ตอนที่ 171 ร่วมมือ 2

สวี่หลิงอวิ๋นและพรรคพวกของเธอเดินขึ้นไปบนเนินเขา จุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น และทำเสื้อผ้าให้แห้ง

โอคาซีล่าสัตว์ชนิดเล็กสองสามตัวเพื่อประทังความหิวโหย

สวี่หลิงอวิ๋นให้ความร่วมมือกับเขาราวกับรู้ใจ บาร์บีคิวที่หอมกรุ่นพร้อมเสิร์ฟหลังจากนั้นไม่นาน ขณะที่น้ำลายของหยวนซิวเริ่มไหลลงมา…

เคยได้ยินมาว่าฝีมือการทำอาหารขององค์หญิงสามนั้นเยี่ยมยอดนัก ถึงพวกเขาจะเคยลิ้มลองรสชาติเค้กมาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับได้กินเนื้อบาร์บีคิว

มันเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก!

วิกเตอร์เคี้ยวเต็มปากเต็มคำเช่นกัน “ฝีมือการทำอาหารของคุณดีมากเลยครับ ไม่แปลกใจที่แลนซ์อยากจะให้คุณไปเปลี่ยนแม่ครัวให้กับเขา!”

“เดี๋ยวนะ!” วิกเตอร์รีบโพล่งออกมาในทันที “แลนซ์ไม่ใช่พวกเดียวกันกับพวกคุณใช่ไหม?”

“คิดว่าไงล่ะคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวขึ้นขณะก้มหน้ากินอาหาร “คุณนี่ฉลาดจังเลยนะคะ!”

“ผมโง่เกินกว่าจะคิดอะไรออกได้” วิกเตอร์ถอนหายใจ และรู้สึกราวกับว่าเนื้อบาร์บีคิวในมือของตัวเองไม่ได้ส่งกลิ่นหอมอย่างเดิมอีกต่อไป “ก่อนหน้านี้ผมน่าจะคิดว่าแลนซ์หน้าตาดีขนาดนั้น แต่ทำไมถึงไม่มีใครรู้จักเขามาตั้งหลายปี ทำไมเขาถึงมามีชื่อเสียงโด่งดังได้?”

“รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป”

โอคาซีเช็ดปากที่มันเยิ้มของเธอ จากนั้นสวี่หลิงอวิ๋นจึงจูบเขาพร้อมกับส่งยิ้มหวาน “ในเมื่อพวกเรารู้จักกันแล้ว หลังจากนี้ถ้าคุณอยากจะไปที่ดาวเคราะห์ของพวกเราก็ได้นะคะ”

ดาวเคราะห์ของพวกเขาอย่างนั้นเหรอ? ต้องบอกว่านี่เป็นสิ่งล่อตาล่อใจสำหรับวิกเตอร์เป็นอย่างมาก

เป็นเวลานานแล้วที่นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์ทำการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอวกาศและยังคงอยู่ในขั้นตอนของการค้นหาอารยธรรมมนุษย์ต่างดาว วิกเตอร์เคยสงสัยเกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวมาก่อน ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมานั่งพูดคุยและกินเนื้อบาร์บีคิวกับมนุษย์ต่างดาวพวกนี้?

แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง เขาก็ยุติจินตนาการของตัวเองลง

เป้าหมายของเขาเรียบง่ายมาก เพราะมันคือดินแดนที่อยู่ตรงหน้าเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากจะจินตนาการเกินจริงนัก

หลังจากกินและดื่มแล้ว สวี่หลิงอวิ๋นก็เดินเข้ามาหาเขา “ไปเถอะ ฉันจะเปลี่ยนหน้าให้นาย”

จักรวรรดิชิงเหย้ามีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลมาก โอคาซีก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับวิกเตอร์ดี ดังนั้นจึงเปลี่ยนใบหน้าให้เป็นอีกแบบ

“ฉันคิดว่าเราควรจะสั่งสอนบทเรียนให้พ่อของคุณสักหน่อย” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าว

อันที่จริงพวกเขาไม่รู้สึกเต็มใจที่จะต้องติดต่อกับนักการเมืองเหล่านั้นมากนัก ด้านหนึ่ง รู้สึกเกรงกลัวว่าจะเล่นกับพวกเขาไม่ได้ ขณะที่อีกด้านหนึ่งเพราะว่าพวกเขามักจะคลาดกันไปมา ไม่นิ่งเฉยเป็นเวลานานนัก

ทว่าตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย และไม่สามารถนิ่งเฉยได้

สวี่หลิงอวิ๋นไม่ได้พาวิกเตอร์กลับเข้าเมืองมาด้วย เพราะตอนนี้ภายในเมืองคงมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา

เพียงแต่ให้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่อยู่บริเวณนอกเขตชานเมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างห่างไกล

โรงเตี๊ยมแห่งนี้เปรียบเสมือนที่พักราคาถูก สุขอนามัยบริเวณโดยรอบจึงเป็นอะไรที่หาเปรียบมิได้ สวี่หลิงอวิ๋นเป็นคนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากและยอมรับมันได้

โอคาซีที่ต้องต่อสู้ในสนามรบมาตลอดทั้งปี ย่อมเห็นสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายมาก่อน ดังนั้นจึงยอมรับมันได้

หยวนซิวเป็นสามัญชนธรรมดาที่ไม่เคยเข้าไปอยู่ในสนามรบมาก่อน ดังนั้นจึงรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นว่าองค์หญิงสามกับพลเอกโอคาซีไม่กล่าวอะไรออกมา เขาจึงทำได้เพียงบีบจมูกของตนเองเอาไว้

วิกเตอร์ไม่สามารถรับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้

ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นบุตรนอกกฎหมาย แต่ก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่ยังเป็นเด็กและคุ้นเคยกับการถูกเอาอกเอาใจ จะไปเห็นสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนี้ได้จากที่ไหน?

มีใยแมงมุมอยู่ในห้อง หน้าต่างทุกบ้านล้วนแตกออก ห้องน้ำส่งกลิ่นเหม็น ไม่ต้องกล่าวถึงห้องนอนที่มีราขึ้น ผ้าห่มเป็นคราบสีเหลือง และคราบต่าง ๆ ที่ไม่ทราบที่มา

“เอาล่ะ นอนกันเถอะ จะว่าไปหลังจากนี้คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้จู้จี้จุกจิกในการเลือกที่นอนมากนักหรอก”

หมายความว่ายังไง? วิกเตอร์ไม่เข้าใจคำพูดของสวี่หลิงอวิ๋น แต่หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจได้ หากเขากลายเป็นคณบดีของสถาบัน ถึงตอนนั้น เขาคงจะไม่จู้จี้จุกจิกในการเลือกที่พักอาศัย แต่จะเสาะหาที่หลับนอนเสียมากกว่า

เพราะเหนื่อยเกินไป…

ทว่าในตอนนี้เขายังคงเป็นนักแสดงธรรมดาที่มีคุณภาพปานกลางอยู่ ไม่นานหลังจากที่ผล็อยหลับไปอย่างยากลำบาก เขาก็ถูกสวี่หลิงอวิ๋นปลุกอีกครั้ง

“ไปกันเถอะ ไปหาพ่อของคุณกัน”

รูดอล์ฟ ทิโมธีขมวดคิ้วขณะจ้องมองรายการการสรุป

ว่ากันตามตรง เขาไม่เชื่อว่าวิกเตอร์จะเป็นคนทำอย่างนั้น เด็กคนนั้นไม่ได้มีความกล้าหาญมากนัก ดังนั้นจะต้องมีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน

รูดอล์ฟไม่ใช่คนโง่เขลา ตรงกันข้าม เขาเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมและขยันขันแข็ง ไม่อย่างนั้น สถาบันฮั่วเลี่ยจะกลายเป็นสถาบันที่ผู้คนจากชนชั้นล่างทั่วทั้งทวีปได้เลื่อนขั้นเป็นชนชั้นสูงเหรอ?

ทำไมวิกเตอร์ถึงเลือกจะไปกับมนุษย์ต่างดาวพวกนั้น? เขาตรวจสอบวิดีโอจากกล้องวงจรปิด และเริ่มคาดเดาอย่างน่ากลัว หรือว่าวิกเตอร์จะถูกมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นควบคุม?

รูดอล์ฟจำได้ว่าวิกเตอร์เคยเล่าว่าตัวเขาสูญเสียความทรงจำไปช่วงเวลาหนึ่งขณะอยู่บนเรือ นั่นเป็นวิธีการของมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า?

หากที่นี่มีมนุษย์ต่างดาวมากกว่าหนึ่งร้อยตัว ผองเพื่อนของมันได้เปลี่ยนแปลงตัวตนให้กลายเป็นวิกเตอร์หรือไม่?

อากาศยามดึกเงียบสงบเป็นพิเศษ เหลือเพียงแสงไฟที่ตามติดไปเป็นเพื่อนของเขา

เขารู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย หลังจากทำงานมาเป็นเวลานาน “อากัน ขอน้ำให้ฉันสักแก้วสิ”

ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาขณะถือแก้วน้ำอุ่นอยู่ในมือของเธอ รูดอล์ฟจิบน้ำ และถอนหายใจ “อากัน บ๊อบส่งข่าวอะไรมาให้บ้างหรือเปล่า?”

“ยังเลยค่ะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

รูดอล์ฟตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ และทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น หญิงสาวแสนสวยก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

หญิงสาวคนนี้มีผมสีดำ ดวงตาเรียวคม หางตายกขึ้นเล็กน้อย นอกจากจะดูมีเสน่ห์แล้ว ยังเผยให้เห็นถึงความใสซื่อบริสุทธิ์

เมื่อเปรียบเทียบเธอกับผู้หญิงทั้งหลายในฮาเร็มของเขา แม้แต่แม่ของวิกเตอร์ก็ยังเทียบไม่ได้กับรูปลักษณ์ของเธอ

“เธอเป็นใคร?” รูดอล์ฟค่อย ๆ เลื่อนมือลงไปสัมผัสเข้าไปวัตถุบางอย่างที่มีเนื้อสัมผัสแข็ง ซึ่งมันคือปืนพกป้องกันตัวของเขา

“ฉันน่ะเหรอ? ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวที่พวกคุณกำลังไล่ล่ายังไงล่ะ!” สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เป็นเกียรติที่ได้พบคุณเป็นครั้งแรกนะคะ”

“สวัสดีครับ” รูดอล์ฟเฝ้ามองหญิงสาวอย่างระมัดระวัง ขณะที่เธอกำลังเดินไปหาที่นั่งและจ้องมองรอบ ๆ

“ห้องของท่านเรียบง่ายดีนะคะ เรียบง่ายกว่าที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้อีก” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวตามความจริง

มุมปากของรูดอล์ฟกระตุก ห้องของเขาเรียกว่าเรียบง่ายอย่างนั้นหรือ?

เธอไม่เห็นแจกันที่เป็นสมบัติล้ำค่ามายาวนานกว่าหกร้อยปีหรืออย่างไร?

เธอไม่เคยเห็นพรมบนพื้นที่ทอมาจากใยของแมงมุมเพลิงอันสุดแสนจะล้ำค่าและมีมูลค่ามหาศาลหรืออย่างไร?!

เธอไม่เห็นหรืออย่างไรว่าโต๊ะของเขาทำมาจากท่อนไม้ทองคำอันแสนล้ำค่า?!

สวี่หลิงอวิ๋นไม่รู้จริง ๆ!

รูดอล์ฟคิดกับตนเองว่าบอกเธอไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? มันก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า…

“ท่านมาที่นี่มีธุระอะไรเหรอครับ?” รูดอล์ฟพยายามวางท่าทีอย่างสุภาพมากที่สุด ขณะที่เอื้อมมือลงไปกดสัญญาณแจ้งเตือนที่อยู่ใต้โต๊ะเป็นเวลา ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก แค่ได้ยินมาว่าท่านอยากจะเจอพวกฉัน เพราะงั้นฉันเลยมาที่นี่” สวี่หลิงอวิ๋นเปิดอ่านหนังสือด้วยท่วงท่าที่ดูสบาย ๆ “ลืมบอกท่านไปเลยค่ะ ว่าไม่ต้องพยายามกดปุ่มส่งสัญญาณแจ้งเตือนที่อยู่ใต้โต๊ะของท่านหรอกนะคะ เพราะฉันปิดกั้นมันไว้แล้ว กดไปก็ไร้ประโยชน์!”