บทที่ 253 ของขวัญ

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 253 ของขวัญ

บทที่ 253 ของขวัญ

หลังจากถามออกไป ไม่เพียงองค์ชายสามเท่านั้นแต่เป็นทั่วลานประลองต่างก็กำลังครุ่นคิดหาคำตอบ คำถามที่สามดูจะเหมือนเดิมจะง่าย แต่จริงๆ แล้วกลับยากไม่น้อย สองคำถามก่อนหน้าเป็นคำถามที่ต้องใช้ความคิดให้น้อยที่สุด แต่คำถามสุดท้ายกลับเป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบที่ถูกต้องได้

ฉู่เหินเมื่อพูดคำถามออกไปแล้ว ก็หยิบเก้าอี้จากในแหวนมิติมานั่งลงแล้วผิวปากอย่างสบายอกสบายใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผู้คนคงคิดว่าฉู่เหินกำลังดูถูกพวกเขาอยู่แน่ๆ แต่พอผ่านการประลองไปหลายรอบ ทุกคนก็เริ่มเข้าใจการกระทำของอัจฉริยะอย่างฉู่เหินได้แล้ว

แต่พวกเขาไม่รู้ ฉู่เหินเป็นคนของโลกภายนอกเรื่องพวกนี้เป็นคำถามปกติไม่ถือว่ามีมันสมองอัจฉริยะอะไร ถ้าเกิดว่าพวกเขาเหล่านี้ไปโลกภายนอก เกรงว่าอัจฉริยะคงพบได้ทุกที

การแข่งขันนี้ไม่เพียงแต่อยู่ในสายตาของคนในนี้เท่านั้น ไกลออกไปยังที่นั่งบัลลังก์ของราชินีก็กังลังจับจ้องมาที่นี่เช่นกัน โดยด้านหน้าของราชินีปรากฏหน้าจอขนาดใหญ่กำลังฉายภาพบนเวทีการประลองทั้งหมดเอาไว้

“เจ้าคนต่างเผ่าคนนี้ไม่เลวเลย เขาสามารถรวมกลุ่มเข้ากับผู้คนของที่นี่ได้อย่างแนบเนียน วรยุทธเองก็ไม่ต่ำต้อย นับว่าโดดเด่นที่สุดในรุ่นเดียวกัน ในสถานการณ์แบบนี้ยังแสดงสติปัญญาจนสามารถทำให้ทั้งสนามแข่งหลงทำตามวิธีการของตนเองได้อย่างหมดจด คนเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง”

เมื่อถ้อยคำของราชินีส่งออกไป ขุนนางวัยกลางคนสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างนางก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่คนที่จะแกล้งประจบสอพลอผู้อื่น พวกเขายอมรับออกมาจากใจจริงว่า

ฉู่เหินนับเป็นผู้มีความสามารถ

“องค์ราชินี บางทีคนๆ นี้อาจจะเป็นคนที่พวกเราตามหา พวกกระหม่อมเองก็กำลังครุ่นคิดคำตอบของคำถามนี้เช่นกัน เกรงว่าการจะช่วยดินแดนโหลวหลาน พวกเราต้องการคนที่มีความสามารถสูงส่งเช่นเขานี้ละกระมั่ง หลายปีมานี้กระหม่อมไม่เห็นเลยว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าเมืองผู้คนในโหลวหลานของพวกเรานั้นแม้จะมีพลังความสามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้ก็จริง แต่พลังการต่อสู้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ผู้คนทั้งแผ่นดินได้หรอกนะ เพราะฉะนั้นกระหม่อมอยากให้ช่วยเพิ่มความสามารถด้านสติปัญญาให้แก่คนในโหลวหลานด้วย ไม่ใช่แค่ด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียว”

สายตาของหนึ่งในอัครมหาเสนาบดีกำลังคิดใคร่ครวญอย่างหนัก แสดงให้เห็นคนๆ นี้เป็นขุนนางที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

ส่วนคนที่ยืนเคียงข้างเขาคนนั้นสวมชุดเกราะ แม้จะยืนอยู่ในตำแหน่งขุนนางใหญ่แต่รอบกายเต็มไปด้วยไอสังหาร คนๆ นี้มีประสบการณ์นำทัพทหารที่แข็งแกร่งเกรียงไกรในสงคราม คาดว่าคนๆ นี้ก็คือหนึ่งในนายพลของอาณาจักรโบราณโหลวหลานอย่างแน่นอน

คนดังกล่าวเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วผสานมือคำนับ “เรียน

องค์ราชินี แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ค่อยรู้อะไรนัก แต่หม่อมฉันรู้สึกว่า ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นคนที่พวกเราตามหาอยู่จริงๆ พวกเราพยายามที่จะป้องกันประวัติศาสตร์อันเลวร้าย แต่ก่อนหน้านี้พวกเรามีความสามารถสักเท่าไรกัน? ชายหนุ่มคนนี้ได้ให้ความหวังกับกระหม่อมอีกครั้ง ถ้าเป็นเขาดินแดนของเราต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้แน่ๆ !”

องค์ราชินีหันมองขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊สองคน นัยน์ตาปรากฏร่องรอยครุ่นคิดพวกเขา 2 คน เป็นคนที่มีความสามารถอย่างหาได้ยากยิ่งที่สำคัญความจงรักภักดีของพวกเขาเป็นของจริง แม้แต่ความตายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ ตอนนี้พวกเขาวนเวียนอยู่ในดินแดนนี้มานานหลายพันปี

ตลอดเวลาผันแปรนับพันปี พวกเขาคิดหาวิธีการมานับไม่ถ้วน แต่ประวัติศาสตร์ก็ไม่อาจย้อนกลับ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเขาได้รับคำทำนายมาอย่างช้านานว่า สักวันหนึ่งจะมีนักรบต่างเผ่ามาช่วยเหลือชีวิตของประชาชนโหลวหลานให้ดำเนิดต่อไปได้ เกรงว่าพวกเขาคงถอนใจนานแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นวิธีอะไรพวกเขาก็เคยคิดมาหมดแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้! แต่พอพวกเขาเจอฉู่เหินก็รู้สึกว่าบุคลิกของฉู่เหินมีเสน่ห์เฉพาะตัว ไม่ธรรมดา

“ท่านอัครเสนาบดีช่วยนำตรานี้ไปเป็นของรางวัลให้กับชายคนนี้ ข้าต้องการเห็นกับตาว่าตรานี้จะทำปฏิกิริยากับชายหนุ่มคนนี้ไหม” ตอนที่ราชินีนำตราขึ้นมานัยน์ตาแสดงความกลุ้มใจอย่างชัดเจน เธอลังเลเล็กน้อยที่จะให้อัครเสนาบดีไป

“องค์ราชินีตรานี้สำคัญยิ่ง ให้เขาเวลานี้มิใช่ว่าเร็วเกินไปรึ” ทหารที่ใส่ชุดเกราะกล่าวหลังจากที่เห็นองค์ราชินีหยิบตราขึ้นมา เขาประหลาดใจจนอดถามออกไปไม่ได้

“ข้าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่พวกเราตามหา ให้ทั้งหมดเป็นลิขิตฟ้าเถอะ!” ราชินีผู้สง่างามกล่าวจบ ฉับพลันเหมือนรู้สึกจะแก่ลงสิบปีได้

อัครเสนาบดีประคองตรงไว้ด้วยสองมือและหันร่างเดินออกไป เวลานี้ พวกเขาไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้แล้ว พวกเขาได้แค่ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต

ในลานประลองตอนนี้กลับเงียบสงัด ในสนามไม่มีใครวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกแล้ว หลังครุ่นคิดเนินนานก็ยังคิดไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร

เจ้าทำได้ ข้าทำได้ ทุกคนสามารถทำได้ คนเดียวก็สามารถทำได้ สองคนไม่สามารถทำพร้อมกันได้

หลังจากฉู่เหินผิวปากเพียงลำพัง จนตาเริ่มรี่แคบลงเรื่อยๆ ผลสุดท้ายก็คือหลับไปเลย หลังจากที่เขาตื่นถึงเพิ่งรู้ว่ายังไม่มีใครตอบเลยสักคน เขาก็เลยช่วยไม่ได้ ต้องทำอะไรหน่อยแล้ว !

“องค์ชายสามท่านช่างมีความอดทนยิ่งนัก แต่ให้รอเรื่อยไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ถ้าท่านคิดไม่ออกก็ช่างเถอะ ที่จริงจุดประสงค์ของฉันมันง่ายมาก ฉันไม่อยากได้ของวิเศษล่ำล่าอะไรเพียงแค่อยากออกไปเท่านั้นเอง” ฉู่เหินมององค์ชายสาม ตอนนี้คิ้วของเขาถักเป็นปมครุ่นคิดอย่างหนัก

“ผู้น้อยขอเลื่อมใสคุณชายฉู่ ผู้น้อยใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงก็ไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ ต้องยอมรับความพ่ายแพ้เสียแล้ว ทว่าอย่างไรเสีย ก็ขอให้คุณชายฉู่ช่วยเฉลยคำตอบให้ทราบทีเถอะ” องค์ชายสามขมวดคิ้วจนยับเป็นเส้น หมดหนทางจนต้องพูดเช่นนี้

“คาดว่าทุกคนและองค์ชายสามจะคิดเยอะเกินไป ที่จริงคำตอบที่ถูกต้องก็คือฝันเท่านั้นเอง ใครๆ ก็สามารถฝันได้ แต่ใครจะกล้าพูดว่าความฝันสามารถทำพร้อมกันสองคนได้ล่ะ” เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง

องค์ชายสามถึงกับส่ายหน้า ยืนคำนับฉู่เหินที่อยู่ตรงนั้นเลย

“ผู้น้อยขอเลื่อมใสคุณชายฉู่ในความฉลาด การประลองครั้งนี้ผู้น้อยขอยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดใจ”

“องค์ชายสามไม่ต้องทำเช่นนี้ ฉันก็แค่โชคดี พวกนี้มันเป็นคำถามที่ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ ไม่นับว่ามีเกียรติ ถ้าหากประลองกันตามปกติฉันคงไม่อาจเป็นคู่มือขององค์ชายแน่ๆ” ฉู่เหินตอบอย่างจริงใจ ทว่ายิ่งเขาแสดงความสุภาพกลับยิ่งทำให้องค์ชายสามและทุกคนเลื่อมใส

ชนะไม่หยิ่งยโส แพ้ไม่หมดกำลังใจ ราวกับวีรบุรุษ! ด้านล่างลานประลองจาผีเอ้อกับกู้ปาเทอสองคนมองเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ทั้งสองพ่ายแพ้แน่นอนว่าต้องแค้นอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าองค์ชายสามเองก็เช่นกันหรอกเหรอ หลังจากนั้นทั้งสองสบตากันก็เกิดเป็นประกายไฟวุบหนึ่ง ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าต่อมาสายตาของทั้งสองก็เหมือนกับว่ากำลังตัดสินใจบ้างอย่างได้แล้ว

ฉับพลันทั้งสองก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีประลอง เมื่อฉู่เหินสังเกตทั้งสองคนเขาก็นึกว่าอีกฝ่ายแพ้แล้วไม่ยอมรับผล เตรียมเข้าโจมตีตนเองงั้นเหรอ แต่ใครจะไปคิดว่าคำพูดทั้งสองทำให้เขาไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรดี

“คุณชายฉู่เป็นผู้มีความสามารถ โดยเฉพาะด้านสติปัญญาข้าขอเลื่อมใส จิตใจพวกข้าสองคนยินดีที่จะติดตามเป็นม้าเป็นลาให้กับท่าน เพื่อหวังว่าจะได้เรียนรู้วิชาจากท่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะรับข้าสองคนไว้” หลังจากนั้นชายหนุ่มสองคนก็คุกเข่าลงบนพื้นทันที ในตอนนี้เองฉู่เหินเองก็ตระหนกจนทำตัวไม่ถูกแล้ว