทหารเหล่านั้นพูดกันโดยบังเอิญว่าหากครั้งนี้ปลงพระชนม์องค์ชายใหญ่ไม่สำเร็จ ทุกคนอย่าได้คิดจะมีชีวิตรอดกลับไป ถึงได้รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจผิด…
…ตระกูลปั๋วเป็นตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายรอง ที่ผ่านมาไม่มีความขุ่นแค้นใดกับองค์ชายใหญ่ ต้องเป็นเพราะองค์ชายรองเห็นว่าองค์ชายใหญ่กำลังจะได้รับแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ ถึงได้สั่งการให้ชิ่งอวิ๋นโหวสังหารคนเสีย…
….ใต้เท้าซือผู้นั้นยังเขียนฎีกาขออภัยโทษ บอกว่าตัวเองไม่ควรปล่อยให้จิตใจถูกครอบงำ จนบังเกิดความคิดต้องการสังหารคน เขาไม่ได้วางแผนลอบปลงพระชนม์ทายาทของราชวงศ์จริงๆ แล้วก็ไม่กล้าคิดเช่นนั้นด้วย ขอฮ่องเต้ทรงตรวจสอบให้กระจ่าง อย่าให้มิตรโกรธแค้น ศัตรูมีความสุข!”
“ช่างไร้ยางอายจริงๆ!” เดิมหวังซีแค่อยากลองฟังเรื่องราวดูสักหน่อยเท่านั้น บัดนี้กลับโกรธจนต้องลุกขึ้นมา กล่าวว่า “ไฉนเพราะเฉินลั่วขวางทางตระกูลพวกเขา จึงสมควรถูกสังหาร แต่องค์ชายใหญ่เป็นทายาทของราชวงศ์ จึงเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปได้ ข้าโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเท่าตระกูลซือมาก่อน เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ไม่แปลกที่เขาจะกล้ากล่าวโป้ปดได้ทุกอย่าง!”
หวังหมัวมัวได้ยินแล้วก็พอจะฟังความหมายอะไรออกบ้าง
การวางแผนลอบปลงพระชนม์ทายาทราชวงศ์มีโทษประหารถึงเก้าชั่วโคตร แต่หากเป็นการสังหารเฉินลั่ว กลับเป็นแค่การวางแผนลอบสังหารบุตรชายของขุนนาง ความผิดทางอาญาเทียบกันไม่ติดเลย
ตระกูลซือผลักเรื่องนี้ไปที่เฉินลั่ว ไม่ว่าฝ่ายร้องเรียนจะว่าอย่างไร อย่างน้อยก็ทำให้โทษเบาบางลงไปมาก
คิดๆ ดูแล้ว ตระกูลซือช่างสลัดความผิดให้ตัวเองเก่งนัก
หวังหมัวมัวถาม “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี จะยืนดูตระกูลซือพ้นผิดไปเฉยๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ เช่นนั้นมิเท่ากับว่าใต้เท้าเฉินเสียเปรียบแย่หรอกหรือ”
“อาจไม่ถึงขนาดนั้น” หวังซีพึมพำกล่าว “องค์ชายใหญ่กับใต้เท้าเฉินเป็นพยานบุคคล ขอเพียงองค์ชายใหญ่กับใต้เท้าเฉินยืนกรานว่าเรื่องราวมิได้เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างย่อมไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตระกูลซือพูด”
นับตั้งแต่ที่หวังสี่กลับมา หวังหมัวมัวได้ฟังเรื่องของเฉินลั่วมาไม่น้อย นางค่อนข้างซาบซึ้งที่เฉินลั่วช่วยปกป้องหวังสี่ พอได้ยินแล้วก็ร้อนใจขึ้นมา กล่าวว่า “ให้หวังสี่ไปรายงานให้ใต้เท้าเฉินทราบเอาไว้ดีหรือไม่ เรื่องเช่นนี้ ย้ำเตือนเพิ่มอีกสักสองประโยคย่อมไม่เสียหายเจ้าค่ะ”
หวังซีครุ่นคิดตามแล้วพยักหน้า กล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนหวังสี่ช่วยไปรายงานให้สักครั้งหนึ่ง”
หวังหมัวมัวรับคำแล้วออกไป
ฉังเคอพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน หลังจากไล่สาวใช้ที่นำน้ำชาและของว่างมาให้ออกไปแล้วก็กระซิบถามนางเกี่ยวกับเรื่องที่ตระกูลซือกล่าวหาองค์ชายรอง “…เจ้าทราบเรื่องหรือยัง?”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ
ฉังเคอจึงกระซิบกระซาบกับนางว่า “ตระกูลซือช่างใจกล้าเกินไปแล้ว ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวสั่งเคลื่อนกองพลขนนก แต่เจ้าดูคนเหล่านั้น ทุกคนต่างเสมือนคนหูหนวกตาบอด เรื่องเช่นนี้หากจู่โจมไม่สำเร็จในหนึ่งครั้งก็จะถูกโจมตีกลับแทน ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาความกล้ามาจากที่ใด”
อาจได้มาจากฮ่องเต้กระมัง?
หวังซีฟังแล้วหัวใจกระตุก
เดิมทีการลอบสังหารองค์ชายใหญ่กับเฉินลั่วก็เป็นการกระทำที่มีเจตนาแอบแฝงอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าเรื่องที่ตระกูลซือกล่าวหาองค์ชายรองก็เป็นข่าวที่ฮ่องเต้ปล่อยออกมาก็เป็นได้?
หาไม่แล้วในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ข่าวจะแพร่กระจายจนดูเหมือนว่าคนทั่วทั้งจิงเฉิงต่างทราบเรื่องกันหมดแล้วได้อย่างไร
หวังซีลอบกระวนกระวายใจ
หากฮ่องเต้มีพระประสงค์เข้าข้างตระกูลซือ ไม่แน่ว่าตระกูลซืออาจจะรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้จริงๆ ก็เป็นได้
สงสารก็แต่เฉินลั่ว ถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ทว่ากลับไม่มีที่ให้ไปอุทธรณ์ได้แม้แต่ที่เดียว
ฉังเคอกล่าวด้วยอาการขัดเขินเล็กน้อยว่า “คุณชายเวินให้พวกเราระมัดระวังตัว อยู่ให้ห่างจากคุณหนูซือเอาไว้เป็นดีที่สุด พ่อกับแม่ของข้าหารือกันแล้วว่าตอนที่คุณหนูซือออกเรือน บ้านพวกข้าจะหาข้ออ้างไม่ไปร่วมงาน”
หวังซีพยักหน้าด้วยอาการใจลอย ในใจรู้สึกเป็นห่วงเฉินลั่วมากยิ่งขึ้น
หวังสี่ที่ไปหาเฉินลั่วก็ไม่ได้เจอตัวเฉินลั่ว ยังบอกด้วยว่า “หลิวจ้งเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าใต้เท้าเฉินไปที่ใดขอรับ”
“จอมยุทธ์รับจ้างเหล่านั้นเล่า?” หวังซีถามอย่างร้อนใจ
หวังสี่ตอบด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “บัดนี้พวกเขาเป็นคนของใต้เท้าเฉินแล้ว จึงไม่อาจเปิดเผยตำแหน่งแห่งที่ของใต้เท้าเฉินขอรับ!”
พวกเขาติดตามเฉินลั่วทุกคน?
นี่นับเป็นการขนหินทับเท้าตัวเองหรือไม่นะ?
หวังซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
เฉินลั่วในเวลานี้กลับถูกองค์ชายใหญ่เรียกตัวไปพบที่จวนของเขา
ในบรรดาองค์ชายของฮ่องเต้นั้น มีเพียงองค์ชายใหญ่ที่เสกสมรสและมีจวนเป็นของตัวเอง ส่วนองค์ชายพระองค์อื่นๆ ยังคงประทับอยู่ในวังหลวง
ก่อนหน้านี้เฉินลั่วสั่งปูจากร้านทักษิณาจดอุดรพาณิชเอาไว้ ตั้งใจนำไปส่งให้หวังซี ทว่าระหว่างทางกลับถูกองค์ชายใหญ่เรียกตัวมาพบที่นี่
เขากล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “บัดนี้พวกเราเปรียบเสมือนโคมไฟแดงเด่นสองดวงกลางดึกที่ทุกคนต่างจับจ้อง คิดจะทำสิ่งใดล้วนขยับตัวได้ยาก มีธุระอันใดที่เจ้าไม่อาจส่งใครสักคนไปหาข้า จำเป็นต้องลากข้ามาหาเจ้าที่นี่ให้ได้? เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะไม่รู้อย่างนั้นหรือ เจ้าลองดูองครักษ์ของเจ้าอีกครั้ง ยังเหลือคนจงรักภักดีอยู่อีกสักกี่คนกัน?”
องค์ชายใหญ่ยิ้มขื่นพร้อมกับพูดว่า “ข้ารู้” สองสามประโยคพอเป็นพิธี จากนั้นกล่าวเข้าเรื่องทันทีว่า “เจ้าคงได้ยินเรื่องของตระกูลซือแล้ว ข้าไม่สนใจว่าฮ่องเต้มีแผนการอะไร ไม่สนว่าตระกูลซือทำเพื่อสลัดความผิดให้พ้นตัวหรือได้รับการชี้แนะจากผู้ใดมา เจ้าต้องช่วยข้าจับตาดูคนไปฟ้องศาลผู้นั้นเอาไว้ให้ดี การสังหารเจ้ากับสังหารข้าไม่เหมือนกัน หากแม้แต่ตระกูลซือข้ายังจัดการไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าผู้อื่นจะมองข้าอย่างไร!”
เฉินลั่วฟังแล้วกล่าวตัดบทคำพูดของเขาอย่างสบายๆ ว่า “หากฮ่องเต้เชื่อคำพูดของเขาเล่า?”
องค์ชายใหญ่โกรธจัด กล่าวว่า “ข้ายังไม่ตายนี่!”
เฉินลั่วมององค์ชายใหญ่ครั้งหนึ่ง
เจ้าเข้าวังไปคุยกับฮ่องเต้เองก็ได้แล้ว มาบอกข้ามีประโยชน์อันใด
เขากล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “แทนที่เจ้าจะมาเดือดดาลอยู่ที่นี่ ไม่สู้เจ้าหาวิธีไปเยี่ยมเยือนชิ่งอวิ๋นโหวดีกว่า? บัดนี้พวกเจ้าถือเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ที่ฮ่องเต้เล่นงานพวกเราเพื่ออันใดเล่า? ยามที่สมควรให้ผู้อื่นช่วยออกหน้าเจ้าก็ต้องให้ผู้อื่นช่วยออกหน้าให้ ยามใดที่เจ้าควรออกหน้าเองเจ้าค่อยออกหน้าเอง หากแม้แต่เรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจ ก็ถือโอกาสเปลี่ยนผู้ช่วยเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า”
องค์ชายใหญ่ถามอย่างประหลาดใจว่า “เมื่อก่อนข้าไม่ค่อยได้สุงสิงกับเจ้า เจ้าเพิ่งจะเป็นเช่นนี้หรือว่าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด? ปากคอเราะร้0ายเสียจริง!”
เฉินลั่วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ กล่าวว่า “เจ้าแค่บอกมาว่าที่ข้าพูดถูกต้องหรือไม่ก็พอกระมัง จะสนใจมากมายไปเพื่ออันใด”
ความจริงเขาเองก็รู้สึกเหมือนกัน
นับตั้งแต่ที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย เขาอารมณ์ร้อนขึ้นมาก มีท่าทีค่อนไปทางข้าจะเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้อยู่เล็กน้อย
องค์ชายใหญ่ปวดเศียร สนทนากับเฉินลั่วอย่างไม่จืดชืดแต่ก็ไม่มีรสชาติอีกสองสามประโยคถึงได้ยกชาขึ้นเป็นการส่งแขก
เพียงแต่ว่าพอเฉินลั่วออกไป ผู้ช่วยที่หลบอยู่หลังฉากกั้นก็เดินออกมา กล่าวชมกับองค์ชายใหญ่ว่า “เมื่อก่อนผู้อื่นต่างพูดกันว่ายามเห็นใต้เท้าเฉินคนเล็กอย่าเอาแต่สนใจใบหน้าหล่อเหลาของเขาเพียงอย่างเดียว ซึ่งเขาก็มีความสามารถจริงๆ เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวดังกล่าวไม่เกินจริงเลยแม้แต่ครึ่งเดียว แทนที่พวกเราจะกระโดดออกไปกล่าวโจมตีตระกูลซือในเวลานี้ ไม่สู้รอให้ถึงตอนที่ตระกูลปั๋วสู้กลับแล้วพวกเราค่อยกระโดดออกไปก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายใหญ่พยักหน้า ทอดถอนใจกล่าวว่า “บางคนไม่อาจเป็นสหายสนิทกันได้จริงๆ ฝีปากของเฉินลั่วคมเกินไป”
ผู้ช่วยกลุ้มใจ ไม่รู้จะโน้มน้าวองค์ชายใหญ่อย่างไรดี
ขณะนี้มิใช่แค่องค์ชายใหญ่เท่านั้น ทั่วทั้งจิงเฉิงต่างก็จับตาดูองค์ชายรองกับจวนชิ่งอวิ๋นโหวเช่นกัน
องค์ชายรองประทับอยู่ในวัง จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนจวนชิ่งอวิ๋นโหวมิได้เต็มไปด้วยความเดือดดาลอย่างที่พวกเขาคิดกัน แล้วก็ไม่ได้พยายามปิดข่าวนี้ด้วย ตรงกันข้ามพวกเขาเขียนฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษด้วยความลิงโลด บอกว่าพวกเขาไม่มีเจตนาลอบปลงพระชนม์องค์ชายใหญ่ แต่เป็นเพราะเชื่อข่าวลือ เข้าใจว่าองค์ชายใหญ่ถูกกบฏล้อมสังหาร นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘ในสนามรบแม่ทัพไม่ต้องรอรับคำสั่งจักรพรรดิ’ ด้วยความร้อนใจจึงพาทหารกองพลขนนกเร่งตามไป ส่วนแผนก่อกบฏอะไรอย่างที่ตระกูลซือกล่าวหานั้นล้วนไม่เป็นความจริง
ส่วนเรื่องที่ว่าได้ยินข่าวลือจากที่ทหารพูดกันโดยบังเอิญอะไรนั้น ล้วนเป็นการกุเรื่องขึ้นมาทั้งสิ้น
ถ้ามิใช่เพราะกองพลขนนกเร่งตามไป องค์ชายใหญ่กับเฉินลั่วคงจากไปนานแล้ว หากฮ่องเต้ไม่เชื่อก็ทรงเรียกตัวทั้งสองคนเข้าวังไปสอบถามได้
เรื่องอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้ล้วนไม่กล่าวอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว
จวนชิ่งอวิ๋นโหวตำแหน่งสูงส่งอำนาจมากล้น แต่ทำเพียงต่อว่าไม่กี่ประโยคโดยไม่คิดโจมตีกลับอย่างนั้นหรือ
…………………………………………………………………..