บทที่ 32 เมนูเด็ดคืออะไร

อ้อนรัก คุณภรรยาคนสวย

หลิ่วเยว่เอ่อร์เหมือนจะคิดอะไรออก แววตาของเธอเปลี่ยนเป็นแววตาที่โหดร้ายขึ้นมาทันที

ในเมื่อเฟิงหานชวนสามารถสืบได้ว่าแฟนของเธอคือเกาจวินเซวียน ถ้าอย่างนั้นก็รู้ว่าเพื่อนสนิทของเธอคือเฉินฮวนฮวนแน่ๆ

เป็นไปได้ไหมว่าเฟิงหานชวนจะรู้เรื่องเฉินฮวนฮวน หรือไม่ก็รู้อะไรสักอย่าง ถึงได้เย็นชาไร้เยื่อใยกกับเธออย่างนี้

ถ้าไม่อย่างนั้น อารมณ์ของเขาคงไม่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้หรอก ทั้งๆที่เมื่อคืนเขายังบอกว่าจะรับผิดชอบเธอและก็สนิทสนมกับเธอขนาดนั้น

เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว หลิ่วเยว่เอ่อร์ก็เอาโทรศัพท์ออกมา รีบโทรไปหาเฉินฮวนฮวนอย่างไม่รอช้า

“ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ……”

ขณะที่เฉินฮวนฮวนกำลังชงชานมอยู่นั้น โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ก็เกิดเสียงสั่นขึ้นมา เธอคิดว่าคงไม่มีใครโทรมาหาเธอหรอก และก็คงจะเป็นเฟิงหานชวน

ดังนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจโทรศัพท์ ปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้น

จนกระทั้งให้บริการลูกค้าเสร็จหมด จึงหันไปดูโทรศัพท์ทีหนึ่ง ปรากฎว่าเป็นสายของหลิ่วเยว่เอ่อร์ เธอจึงรีบโทรกลับทันที

หลิ่วเยว่เอ่อร์ไม่มีกะจิตกะใจในการทานข้าวเย็น อาหารหลายเมนูที่ตัวเองตั้งใจเตรียมไว้ ก็ถูกเธอโยนทิ้งลงในถังขยะ แล้วก็เดินขึ้นบันได้ไปอาบน้ำ

ตอนที่ออกมาจากห้องอาบน้ำนั้น พอดีกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอคิดว่าเป็นสายของเฟิงหานชวน แต่เมื่อไปดูกลับเป็นสายของเฉินฮวนฮวน สีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที

“ฮัลโหล” หล่อนฝืนเก็บความโมโหไว้ในใจ แล้วพูดด้วยเสียงนิ่งๆ

“เยว่เอ่อร์ ต้องขอโทษด้วยเมื่อกี้ฉันยุ่งอยู่ เธอโทรมามีอะไรหรอ” เฉินฮวนฮวนถามด้วยความร้อนรน

หลิ่วเยว่เออร์ไม่ใช่ผู้หญิงที่ติดเพื่อนมาก ดังนั้นถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรจริงๆ หลิ่วเยว่เออร์ก็จะไม่โทรหาเธอ

“อ๋อ ไม่มีอะไร ไม่สิ จริงๆแล้ว……”ตอนแรกหลิ่วเยว่เออร์ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับเฉินฮวนฮวน แต่ว่าเหมือนจะคิดอะไรออกอย่างหนึ่ง รีบถามกลับไปว่า “ช่วงสองสามวันมานี้ มีคนมาถามเรื่องบลูส์คลับกับเธอหรือเปล่า”

“ไม่มีนะ”เฉินฮวนฮวนสะดุ้งเล็กน้อย รีบส่ายหัวไปมา แล้วรีบถามต่อไปว่า “เยว่เออร์ เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ฉันอยากบอกเธอว่า ถ้ามีคนมาถามเรื่องเกี่ยวกับบลูส์คลับ เธออย่าบอกเขาว่าเธอเคยไปที่บลูส์คลับ และอย่าบอกว่าเคยทำงานแทนฉันนะ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็พอ เข้าใจไหม”หลิ่วเยว่เอ่อร์ย้ำเตือนเธอ

เวลานี้ในใจของเฉินฮวนฮวนยิ่งตกใจกลัวเข้าไปใหญ่ เธอรีบถามกลับไปว่า “เยว่เอ่อร์ ตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เธออย่าทำให้ฉันตกใจสิ”

“จะเป็นเรื่องอะไรอีกล่ะ ฉันจะบอกให้นะว่าหลิวตงรุ่ยคนนี้ เมื่อคืนก็ถามหาเรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องเก็บของในคืนนั้นอีกแล้ว ถ้าเธอตกในกำมือของเขา ต่อไปต้องหมดอนาคตแน่ๆ”หลิ่วเยว่เอ่อร์ข่มขวัญเฉินฮวนฮวนอีก

เฉินฮวนฮวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น กับความบ้าคลั่งของชายคนนั้น ความทรงจำที่น่ากลัววันนั้นยังส่งผลกระทบต่อเธอจนถึงวันนี้ แม้กระทั่งความเจ็บปวดบนร่างกายของคืนนั้นก็ยังคงมีอยู่

“สร้อยคออยู่ในมือของเขาจริงๆหรอ” เฉินฮวนฮวนอ้าปากถาม ด้วยเสียงสั่นเพราะความกลัว

“ใช่ ดังนั้นเธอต้องทำเป็นเหมือนกับว่าสร้อยคอเส้นนั้นไม่มีแล้ว อย่าพูดเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ถ้าเธอพูดออกมา ไม่เพียงแต่จะเอาสร้อยคอกลับมาไม่ได้ แม้แต่ความอ่อนเยาว์และร่างกายของเธอก็อาจถูกฝังไปด้วย” แม้ว่าหลิ่วเยว่เอ่อร์จะพูดด้วยความเคร่งเคลียด แต่ริมฝีปากเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ได้ใจ

ต่อให้ตอนนี้เธอไม่ได้ใจเฟิงหานชวน เธอก็ไม่ยอมให้ความจริงของเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ไม่ว่าจะพูดยังไง ในตอนนี้เธอ หลิ่วเยว่เอ่อร์ก็คือผู้หญิงที่อยู่ในห้องเก็บของในคืนนั้น

เฉินฮวนฮวนไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น

หลิ่วเยว่เอ่อร์เตือนหล่อนไปด้วย แล้วก็เดินไปยังตู้ที่อยู่บนหัวเตียงไปด้วย เธอก้มตัวลง เปิดลิ้นชักเอาสร้อยคอสีทองเหลืองที่ค่อนข้างโบราณออกมา

“ฮวนฮวน ฉันไม่พูดกับเธอมากกว่านี้แล้วนะ ฉันก็แค่กลัวเธอจะรีบร้อน ไปหาสร้อยคอ ดังนั้นจึงมาย้ำเตือนเธออีกครั้ง อย่ารีบร้อนเด็ดขาด ถ้าเดินผิดก้าวแรก ก้าวต่อๆไปก็………..” หลิ่วเยว่เอ่อร์มองดูสร้อยคอที่อยู่บนมือ แววตาเย็นชาลง พูดต่อไปว่า ” ฉันจะรีบไปทำงานต่อแล้วล่ะ วางสายแล้วนะ”

ได้ยินเสียงวางสาย “ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด “จากปลายสาย เฉินฮวนฮวนก็น้ำตาคลอเบ้าทันที

นัยต์ตาสองข้างของเธอไร้ความรู้สึก ค่อยๆเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู วางลงบนหน้าเคาน์เตอร์ทำงาน

“เมนูเด็ดของร้านคุณคืออะไรหรอ” เวลานี้ ข้างหลังมีน้ำเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง

น้ำเสียงสายนั้น เผยให้เห็นถึงความเย็นชา มันเป็นเสียงของเฟิงหานชวน

เฉินฮวนฮวนสะดุ้งไปทีหนึ่ง รีบเช็ดน้ำตาออกแล้วหันตัวกลับมา เดินมายังเคาน์เตอร์

เฟิงหานชวนเห็นเบ้าตาสีแดงก่ำของเฉินฮวนฮวน เขาขมวดคิ้วไปทีหนึ่ง ถามด้วยเสียงทุ้มว่า “เธอร้องไห้หรอ”

“ไม่ ฉันไม่ได้ร้องไห้”เฉินฮวนฮวนใช้ชายเสื้อเช็ดดวงตาอีกครั้ง แล้วจ้องตามองมาทางเฟิงหานชวน ถามด้วยความสงสัยว่า”คุณมาทำไมหรอ”

“ทำไมล่ะ หรือว่าฉันไม่มีสิทธิ์กินชานม”เฟิงหานชวนได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ได้ต้อนรับของเฉินฮวนฮวน ในใจเหมือนจะมืดมนไป รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างทำให้ไม่สบายใจ

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆตัวเองก็ขับรถมาที่นี่ จอดอยู่ข้างทาง มองไปยังร่างที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ของเฉินฮวนฮวน เห็นว่าเธอว่างแล้ว ถึงได้เดินเข้ามายังร้าน

เวลานั้น ในร้านไม่มีลูกค้าสักคน มีแค่เขาและเธอเพียงสองคนเท่านั้น

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คุณจะดื่มอะไรล่ะ ” เฉินฮวนฮวนรู้สึกว่า เฟิงหานชวนน่าจะมารับแฟนสาวของเขา

เพราะว่าตอนเช้าเธอนั่งรถมากับเขา แล้วก็ได้ยินเขาคุยกับแแฟนสาว เหมือนจะพูดประมาณว่า คืนนี้เจอกัน อะไรประมาณนี้

“ฉันเพิ่งจะถามเธอว่า เมนูเด็ดของร้านคืออะไร” เฟิงหานชวนถามด้วยความไม่สบอารมณ์ ทุกคำแฝงด้วยการทิ่มแทง

คำพูดของเขา เฉินฮวนฮวนเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด

“เมนูเด็ดของร้านเราคือ ชานมไข่มุก แล้วก็เป็นเมนูที่ขายดีที่สุดของร้านในแต่ละวัน จะเอาสองแก้วไหม จะเอาเย็นหรือว่าเอาแบบร้อนดี ” เฉินฮวนฮวนพยายามที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะตอนนี้เธอเป็นพนักงานร้าน ยังไงก็ต้องแสดงออกถึงความเป็นพนักงานหน่อย

“เอาแก้วเดียว ขอเป็นแบบเย็น” เฟิงหานชวนพูดอย่างเย็นชา

“เอาแค่แก้วเดียวหรอ” เฉินฮวนฮวนตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ถามต่อไปว่า “คุณจะไม่ซื้อให้แฟนด้วยหรอ”

“ฉันไม่มีแฟน”สีหน้าของเฟิงหานชวนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

เฉินฮวนฮวนค่อยๆทำตาโตขึ้นมา ในใจเกิดความรู้สึกที่งุนงง เวลาในการควงผู้หญิงของเฟิงหานชวนนี่ก็เร็วเกินไปแล้วมั้ง

เลิกกันเร็วขนาดนี้เลยหรอ

เมื่อเช้ายังนัดเดทกับแฟนสาวในคืนนี้ไม่ใช่หรอ ทำไมแยกทางกันแล้วล่ะ

อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็มาถึงมหาวิทยาลัย Aแล้ว หรือว่าตอนที่กำลังจะไปรับแฟน ถูกแฟนบอกเลิก ณ ตอนนั้นเลยหรอ

หรือว่า……หรือว่าจะเป็นเพราะเธอ

ตอนเช้าเขาบอกว่าให้เวลาเธอสามวันในการคิดใคร่ครวญ เรื่องที่จะเป็นแฟนของเขาไหม ถ้าเธอทำได้ดี ก็จะได้เลื่อนขั้นกลายเป็นแฟนตัวจริงของเขา

หรือว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้เฟิงหานชวนทิ้งแฟนตัวจริง

ความสงสัยถ่าโถมเข้ามา กำลังเต้นไปมาในหัวสมองของเฉินฮวนฮวน เธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

เห็นเฉินฮวนฮวนกำลังเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น เฟิงหานชวนยิ้มหัวเราะทีหนึ่ง “ได้ยินข่าวนี้ มีความสุขมากเลยหรอ”

“คุณชายเฟิง ข่าวนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด”เฉินฮวนฮวนรู้สึกตัวขึ้นมาได้ แล้วก็ทำอะไรไปบนเคาน์เตอร์สักพัก จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเขา พูดว่า “สิบหยวน รบกวนจ่ายด้วย”

“คุณชายเฟิงหรอ” เฟิงหานชวนเคลียดจนริมฝีปากขยับไปมา

หล่อนเคยเรียกเขาว่า “อาสาม” ยังเคยเรียกเขาว่า “เฟิงหานชวน” แต่คำเรียก “คุณชายเฟิง” อย่างนี้ เป็นคำเรียกที่ไม่สนิทสนมกันเลยสักนิด

เธอกลับเรียกเขาแบบนี้ ในเวลาอย่างนี้ เนี่ยน่ะ