บทที่ 203 กลับหมู่บ้าน

บทที่ 203 กลับหมู่บ้าน

เพราะมีพาหนะ อู๋ฝานและคณะจึงเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มต้องเดินทางจากหมู่บ้านเร้นลับหนึ่งวันกว่าจึงจะมาถึงเทศมณฑลชิงหยวน ทว่าครั้งนี้การเดินทางกลับหมู่บ้านเร้นลับใช้เวลาเพียงแค่เกือบวันเท่านั้น

เมื่ออู๋ฝานและคณะมาถึงหมู่บ้านเร้นลับ ทั้งหมู่บ้านก็คึกคักขึ้นมา

เดิมหมู่บ้านเร้นลับมีคนเพียงแค่สิบคน ทว่าขณะนี้ปรากฏคนเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย ทำให้ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

“พวกเจ้าไปที่ป่าทางด้านนั้น ตัดต้นไม้บางส่วนมาสร้างเป็นบ้านแบบง่าย ๆ ก็แล้วกัน” อู๋ฝานบอกกับหนิวเอ้อและพรรคพวก “จำเอาไว้ว่าต้องระวังตัวด้วย ที่นี่มีพวกสัตว์ป่า ทว่าด้านนอกก็ไม่อันตรายจนเกินไปนัก”

พวกหนิวเอ้อไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย เพียงแค่ดีกว่าชาวไร่ชาวนาทั่วไปก็เท่านั้น ด้วยอาวุธที่ให้พวกเขาไว้ใช้ป้องกันตัวตอนออกไปตัดไม้ มันก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ไม่ได้รับอันตราย

ส่วนสาเหตุที่ขอให้พวกเขาไปตัดไม้ที่ป่าตรงหน้าหมู่บ้านแทนที่จะเป็นด้านหลังของภูเขา ก็ย่อมเป็นเพราะว่าด้านหลังของภูเขาคือทรัพย์สินของอู๋ฝาน ดังนั้นจึงต้องใช้พวกมันให้น้อยที่สุด

หนิวเอ้อและพรรคพวกรับคำสั่งไปจัดการ แม้กระทั่งเด็กชายตัวน้อยก็ติดตามไปด้วย ยกเว้นก็เพียงแต่คนพี่ เพราะอู๋ฝานครุ่นคิดแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิง งานใช้แรงงานเช่นตัดต้นไม้ย่อมไม่เหมาะสม

ดังนั้นอู๋ฝานจึงพาเธอไปพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน การพาคนมาเยือนหมู่บ้านมากมาย ไม่ว่าด้วยเหตุอะไร เขาก็ต้องไปทักทายหัวหน้าหมู่บ้านเสียก่อน

“จะว่าไปแล้ว เหมือนยังไม่ได้ถามชื่อของเจ้ากับน้องชายเลย” อู๋ฝานหันมองเด็กหญิงพลางถาม

“ข้าชื่อว่าลั่วเยวี่ย น้องชายชื่อว่าลั่วหยางเจ้าค่ะ”

“แล้วมาจากที่ไหนกัน?” อู๋ฝานถามต่อ

ระหว่างทาง อู๋ฝานพยายามหาหัวข้อสนทนากับลั่วเยวี่ย เพราะทั้งสองคนกลายเป็นกำพร้าตั้งแต่ยังอายุยังน้อย ชายหนุ่มจึงกลัวว่าสองพี่น้องจะท้อถอย ดังนั้นจึงต้องการพูดคุยให้มากขึ้น เผื่อว่าจะมีหนทางมอบความรู้และสอนอะไรให้กับทั้งสองคน

ทว่าท่าทีของลั่วเยวี่ยค่อนข้างเย็นชาเสียยิ่งกว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เสียอีก เธอแทบจะไม่เป็นฝ่ายออกปากพูดคุยกับอู๋ฝานเลยด้วยซ้ำ และตอนที่ถามคำถาม แม้ว่าเธอจะตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่ก็ยังตอบเพียงแค่ส่วนที่ถามเท่านั้น ไม่มีอื่นใดนอกเหนือจากนั้น

ในไม่ช้าคนทั้งสองก็มาถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ดังนั้นอู๋ฝานจึงหยุดพูดคุยกับลั่วเยวี่ย

ในยามนี้หัวหน้าหมู่บ้านกำลังนอนทอดกายอยู่บนเก้าอี้โยกที่ประตูหน้าบ้าน ตัวโยกไปมาเล็กน้อย เปลือกตาเกือบจะปิดสนิทแล้ว

“ปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ข้ากลับมาแล้วขอรับ” อู๋ฝานเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน

ตอนนี้เองที่หัวหน้าหมู่บ้านลืมตามองตอบอู๋ฝาน “อู๋ฝาน ทำไมเจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้กันล่ะ? เป็นทหารหนีทัพงั้นหรือ? เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เจ้าควรต้องรับใช้กองทัพให้ดี เป็นตัวแทน เป็นหน้าตาของหมู่บ้านเร้นลับของเรา! หากผู้อื่นทราบว่าคนจากหมู่บ้านเร้นลับของพวกเราเป็นคนหนีทัพ ข้าที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน? รีบกลับไป! กลับไปเสีย!!”

หัวหน้าหมู่บ้านถึงขั้นลุกขึ้นมาต่อว่าอู๋ฝานร่ายยาว

“ข้าไม่ใช่คนหนีทัพเสียหน่อย ทางราชสำนักสั่งสิ้นสุดกำหนดการรับใช้กองทัพก่อนกำหนดต่างหากเล่าขอรับ” อู๋ฝานเริ่มอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นบริเวณทุ่งราบรกร้างออกมา “ทางราชสำนักตอนนี้เลือกตั้งป้องกันชาวโลกอสูรแทนแล้ว ช่วงหนึ่งจะไม่เปิดฉากโจมตีฝั่งโลกอสูร ส่วนพวกเราที่รับผิดชอบหน้าที่ขนส่งเสบียงเลยหมดงานให้ทำ เป็นเหตุให้แยกย้ายกันก่อนกำหนด”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ที่ข้าเพิ่งพูดไปว่าเจ้าเป็นคนหนีทัพ ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน ฮ่า ฮ่า!” หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะกลบเกลื่อน

อู๋ฝานทำได้เพียงยิ้มแย้มตอบรับอีกฝ่ายไปตามเรื่อง

หัวหน้าหมู่บ้านค่อนข้างกระดากใจ ขณะนี้จึงหันมองทางลั่วเยวี่ยที่อยู่ข้างกายอู๋ฝานพลางถาม “แล้วนี่เป็นใคร เจ้ารับภรรยาตัวน้อยมางั้นหรือ?”

“พูดอะไรขอรับ! นางเป็นคนรับใช้ที่ข้าซื้อมาต่างหาก” อู๋ฝานอธิบาย “จะว่าไปแล้ว ตอนเดินทางกลับมาครั้งนี้ ข้านำคนกลุ่มหนึ่งมาด้วย พวกเขาเป็นทหารส่วนตัวของข้าเอง ให้อยู่ที่หมู่บ้านคงไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”

“เรื่องนี้…” หัวหน้าหมู่บ้านแสร้งทำเป็นลังเล

“หรือว่ามีปัญหาอะไร…” อู๋ฝานเร่งเอ่ยขึ้น “เรื่องที่หลอกข้าไปยังไม่ทันสะสางนะขอรับ ท่านบอกข้าว่ารับใช้กองทัพเพียงแค่สามเดือน กระทั่งไปถึงจึงได้ทราบว่าเป็นการรับใช้ระยะยาวชั่วชีวิต! พอไปรายงานตัวครั้งหนึ่งแล้ว ภายหน้าก็ต้องไปอีกทุกปีเลยนะ!”

หัวหน้าหมู่บ้านเผยท่าทีกระดากใจออกมาอีกครั้ง เขาบอกเรื่องรับใช้กองทัพกับอู๋ฝานไม่หมดจริงดังเช่นที่ว่า “ตอนนี้เจ้าก็เป็นหนานเจี๋ยคนหนึ่งแล้ว ภายหน้าก็ไม่ต้องรับใช้กองทัพอีก”

“เพราะทำความดีความชอบได้หรอกขอรับ ไม่เกี่ยวกับหัวหน้าหมู่บ้านเลยสักนิด” อู๋ฝานตอบกลับ “เพราะไม่ว่าด้วยอะไร ก่อนเดินทางท่านก็หลอกข้าอยู่ดี”

“ก็ได้ พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันก็ได้” หัวหน้าหมู่บ้านตอบรับ

“มันก็ควรต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วขอรับ” แม้อู๋ฝานตอบเช่นนั้นแต่ก็พึงพอใจ

“เพียงแต่ ในเมื่อเจ้ามีทหารส่วนตัวคอยอยู่เคียงข้าง เช่นนั้นหน่วยป้องกันหมู่บ้านเร้นลับของพวกเรา ก็คงต้องฝากฝังเอาไว้กับเจ้าและทหารของเจ้าแล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทางสีหน้าและแววตา

“รู้อยู่แล้วขอรับ เพราะปู่วางแผนหลอกให้พวกเราอยู่ระยะยาว เมื่อครู่จึงแกล้งทำเป็นจะไม่ให้พวกเราอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไรขอรับ” อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้น

“ก็เมื่อครู่เจ้าพูดเองว่าราชสำนักขอให้แต่ละหมู่บ้านจัดตั้งหน่วยเฝ้าระวังและคุ้มกันพวกกบฏขึ้นมา ข้าก็เลยเดาว่าอีกไม่ช้าคำสั่งคงมาถึง และเจ้าก็ทราบสถานการณ์ของหมู่บ้านเราดี ที่นี่ไม่มีคนหนุ่มสาวอยู่เลยสักคน หากไม่ใช่พวกเจ้า แล้วจะให้คนเฒ่าคนแก่อย่างพวกเราไปเป็นหน่วยเฝ้าระวังหรือยังไง?” หัวหน้าหมู่บ้านตอบกลับ

“แล้วการแสดงฉากเมื่อครู่นี้คืออะไรกัน?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“ก็ข้ากลัวเจ้าไม่ยอมรับภาระนี้ไป” หัวหน้าหมู่บ้านตอบตามตรง

“ตกลงอยู่แล้วขอรับ แต่รบกวนทางหมู่บ้านช่วยสนับสนุนอาวุธและชุดเกราะให้คนของข้าด้วยนะขอรับ” อู๋ฝานตอบกลับ

แม้บอกว่าพวกหนิวเอ้อมีอาวุธกันแล้ว แต่ของเหล่านั้นเป็นอู๋ฝานสร้างขึ้น อาวุธที่เขาสร้างขึ้น ย่อมไม่อาจเทียบได้กับอาวุธที่ช่างตีเหล็กซุนสร้าง ยามนี้เห็นโอกาสให้ฉกฉวยจากอีกฝ่าย มีหรือเขาจะปล่อยผ่านไปโดยง่าย

“ก็ได้ ได้อยู่แล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านตอบรับอย่างไม่ลังเล

หน่วยทหารรักษาการณ์มีอยู่ก็เพื่อความปลอดภัยของหมู่บ้าน หยิบยื่นอาวุธและชุดเกราะที่ดีให้พวกเขา ก็เพื่อการปกป้องหมู่บ้านทั้งสิ้น

หลังตกลงเรื่องราวเรียบร้อย อู๋ฝานจึงไปพบกับพวกหนิวเอ้อ ก่อนจะหาพื้นที่โล่งกว้างในหมู่บ้าน เพื่อให้พวกเขาเริ่มสร้างบ้านกันขึ้นมา

เพราะเป็นเพียงการสร้างบ้านไม้อย่างง่าย จึงใช้เวลาไม่มากนัก ก่อนฟ้ามืด ทุกคนจึงช่วยกันสร้างบ้านไม้สำหรับใช้พักอาศัยกันจนเสร็จเรียบร้อย

อู๋ฝานเดินเข้าไปในบ้านไม้ของตนเอง ก่อนจะเทเลพอร์ตกลับสู่ความเป็นจริง

วันที่สองในโลกแห่งเกม ตอนที่อู๋ฝานออกจากบ้านไม้ พวกหนิวเอ้อก็ตั้งแถววิ่งออกกำลังกายรอบหมู่บ้านเร้นลับกันแล้ว เพราะพวกเขาเคยให้คำมั่นเอาไว้ ตราบเท่าที่ชายหนุ่มรับพวกเขาเป็นทหารส่วนตัว พวกเขาจะไม่เกียจคร้านกับการฝึกซ้อม

ที่ทำอู๋ฝานประหลาดใจ คือการที่ได้เห็นลั่วเยวี่ยกับลั่วหยางในกลุ่มคนด้วย ทั้งสองมีสถานะเป็นคนรับใช้ของจวนอู๋ โดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องเข้ารับการฝึกซ้อมแต่อย่างใด เพียงแค่คอยช่วยดูแลชายหนุ่มให้ดีก็เพียงพอ หาได้นึกไม่ว่าทั้งสองจะเป็นฝ่ายขอเข้าร่วมการฝึกซ้อมช่วงเช้าด้วยตนเอง โดยเฉพาะกับลั่วเยวี่ย ที่ค่อนข้างถือเป็นการฝึกซ้อมหนักสำหรับผู้หญิง

หลังทุกคนฝึกซ้อมช่วงเช้าเสร็จสิ้น อู๋ฝานจึงเรียกพวกเขามารวมตัว “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะสอนเคล็ดวิชาต่อสู้ในกองทัพให้พวกเจ้า เรียกมันว่าวิชายอดศัสตราวุธก็แล้วกัน ขอให้ฝึกฝนอย่างตั้งใจกันด้วย”

ถัดจากนั้น อู๋ฝานจึงมองทางลั่วเยวี่ยและเอ่ยคำ “เจ้าไม่จำเป็นต้องฝึกตามก็ได้นะ”