บทที่ 182 ซ่อมแซมเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 182 ซ่อมแซมเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์

บทที่ 182 ซ่อมแซมเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์

ห้วงรัตติกาลมาเยือน ทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความมืดมิด

ลู่หยวนกลับสู่ยอดเขาหอก ขณะกระโจนเข้าสู่ค่ายกล เขาพลันเห็นยันต์ใบหนึ่งลอยตรงเข้ามาหา หลังจากยันต์สัมผัสกับกลิ่นอายของบุตรศักดิ์สิทธิ์ พลังของมันพลันสั่นไหว ก่อนจะปรากฏตัวอักษรงดงามขึ้น

ชายหนุ่มชำเลืองมองสองสามครั้งแล้วเก็บมันไป หลิงอวิ๋นทิ้งยันต์สื่อสารใบนี้เอาไว้ มันรอเขาอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว

มันบอกว่าจู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงอยากเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะ ของที่ลู่หยวนขอให้เตรียมให้ นางเก็บมันไว้ในห้องใต้หลังคาของยอดเขาหอกแล้ว

ช่วงเวลาการบ่มเพาะของหลิงอวิ๋นนั้นมีนัยยะ นางต้องรู้แล้วแน่ ๆ ว่าศิษย์สองคนที่อยู่ในสำนักตัวเองกำลังเข่นฆ่ากันเอง จนหนึ่งในนั้นถึงแก่ความตายในบัดดล

ลู่หยวนไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนางทราบเรื่องนี้เข้า เขาลงมือฆ่าไปแล้ว หลิงอวิ๋นจะมีปัญญาทำอะไรได้?

บุตรศักดิ์สิทธิ์สะกดความคิดเหล่านี้เอาไว้ วันที่จัดการประลองภายในใกล้เข้ามา ถึงเวลาที่ต้องจัดการเรื่องสำคัญแล้ว

เขาหยิบยันต์ออกมา เขียนตัวอักษร ก่อนที่แผ่นกระดาษจะวูบไหว และล่องลอยไปทางยอดเขา

ลู่หยวนก้าวเข้าสู่ห้องโถง

หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ไป๋ชิวเอ๋อร์ก็มาถึงนอกยอดเขาหอกพร้อมถือยันต์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายหนุ่มเอาไว้ในมือ นางมาหาอย่างร้อนรน วิ่งมาหยุดอยู่ที่นอกห้องโถงพร้อมหอบหายใจอย่างรุนแรงจนอกกระเพื่อม จากนั้นค่อย ๆ สูดหายใจเข้า และพยายามระงับความตึงเครียดเอาไว้

นางกำลังบ่มเพาะอยู่ที่ยอดเขา แต่ได้รับยันต์ใบหนึ่งมาจากลู่หยวน บอกว่าให้รีบมาที่ยอดเขาหอกเพื่อฟื้นฟูเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์

ในตอนนั้น หัวใจของไป๋ชิวเอ๋อร์สั่นสะท้าน

ฟื้นฟูเส้นชีพจรวิญญาณ คือสิ่งที่นางคิดว่าเป็นได้แค่ฝัน!

เพราะเส้นชีพจรวิญญาณถูกจำกัดเอาไว้ ทำให้ตั้งแต่นางมาอยู่ที่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ มันจึงไม่มีความคืบหน้ามากนัก ถึงแม้นางจะพยายามมากกว่าคนอื่นหลายพันเท่า หรือหลายหมื่นเท่าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ตอนนี้ ลู่หยวนบอกว่าสามารถฟื้นฟูเส้นชีพจรวิญญาณได้แล้ว!

แล้วจะไม่ให้นางตื่นเต้นได้อย่างไร?

ไป๋ชิวเอ๋อร์สูดหายใจเข้า รักษาท่าทีสุขุมพลางยื่นมือออกไปผลักประตูตำหนัก หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้ว นางเห็นเขานอนพิงเก้าอี้บุนวมนุ่มอยู่ ดวงตาหรี่ราวกับกำลังหลับ

นางกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “นายท่าน”

ลู่หยวนลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียง ก่อนลุกขึ้น “ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ว่าวันนี้ข้าจะฟื้นฟูเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ให้ เจ้าพร้อมหรือยัง?”

ไป๋ชิวเอ๋อร์พยักหน้าหนักแน่น สายตาแข็งกร้าวเช่นกัน “นายท่าน ข้าพร้อมแล้ว!”

“ดี มาเริ่มกันเลย!”

สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ไป๋ชิวเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิ และลดการป้องกันทั้งหมดลง

ลู่หยวนยื่นมือขวาออกไป ประสานนิ้วเข้าด้วยกัน แสงสว่างสีทองปรากฏขึ้น ปกคลุมทั่วทั้งห้องโถงทันที

วิ้ง!

เสียงสวดหนึ่งดังลอยออกมาจากโถงหอก ยันต์มากมายสั่นไหว อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมทั่วทั้งยอดเขา คลื่นอักขระกระจายไปทุกสารทิศ

หลายคนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของยอดเขาหอก ณ ส่วนลึกของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์สำนักจำนวนมากต่างมารวมตัวกัน เมื่อพวกเขาสัมผัสถึงความผันผวนในอากาศ ต่างก็พากันมองไปที่ด้านข้าง

บรรพชนดาบเห็นดังนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ พลางกล่าวว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ผู้นี้ไม่เลวจริง ๆ เขาอยู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มานานเท่าไหร่ ถึงสร้างอะไรแบบนี้ได้”

มีอาจารย์สำนักหลายคนเหยียดยิ้มประชดประชัน กล่าวอย่างไม่พึงพอใจว่า “นั่นสิ มีเพียงตระกูลลู่เท่านั้นที่สามารถเลี้ยงดูบุตรเช่นนี้ได้!”

เมื่อได้ฟังคำพูดบางส่วน บรรพชนกระบี่ยังคงมีสีหน้าสงบ เขาถือกระบี่ยาวเอาไว้โดยไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ

เขาย่อมรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่พอใจ ตอนที่หยางอวิ๋นสำแดงพลัง เหล่าอาจารย์ต่างมีท่าทีขุ่นเคือง แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่ได้ลงมืออะไร

เมื่อยอดฝีมือก้าวเข้าไปในยอดเขาของตัวเอง สิ่งที่ยากที่สุดคือการตามหาโอกาสเพื่อทะลวงข้อจำกัดปัจจุบันแล้วจึงเข้าสู่ขอบเขตใหม่

แต่โอกาสธรรมดา ๆ มักไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา แต่โชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของหยางอวิ๋น เป็นวาสนาที่หาได้ยากในช่วงหนึ่งพันปี

โชคชะตาเช่นนั้น แต่กลับมาตายตกใต้จมูกของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พึงพอใจนัก

ถึงแม้ว่าหยางอวิ๋นจะไม่ตาย พวกเขาก็อาจไม่สามารถเก็บเกี่ยวโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของหยางอวิ๋นยามสำแดงพลัง จนทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ทะลวงทัณฑ์สวรรค์ได้

แต่ถ้าเกิดว่า?!

แต่ถ้าเกิดว่า ครั้งนี้ทะลวงได้ขึ้นมาล่ะ?

แต่ลู่หยวนทำลายข้อสันนิษฐานนี้ไปแล้ว หากบอกว่าเป็นความจริงก็ออกจะไม่น่าเชื่อถือเกินไปหน่อย

แน่นอนว่าหลายคนเหล่านั้น ไม่ได้อยากแตกหักกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เพราะเหตุการณ์นี้ แต่ความไม่พอใจของพวกเขาเป็นของจริง จึงได้แต่กล่าวเหน็บแนม

วิ้ง!

ในท้องนภา คลื่นอากาศที่เกิดจากยันต์ค่ายกลสั่นไหวอีกครั้ง ถึงขั้นให้ความรู้สึกเย็นเยือก ดูท่าว่าค่ายกลที่ลู่หยวนติดตั้งจะเป็นค่ายกลสังหารขนาดใหญ่

เมื่อเห็นดังนี้ก็ทำให้สมาชิกหลายคนของบรรพชนดาบกระแนะกระแหนว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์เพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา ไม่รู้ว่าจะมีสมบัติลับถือกำเนิดขึ้นมาอีกหรือไม่!”

“นั่นสิ สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้คือบ้านของเขา! เขาจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แม้กระทั่งประตูก็ทำลายได้ หากคนอย่างเขาต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลกา ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

บรรพชนกระบี่ไม่โต้เถียงกับคนเหล่านี้ ทำเพียงเบนสายตามองจุดสูงสุดของยอดเขาหอก รอบยอดเขาโดดเดี่ยว ค่ายกลจำนวนมากถูกติดตั้งเอาไว้ ค่ายกลสังหารทำงานอย่างเต็มที่

ด้วยเหตุผลบางอย่าง บรรพชนกระบี่รู้สึกตลอดว่า เมื่อค่ายกลสังหารเหล่านี้เงียบลงเมื่อไหร่ ทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์จะสั่นคลอน

นกกระเรียนตัวหนึ่งบินผ่านมา แสงสว่างสีแดงสายหนึ่งพาดผ่านท้องนภา โลหิตกระเซ็น นกกระเรียนพลันกลายเป็นก้อนเลือดเนื้อ ตกลงสู่หุบเหว

ในห้องโถงของลู่หยวนกลางยอดเขาหอก ไป๋ชิวเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิขณะลอยอยู่ในอากาศ รอบข้างถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาว เกิดแสงประกายสีทองในม่านหมอก กะพริบวับวาวดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

ลู่หยวนติดตั้งค่ายกลจำนวนมากนอกห้องโถงอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครหรืออะไรบุกรุกเข้ามา จนมาขัดขวางการฟื้นฟูของเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์

การซ่อมแซมนี้ใช้ค่าชะตา 50,000 แต้ม ซึ่งลู่หยวนเก็บรวบรวมมันได้มากพอมาพักใหญ่แล้ว หากเกิดอุบัติเหตุอะไร จนไป๋ชิวเอ๋อร์ซ่อมแซมล้มเหลว หรือถึงขั้นเสียชีวิต ชายหนุ่มอาจจะโกรธจนถึงขั้นกระอักโลหิตออกมา

หลังจากติดตั้งทุกอย่างแล้ว ลู่หยวนเดินมาอยู่ตรงหน้าคุณหนูไป๋ เขายกมือขึ้นก่อนที่แสงสว่างสีทองจะมารวมตัวกันที่ปลายนิ้ว

ลู่หยวนยื่นนิ้วชี้ออกไป สัมผัสตรงหน้าผากนาง

แสงสว่างสีทองวูบไหวในทันที ในใจของบุตรศักดิ์สิทธิ์ เสียงของระบบดังขึ้นเช่นกัน

[ระบบหักค่าชะตาวายร้ายจากท่าน 50,000 แต้ม เพื่อใช้ฟื้นฟูเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์! ค่าชะตาวายร้ายที่เหลืออยู่ของท่านคือ 16,000 แต้ม!]

[ระบบเตือน ระหว่างที่ไป๋ชิวเอ๋อร์ฟื้นฟูเส้นชีพจรวิญญาณ พลังวิญญาณจะพรั่งพรูออกมา ขอแนะนำให้ท่านบ่มเพาะร่วมด้วย เพื่อจะได้มีโอกาสทะลวงขั้น!]

ลู่หยวนขมวดคิ้ว การซ่อมแซมเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงกับช่วยให้พวกเขาทะลวงขั้นได้งั้นหรือ?!

[ติ๊ง!]

เสียงของระบบดับลง แจ่มชัดคล้ายกับดังมาจากท้องนภา ปกคลุมทั่วทั้งแดนมัชฌิมไว้