บทที่ 204 ฝึกซ้อมอย่างหนัก

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 204 ฝึกซ้อมอย่างหนัก

บทที่ 204 ฝึกซ้อมอย่างหนัก

ปัจจุบันพวกหนิวเอ้อได้สมัครเป็นทหารส่วนตัวกันแล้ว อู๋ฝานย่อมต้องการฝึกฝนพวกเขาให้ดี วิชายอดศัสตราวุธเป็นวิชาเพียงหนึ่งเดียวที่ตัวเขามีอยู่ และคิดส่งต่อให้กับพวกหนิวเอ้อ อีกทั้งชายหนุ่มยังวางแผนสอนวิชากระบี่ให้พวกเขาในอนาคตด้วย พูดง่าย ๆ คือเขาต้องการฝึกฝนคนกลุ่มนี้ให้แข็งแกร่งก้าวหน้า ให้มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง

ส่วนทางด้านลั่วเยวี่ย อู๋ฝานคิดว่าวิชายอดศัสตราวุธไม่เหมาะให้ผู้หญิงใช้ฝึกซ้อม เขาจึงไม่อยากให้ลั่วเยวี่ยรับการฝึกพร้อมกับกลุ่มคนแต่อย่างใด

เพียงแต่คำพูดของอู๋ฝาน กลับถูกลั่วเยวี่ยปฏิเสธ

“ทำไมข้าฝึกไม่ได้กันเจ้าคะ?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยคำถามเสียงเย็น “ข้าเองก็อยากเข้าเป็นทหารส่วนตัวของท่าน!”

“ไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ” อู๋ฝานปฏิเสธโดยพลัน

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดจริงเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยตอบรับ

“เจ้าเป็นผู้หญิง ไม่เหมาะจะรับการฝึกซ้อม” อู๋ฝานตอบกลับ

“แม่หนูลั่ว การเข้าร่วมนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ เป็นการฝึกซ้อมจริงจัง มีเรื่องของสงครามและการสู้รบมาเกี่ยวข้อง เป็นกิจของบุรุษ เจ้าควรดูแลนายท่านให้ดีต่างหาก” หนิวเอ้อเผยยิ้มขณะอธิบาย

ลั่วเยวี่ยไม่ตอบคำกลับ เพียงแต่มองอู๋ฝานอย่างหนักแน่น สายตาไม่ไหวติง ราวกับหุ่นไม้อย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมได้เห็นถึงความแน่วแน่ในดวงตาของนาง

“ก็ได้ ฝึกซ้อมไปก็แล้วกัน” อู๋ฝานไม่อาจทนสายตาดังกล่าวได้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกลง

เพียงแต่จากมุมมองของอู๋ฝาน มันเป็นการฝึกที่ค่อนข้างเข้มข้น กระทั่งกับพวกหนิวเอ้อเอง ก็ยังถือว่าโหดร้าย นับประสาอะไรกับเด็กหญิงเช่นลั่วเยวี่ย ที่แม้หนึ่งวันเต็มก็ไม่น่าทนทานรับได้ไหว

อู๋ฝานจึงทำได้เพียงรอคอยนางยอมแพ้ด้วยตัวเอง ในตอนที่ฝึกซ้อมต่อไม่ไหว

เมื่อเห็นว่าอู๋ฝานตอบตกลง สายตาของลั่วเยวี่ยจึงโอนอ่อนลงมาก

ส่วนทางด้านพวกหนิวเอ้อ ขณะนี้พึมพำว่าเด็กผู้หญิงก็แค่อยากเข้าร่วมเพราะเห็นว่าสนุก

ลั่วเยวี่ยได้ยินแต่เมินเฉย ประหนึ่งว่าไม่ได้ยิน

หลังจากนั้น อู๋ฝานจึงเริ่มสอนทุกคนถึงวิชายอดศัสตราวุธที่ได้เรียนรู้มาจากโจวซาน

วิชายอดศัสตราวุธชุดนี้แท้จริงแล้วเรียบง่าย มีกระบวนท่าเคลื่อนไหวไม่มาก ส่วนสำคัญเน้นที่สภาวะ เป็นสภาวะที่มุ่งตรงต่อไปอย่างไร้ซึ่งความกลัว เมื่อใช้ดาบฟาดฟันออกไป ก็ต้องมีสภาวะพร้อมรุก ทั้งเรี่ยวแรงที่มากพอเพื่อสะกดข่ม

หลังสอนทุกคน อู๋ฝานจึงขอให้พวกเขาแยกกันไปฝึกฝน ฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่ากล้ามเนื้อจะขึ้นรูป และประทับกระบวนท่าลงในจิตใจ

เพราะทุกการฟาดฟันดาบจะต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ต้องมีสภาวะพลังที่รุนแรง ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวจะต้องดุดัน คนที่มีพรสวรรค์เช่นหนิวเอ้อฝึกโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็เหงื่อออกแทบท่วมกาย ทั้งขายังเริ่มสั่น

อู๋ฝานไม่คิดปล่อยให้พวกเขาได้พัก สั่งให้อดทนฝึกซ้อมกันต่อไป ตอนนี้การอดทนฝึกซ้อมคือหนทางบรรลุของพวกเขา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความอดทนของพวกเขาให้มากยิ่งขึ้น

หลังฝึกซ้อมอยู่ครึ่งวัน ทุกคนจึงได้พักหายใจ สีหน้าของพวกเขาซีดเผือด มือเจ็บจนไม่มีแม้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยกขึ้นมา

สิ่งที่ทำให้อู๋ฝานต้องประหลาดใจคือความดื้อรั้นของลั่วเยวี่ย แม้ว่านางจะมีสีหน้าซีดเผือดกว่าคนอื่น ขนาดชายหนุ่มเองยังรู้สึกว่าเด็กหญิงพร้อมที่จะเป็นลมทุกชั่วขณะในช่วงที่ฝึกซ้อม แม้แบบนั้นนางกลับไม่ยอมแพ้ ยังคงยืนกรานดื้อรั้นจนถึงปลายทาง

“มากินกันก่อน” อู๋ฝานบอกกับทุกคน

“นายท่าน ตอนนี้ต่อให้ของอร่อยจากทั้งขุนเขาและทะเลมากองอยู่ตรงหน้า ข้าก็ไม่เหลือแรงพอให้กินแล้ว” หนิวเอ้อนอนกับพื้นขณะรำพึงรำพัน

“ใช่ขอรับ เหนื่อยล้าจนไม่เหลือแรงจะถือถ้วยข้าวแล้วด้วยซ้ำ” เจิ้งเสี่ยวลิ่วร่วมเห็นพ้อง

“งั้นหรือ?” อู๋ฝานเผยยิ้มบาง ก่อนจะเปิดถังไม้สองถังที่นำมาด้วย

ขณะนี้เองที่กลิ่นหอมฉุยฟุ้งออกมาจากภายในถังไม้ ทุกคนที่นอนกับพื้นไม่มีเรี่ยวแรงเมื่อครู่ ขณะนี้กลับลุกพรวดกันขึ้นมา

“กลิ่นหอมอะไรอย่างนี้?”

“กลิ่นเหมือนเนื้อ ต้องใช่แน่! จมูกข้าไม่พลาดหรอก”

“กลิ่นหอมเกินไปแล้ว”

ทุกคนเริ่มน้ำลายสอยามกล่าว พร้อมทั้งรับรู้ว่ากลิ่นหอมนั้นมาจากถังไม้ตรงหน้าของอู๋ฝาน เป็นเหตุให้พวกเขาต้องลุกและเร่งร้อนเข้ามารับชม

“น้ำซุปของจริง! น้ำซุปแสนอร่อยเข้มข้น!” หนิวเอ้อเอ่ยด้วยความยินดี

“รสชาติก็ดีนะ” อู๋ฝานเอ่ยคำ

“ใช่ ต้องใช่แน่!” ทุกคนต่างพยักหน้ารับเห็นพ้อง

“ถ้วยอยู่ทางด้านนี้ ตักกินกันเอาเอง ในซุปมีเนื้ออยู่ ไม่ต้องมากมารยาท อยากกินเท่าไหร่ก็กิน อีกถังหนึ่งเป็นข้าว ฝึกซ้อมคือการรีดเรี่ยวแรงออกมา เช่นนั้นก็ต้องมีการบำรุงที่เท่าเทียม กินให้มากเท่าที่อยากจะกินเถอะ” อู๋ฝานกล่าวบอก

แม้ทุกคนไม่เข้าใจคำว่าบำรุงของอู๋ฝาน พวกเขาก็เข้าใจว่าวันนี้กำลังจะได้กินมื้อใหญ่ของจริง ทั่วทั้งปากกำลังจะได้เคี้ยวเนื้อในน้ำซุปเท่าที่อยากกิน หากเชื่อฟังอู๋ฝาน ทุกวันนับจากนี้ก็จะได้กินเช่นนี้เรื่อยไป

เพียงชั่วพริบตาทุกคนจึงเริ่มรู้สึกว่าการฝึกซ้อมอย่างหนักครึ่งวันในช่วงเช้าไม่นับเป็นอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะเหนื่อยล้ากันเพียงใด ตราบเท่าที่มีน้ำซุปเลิศรสเช่นนี้ให้ได้ซดดื่ม ต่อให้ต้องเหนื่อยล้ามากกว่านี้ พวกเขาก็อดทนได้

อู๋ฝานดูกลุ่มคนที่เร่งรีบตักซุปทานพลางเผยยิ้ม ถัดจากนั้นจึงช่วยลั่วเยวี่ยและลั่วหยางตักในส่วนของคนทั้งสองให้

ทั้งสองยังเด็ก และสภาพร่างกายยิ่งต้องควรบำรุงกว่าใครในที่นี้ หลังผ่านพ้นการฝึกซ้อมครึ่งวันช่วงเช้า ขณะนี้คิดให้ลุกยังถือว่าออกจะชวนเหนื่อยล้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ

“ขอบคุณนายท่าน” ลั่วหยางรับน้ำซุปจากมือของอู๋ฝาน ขณะตอบรับอย่างซาบซึ้ง

แท้จริงแล้วตอนที่ลั่วหยางได้กลิ่นหอมของน้ำซุป ปากของเขาแทบท่วมด้วยน้ำลายที่หกออกมา เพียงแต่ตอนแรกเขาเป็นคนรับใช้ ไม่ใช่ทหารส่วนตัวของอู๋ฝาน การดูแลคนรับใช้ย่อมไม่อาจเทียบเปรียบกับทหารส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าตนเองมีคุณสมบัติพอจะได้ซดน้ำซุปนี้หรือไม่

อย่างที่สอง ตัวเขาเหนื่อยล้าจนเกินไป ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ลุกขึ้นจริง ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่มองไม่อาจขยับ

ขณะนี้อู๋ฝานช่วยตักและนำมาให้ ไม่แปลกที่เขาจะเกิดซาบซึ้งขอบคุณ

“กินเถอะ” อู๋ฝานลูบศีรษะอีกฝ่ายพลางตอบ “กินให้มาก ร่างกายของเจ้าผอมบางเกินไปแล้ว”

“อืม! อืม!” ลั่วหยางพยักหน้ารับขณะน้ำซุปยังคงเต็มปาก

ซุปที่มีเนื้อเช่นนี้ เขาไม่ได้ทานมายาวนานหลายปีแล้วด้วยซ้ำ

“นี่ให้เจ้า” อู๋ฝานส่งให้ลั่วเยวี่ยที่อยู่ข้างกันพลางบอก “เจ้าเองก็ต้องกินให้มาก พวกเจ้าทั้งสองคนผอมบางเกินไปแล้ว”

“อืม” ลั่วเยวี่ยพยักหน้ารับก่อนจะตอบเสียงเบา “ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน”

“ถ้าหากอดทนต่อไม่ไหว ก็ขอแค่บอก ไม่ต้องฝืนกล้าจนเกินตัว” อู๋ฝานตอบกลับ

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าทนไหว!” ลั่วเยวี่ยยืนยันหนักแน่น “ข้าต้องการเป็นดาบอันคมกล้าที่สุดข้างกายนายท่าน! ไม่ว่าใครคิดทำร้ายนายท่าน ข้าจะพร้อมสังหารพวกมันโดยไม่ลังเล!”

ในเวลานี้อู๋ฝานถึงกับได้เห็นจิตสังหารอันแรงกล้าจากกายของลั่วเยวี่ย ตอนนี้นางไม่ได้ดูคล้ายเด็กสาวตัวน้อยอีกต่อไป แต่เป็นมือสังหารที่เยือกเย็นถึงที่สุด

“อย่าเพิ่งคิดแล้ว ตอนนี้ข้าสบายดี ใครจะมาทำร้ายกัน” อู๋ฝานหัวเราะตอบ

ลั่วเยวี่ยไม่ตอบคำใดอีก แต่สายตาของนางยังคงหนักแน่นและไม่ลดละในสิ่งที่ยืนกราน โดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นน้องชายดื่มซดน้ำซุปด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ นางยิ่งมีความแน่วแน่อันแรงกล้ามากยิ่งขึ้น