บทที่ 254 สามองค์รักษ์

สุดยอดชาวประมง

บทที่254 สามองค์รักษ์

บทที่254 สามองค์รักษ์

“รีบลุกๆ ขึ้นเถอะ ฉันฉู่เหินจะไม่รับความชื่นชมของพวกนายทั้งสองคนได้ยังไง แต่ว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก อีกไม่นานก็ต้องจากไปแล้วดังนั้นคำขอของพวกนาย ฉันคงรับไว้ไม่ได้หรอก”

ฉู่เหินถอนหายใจ ถ้ารับทั้งสองคนได้จริงๆ ก็ดีเพราะพวกเขาจะเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง แต่เขารู้ดีว่าอีกไม่นานก็ต้องจากไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ความหวังแก่ทั้งสอง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นพวกเรา 2 คนจะตามท่านไปด้วย ไม่ว่าท่านจะไปไหน พวกเราก็จะไปที่นั้นด้วย” ทั้งสองสบตากันอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นมา

ฉู่เหินมองทั้งสองวับหนึ่ง เขารับรู้ได้ถึงความจริงใจของทั้งสอง แต่ว่าเขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองมาโผล่ที่โลกนี้ได้ยังไง เขารู้ดีว่าที่นี่ตัวเองเป็นแค่แขกคนหนึ่ง ถ้ารับทั้งสองไว้ ไม่ใช่ว่าเป็นการทำเกินหน้าเกินตาเจ้าของสถานที่งั้นเหรอ แต่ถ้าไม่รับก็จำเป็นการหักหน้าพวกเขาทั้ง 2 คนอีก เป็นการเลือกที่ยากจริงๆ

ขณะนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นรอบสนามว่า “ท่านอัครเสนาบดี มาถึงแล้ว !” สิ้นเสียงทุกคนก็หันศีรษะไปมองด้านนอก หลังจากนั้นก็ปรากฏชายวันกลางคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาช้า ๆ

“คำนับ ท่านอัครเสนาบดี” หลังจากอัครเสนาบดีเข้ามาเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนก็รีบก้มคำนับเขาทันที

“ทุกท่านเชิญตามสบาย ที่ข้ามาวันนี้เพื่อเป็นตัวแทนขององค์ราชินีที่ทรงพระราชทานรางวัลให้ก็เท่านั้น” สิ้นเสียงอัครเสนาบดีก็หันไปมองฉู่เหิน

“คุณชายฉู่ฉลาดล้ำเลิศ องค์ราชินีทรงพระราชทานตราหยกให้เป็นของรางวัล ตราหยกไม่ได้ทรงพลังนัก แต่สามารถใส่คนไว้ในนี้ได้สามคน ถ้าท่านต้องการจากไปแล้วสามารถเลือกองค์รักษ์โหลวหลานไปได้สามคน” อัครเสนาบดีกล่าวจบก็มองว่าฉู่เหินจะตอบสนองอย่างไร

แต่ความจริงทำให้เขาต้องผิดหวัง เพราะตั้งแต่ต้นจนจบร่างกายฉู่เหินไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลย มันดูธรรมดายิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นอัครเสนาบดีก็ไม่ได้มองฉู่เหินสูงส่งอีกต่อไป

“ขอบพระทัยองค์ราชินี ขอบคุณท่านเสนาบดีขอรับ” หลังจากนั้นฉู่เหินก็รับเอาตราหยกก็กำหมัดผสานกัน เมื่อพูดจบก็หันมามองผู้คนในลานประลองอีกครั้ง “ด้วยราชทานอนุญาตขององค์ราชินี ฉันสามารถเลือกองค์รักษ์ไปได้ 3 คนตอนนี้มีจาผีเอ้อกับกู้ปาเทอแล้ว 2 คน ไม่ทราบว่ายังมีใครสมัครใจออกไปท่องโลกกว้างกับฉันอีกหรือไม่”

ฉู่เหินยิ้มพร้อมถามว่ามีคนอยากไปกับเขาไหม สิ้นสุดคำพูดทุกคนในลานประลองก็รู้สึกตื้นตันจนสงบใจไว้ไม่ได้ บ้างทีฉู่เหินจะไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกยังไง แต่ทุกคนให้สนามรู้ดี พวกเขากำลังไตร่ตรองว่าตัวเองแข็งแกร่งพอหรือไม่ แต่เมื่อเทียบกับจาผีเอ้อกับกู้ปาเทอพวกเขาอ่อนแอกว่ามาก กลยุทธ์หรือความฉลาดก็ไม่มี พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรเดินทางไปกับ

ฉู่เหิน

“หากคุณชายฉู่ไม่รังเกียจ ข้ายินดีจะรับใช้ท่าน” ต้าเอ้อตุนหรือองค์ชายสามเดินออกมาหนึ่งก้าวพร้อมกับคำนับ

เมื่อเห็นดังนั้นฉู่เหินก็รีบประคองต้าเอ้อตุนขึ้นมา “องค์ชายสามกล่าวหนักเกินไปแล้ว ท่านมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย ทำไมถึงคิดจะละทิ้งบรรดาศักดิ์เล่า แบบนี้ไม่เหมาะสมยิ่ง” ถ้าเป็นคนอื่นฉู่เหินจะไม่คิดว่าเป็นภาระอะไรแต่ว่าคนตรงหน้าเป็นถึงลูกชายคนที่สามของราชินีเลยนะ ถ้าให้อีกฝ่ายมาเป็นองค์รักษ์ของตัวเอง ฉู่เหินคิดแล้วคิดอีกก็รู้สึกว่าไม่ใช้ความคิดที่ดีนัก

ถ้าเรื่องนี้ถึงหูราชินีเกรงว่าชีวิตเขาคงจะยุ่งยากไปอีก พอคิดแบบนี้เขาก็คิดว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี

“คุณชายฉู่ ในเมื่อองค์ชายสามเต็มใจจะติดตามเจ้า ข้าก็คิดว่าเจ้าควรรับเขาไว้เถอะ องค์ชายสามฝีมือร้ายกาจยิ่ง ถ้าเขาอยู่ข้างกายเจ้าจะไม่มีสิ่งใดทำร้ายเจ้าได้อย่างแน่นอน” เดิมทีฉู่เหินกะว่าจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดเลยว่าอัครเสนาบดีกลับเป็นผู้สนับสนุนซะงั้น

“ท่านอัครเสนาบดี ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อเล่น? องค์ราชินีทรงทำใจที่องค์ชายสามจะออกไปตากลมตากฝนกับฉันได้จริงๆ เหรอ องค์ชายสามไม่จำเป็นต้องมารับใช้ฉันเลย คำว่าองค์รักษ์ก็ยิ่งเป็นคำพูดที่ไร้ความหมายถ้าหากว่าว่าองค์ชายสามยืนยันที่จะไปด้วย ฉันว่าเราไปกันในฐานะพี่น้องดีกว่า ท่านเห็นว่าอย่างไร!”

อัครเสนาบดีได้ยินอย่างนั้นก็แอบพยักหน้า แม้ว่าองค์ชายสามฐานะสูงส่ง แต่ถ้าไม่สามารถปล่อยวางฐานะของตนได้แล้วจะดูแลโหลวหลานได้อย่างไรละ

ขณะที่ฉู่เหินพยายามจะบ่ายเบี่ยงนั้นเอง ทั่วสนามประลองก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อยู่ๆ ก็มีเสียงราชินีดังขึ้น “ท่านฉู่เหินรับพวกเขาไปเถอะทั้ง ต้าเอ้อตุน จาผีเอ้อ และ กู้ปาเทอทั้งสามถึงกับอาสาเป็นองค์รักษ์ให้ท่านฉู่เหินเอง พวกเขาคงมีจิตที่แน่วแน่ ถ้าพวกมันกล้าทรยศหักหลังท่านฉู่เหินแม้แต่น้อย ข้าจะไม่ยกโทษให้พวกมันเด็ดขาด”

เมื่อฉู่เหินได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจในเมื่อองค์ราชินีออกปากแล้วจะต้องไม่มีการกลับคำแน่ เขาไม่รอช้ารีบก้มหัวเป็นการขอบคุณต่อหน้าทุกคน

“ฉู่เหิน ท่านมีโชคชะตากับพวกเราชาวโหลวหลานยิ่ง เรื่องในวันนี้หวังว่าท่านจะจดจำใส่ใจไม่นำไปกล่าวกับผู้ใด งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราหวังว่าเมื่อพวกเราได้พบกันอีกครั้งเจ้าจะสร้างความแตกต่างได้ในยามที่บ้านเมืองไม่สงบ”

หลังจากองค์ราชินีพูดจบ อยู่ ๆ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยขึ้นมาว่า

“ม่านหมอกปกคลุมจิตใจหนุ่มสาวจากรุ่งโรจน์กลับล้มสลายในพริบตา กษัตราแห่งโหลวหลานเข้าฝันเพื่อบอกกล่าว จักเหลือเพียงสามผู้พิทักษ์ยังคงอยู่”

หลังสิ้นประโยคนั้นขององค์ราชินี ฉู่เหินก็รู้สึกถึงสายลมพัดผ่านเข้ามาวูบหนึ่งจนร่างกายสั่นสะท้าน ท่ามกลางม่านหมอกเหมือนกับมีจำนวนพื้นที่ไม่สิ้นสุด จนกระทั้งความรู้สึกเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อผิวของเขาเจ็บแสบไปหมด บางทีอาจเป็นเพราะความเจ็บแสบจากผิว ทำให้เขาเบิกตาโพลงขึ้นมาอย่างฉับพลัน

หลังจากลืมตาขึ้นมาฉู่เหินก็ต้องปรับสายตาสักพัก ถึงได้พบว่าตัวเองอยู่ในเต็นท์เล็กๆ นอกจากเขาแล้วยังมีเสี่ยวชิงที่หลับไหลอยู่ข้างๆ นอกจากเสี่ยวชิงแล้วซ่างกวนเสี่ยวฟู๋เองก็นอนข้างๆเขา ส่วนโจวหู่ ฉู่เหินนั้นเขาไม่เห็นตัวคิดว่าน่าจะเฝ้าเวรยามอยู่ข้างนอกเต็นท์

ฉู่เหินนวดคลึงศีรษะรู้สึกปวดหัวไปหมด เขานั่งลงหลังจากนั้นก็ส่ายหัวเขาคิดว่าเดิมทีตัวเองได้ไปที่อาณาจักรโบราณโหลวหลานจริงๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ทว่าประสบการณ์ที่พบในห้วงฝันก็เป็นเรื่องที่ยากจะพบแล้วล่ะ เขาหัวเราะกับตัวเองตั้งใจว่าจะนอนต่อ

ทว่าทันทีที่เขาขยับร่างกายก็ร้องออกมาเสียงหนึ่ง เมื่อเห็นสิ่งของเล็กที่ตกอยู่ข้างๆ เขามองมันอย่างละเอียด จากนั้นก็รู้สึกขนหัวลุกฉับพลัน!

“พ่อจ้า แม่จ้าช่วยผมด้วย” ถึงตอนนี้แล้ว ฉู่เหินไม่อาจควบคุมสติตัวเองได้อีกต่อไป เพราะสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือคือตราหยกที่เป็นของรางวัลจากองค์ราชินิ! ลองๆ คิดดูแล้วแสดงว่ามันเป็นเรื่องจริง

เขาหลับตาทั้งสองข้างลงเริ่มไล่เรียงเรื่องราวที่อยู่ในหัว ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่ารับเอาคนพวกนั้นมาด้วย เขาตรวจสอบดูตราหยกทันทีแล้วเขาก็ตกตะลึง เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่จริงๆ ในลักษณะตัวหดเล็ก

ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป เขาไปที่อาณาจักรโหลวหลานมาจริงๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงสามองค์รักษ์ขึ้นมา ต้องรู้ว่าองค์ชายสามจาผีกูและกู้ปาเทอ ฝีมือแกร่งกล้า ถ้ามีสามคนนี้อยู่ด้วยต่อไปเขาก็มีหลักประกันให้กับตัวเองแล้ว

คิดถึงตรงนี้เขาตรวจสอบตราหยกอย่างจริงจัง ปรากฏว่าขณะที่เขากำลังตรวจสอบอยู่นั้น !