บทที่ 180 อยากขโมยมันนะ..แต่ว่า 2 (1)
แน่นอนว่ามันเป็นปัญหาของคนอื่นๆ
ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนที่พวกเขาไม่สามารถนอนหลับได้เพราะเป็นวันสุดท้ายของงานเทศกาลและยังมีเสาเพลิงที่ลุกโชนราวกับต้องการเผาเมืองทั้งเมืองทิ้ง นั่นคือสาเหตุที่คนในคฤหาสน์ดยุกต้องตื่นขึ้นมา
เมื่อเจ้านายทั้งสอง ทั้งท่านดยุกและนายน้อยโคลเปย์ไม่สามารถข่มตาหลับได้แล้วพวกเขาทั้งหมดจะหลับลงได้อย่างไร
“เก..เกิดอะไร..ขึ้น? มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!”
พ่อบ้านวัยชราอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อแม้ว่าทหารและอัศวินจะบังระยะสายตาของเขาเอาไว้แต่เขาก็ยังมองเห็นรูปปั้นไวย์เวิร์นวางเกลื่อนเต็มพื้น รูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลเซคก้ามาหลายชั่วอายุคนถูกทำลายจนย่อยยับ!
เคร้ง! โคร้ม!
ประติมากรรมแห่งประวัติศาสตร์แปรสภาพเป็นฝุ่นผง ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของคนๆเดียว
“ไอกู! แค่ใช่มือสะกิดเบาๆก็แตกแล้วหรือนี่!?”
คนบ้าที่สวมชุดสีดำหัวเราะลั่นเมื่อใช้เท้ากระทืบชิ้นส่วนรูปปั้นที่เกลื่อนเต็มพื้น
แน่นอนว่าคนบ้าผู้นี้คืออาร์ชี
“ว้าว! ข้าล่ะสนุกจริงๆที่ได้กระทืบมันเช่นนี้!”
ปึก!ปึก!ปึก!
ชิ้นส่วนรูปปั้นแตกเป็นเสี่ยงๆในทุกๆครั้งที่อาร์ชีกระทืบไปโดน อาร์ชีรู้สึกดีมากเมื่อเขาได้ทำเช่นนี้ เขามองเห็นทุกสายตาของคนในคฤหาสน์ที่จ้องมาที่เขา สำหรับอาร์ชีผู้ต้องปฏิบัติตัวให้ดีขึ้นเพราะคำสั่งจากราชาชิกเลอร์ เขารู้สึกว่าตัวเองได้รับอิสระอีกครั้ง
~มนุษย์! นั่นมันอาร์ชีนี่นา..สุดยอดไปเลย!~
คาร์ลเห็นด้วยกับราอนดูเหมือนอาร์ชีจะเป็นนักเลงหัวไม้ได้ดีทีเดียว จากนั้นเสียงของอัศวินนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาดูท่าแล้วตำแหน่งของเขาจะสูงไม่น้อย
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? พวกเจ้ากำลังจะทำให้เหล่าทวยเทพบนสวรรค์และใต้พิภพโกรธเคืองหรืออย่างไร!”
“เฮอะ!”
อาร์ชีสบถใส่หน้าพวกเขาก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความมั่นใจ
“เราคือองค์กรลับ!”
จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะ
อัศวินไม่สามารถทำอะไรได้แม้จะโกรธเพียงใดก็ตาม ท่านดยุกกำลังเดินทางกลับในขณะที่อัศวินผู้พิทักษ์โคลเปย์และหัวหน้าของเขาอยู่ที่ทะเลสาบ เขาได้ส่งคนไปแจ้งพวกเขาทั้งคู่แล้ว ในฐานะรองหัวหน้าอัศวินเขาเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในตอนนี้แต่เขากลับไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย
คนผู้นี่แข็งแกร่งเกินไป เขาสามารถทำลายรูปปั้นขนาดใหญ่ด้วยหมัดเดียว นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของออร่าหรือพลังเวทย์ออกจากหมัดเขาด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเขาใช้ความแข็งแรงของร่างกายเพียงอย่างเดียว และเขายังสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของพลังเวทย์จากผู้สวมหน้ากากอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเช่นกัน
แน่นอนว่าคนผู้นั้นคือโรสลินแต่รองหัวหน้าอัศวินไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้ เขาหันไปมองด้านข้างเขาแทน
มีชายหนุ่มผมบลอนด์ทองที่ดูเหมือนแผงคอสิงโตยืนอยู่ตรงนั้น คนอื่นๆอาจรู้จักเขาในฐานะแขกของท่านดยุกแต่รองอัศวินเช่นเขาย่อมรู้ตัวตนที่แท้จริงของชายผู้นี้
เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของราชาสิงโต
รองอัศวินหันไปมองคนบ้าที่มีร่างกายแข็งแกร่งอีกครั้งเพื่อพยายามทำความเข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของบุตรชายราชาสิงโตดังขึ้นมา
“….พวกเจ้าคงเป็นพวกบ้าชื่อกระฉ่อนพวกนั้นสินะ?!”
‘ผู้บุกรุกเหล่านี้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างนั้นหรือ?’
รองอัศวินเริ่มหนักใจในทันที
บุตรชายคนที่สองของราชาสิงโตไม่ทราบถึงความคิดของรองอัศวินเมื่อเขาเริ่มตะโกนก้องอีกครั้ง
“พวกขยะ! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าใคร?”
‘เอ็ดริช’ สิงโตตัวผู้แสดงความโกรธเกรี้ยวต่อหน้าอาร์ชี โรสลินและพาสตัน อย่างไรก็ตามในใจของเขากำลังเต้นรัวอย่างนึกสนุก
‘ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มาเจอพวกนี้ตัวเป็นๆ’
กลุ่มคนที่แอบอ้างเป็นองค์กรลับ
นักหอกเวทย์และคนฝึกสัตว์ถูกพวกเขาทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
การต่อสู้ระหว่างเผ่าวาฬและเงือก การบุกโจมตีหมู่บ้านเอลฟ์ในภูเขาสิบนิ้ว พวกบ้าเหล่านี้คือคนทำลายแผนการทั้งสอง องค์กรลับได้รายงานเรื่องนี้ให้กับผู้มีตำแหน่งระดับสูงในองค์กรได้ทราบจนทั่วกัน
คนพวกนี้ทำให้พวกเขาต้องทำงานหนักขึ้นและอาร์มก็ต้องยุ่งกับการสืบว่าจักรวรรดิกำลังวางแผนจะทำอะไรอีกด้วย
‘พวกเขาแข็งแกร่ง’
เอ็ดริชสังเกตได้ว่าศัตรูมีความแข็งแกร่งพอๆกับเขา อย่างน้อยพวกเขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายแผนการทุกอย่างได้ตามที่นักหอกเวทย์เคยแจ้งเอาไว้
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถหดหัวด้วยความกลัวได้เพราะเขาคือทายาทราชาสิงโตผู้ยิ่งใหญ่และสง่างามที่สุด
“บอกมาว่าพวกเจ้าเป็นใคร?! เปิดเผยตัวตนของพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”
สิงโตเอ่ยถามศัตรูผู้แข่งแกร่งด้วยเสียงดังก้องและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เขาต้องการให้พวกมันเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
คาร์ลยกมือส่งสัญญาณให้อาร์ชีทันที อาร์ชีสังเกตเห็นท่าทางของคาร์ลและตอบโต้ออกไปตามที่คาร์ลสั่งให้เขาทำ
“เจ้าอยากมาอยู่ใต้รองเท้าพวกข้าหรือไม่? แล้วนั่นอะไร! ผมของเจ้าดูไม่ต่างจากไม้กวาดเลยสักนิด!”
เอ็ดริชหางตากระตุกด้วยความโกรธ ส่วนคาร์ลก็เริ่มพูดอย่างนึกสนุก
“เราเองก็มาเริ่มกันบ้างดีกว่า”
ร่างของคาร์ลค่อยๆเลือนหายไป เขาหันกลับไปมองด้านล่างอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเอ็ดริช
“ไอ้ขยะ! เจ้ากล้าดูถูกเส้นผมอันสวยงามของข้า! เจ้าเรียกมันว่าไม้กวาดได้อย่างไร?!”
“อะไรกัน? ทำไมเจ้าถึงทำตัวเอะอะโวยวายเช่นนี้? ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเจ้าสักหน่อย! เงียบเสียงลงหน่อยสิ”
“เ..เจ้า!..เจ้า..เจ้า!!!”
เอ็ดริชไม่สามารถหาคำตอบโต้อาร์ชีได้ในขณะที่ร่างของรองหัวหน้าอัศวินสั่นเล็กน้อยและพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว
คาร์ลชื่นชมความสามารถของอาร์ชีที่สามารถตอบโต้ศัตรูได้อย่างดีเยี่ยมก่อนจะหันไปคุยกับเชวฮัน
“เจ้าเห็นอาร์ชีหรือไม่? นั่นคือการแสดงที่ถูกต้อง”
“…กระผมไม่ต้องการเรียนรู้ที่จะทำแบบนั้นขอรับ”
“มันก็จริง เอาเป็นว่าเราต้องการคนแบบนี้แค่คนเดียวในกลุ่มของเราก็พอ”
‘คงมีแค่อาร์ชีเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้’
เชวฮันจ้องไปที่คาร์ลตาไม่กระพริบแต่ร่างของคาร์ลกลับเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครมองเห็นร่างของตนแล้วคาร์ลก็เริ่มทำตามแผนต่อไปทันที
“หุบปากเน่าๆของเจ้าได้แล้ว! เข้ามา!”
แม้ว่าปากจะบอกว่า ‘เข้ามา’แต่อาร์ชีกลับพุ่งตัวไปข้างหน้าแทนที่จะรอให้อีกฝ่ายเข้ามาหาก่อน เขาตั้งใจพุ่งตัวไปหาเอ็ดริชโดยเฉพาะ
โรสลินและพาสตันตามหลังไปติดๆและเริ่มโจมตีเหล่าอัศวินทันที
คาร์ลเอ่ยกับเชวฮันและราอนด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อพวกเขากำลังเริ่มดำเนินการตามแผน
“อย่าปล่อยให้ข้าคลาดสายตาจากพวกเจ้าล่ะ”
เป็นเพราะเขาไม่เจอสิงโตตัวอื่นหรือสมาชิกที่เหลือของอาร์ม เขาต้องการให้เชวฮันและราอนติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ลูกแมวทั้งสองและตัวเขาปลอดภัย
~ข้าเข้าใจแล้วมนุษย์! ข้าจะอยู่ใกล้ๆเจ้าอย่างแน่นอน!~
น้ำเสียงร่าเริงของราอนดังเข้ามาในหัวแต่คาร์ลก็เลือกที่จะไม่สนใจก่อนที่พวกเขาจะลอบเข้าไปด้านในอาคาร
.
.
.
ฟริ้ววว~~~~~~
เสียงลมดังเข้ามาในห้องริมสุดบนชั้นห้าภายในคฤหาสน์เซคก้า มันเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องทำงานของโคลเปย์
‘โกรนิก้า’ สิงโตตัวเมียที่พักอยู่ในห้องนี้เริ่มพูดขึ้น
“…มีหน้าต่างเปิดทิ้งไว้หรือไม่?”
“อะไรนะขอรับ?”
อัศวินนายหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสับสนก่อนท่าทางของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ชิ้ง! เคร้ง!ชิ้ง! เคร้ง!
สมาชิกของอาร์มหยิบอาวุธขึ้นมาทันที
ไม่มีหน้าต่างบานใดเปิดอยู่! พวกเขาปิดทางเข้าออกภายในชั้นห้าทั้งหมดรวมถึงวางกำลังอัศวินไว้ยังจุดต่างๆเมื่อทราบว่ามีผู้บุกรุก
ไม่มีทางที่ลมจะพัดเข้ามาได้
ฟริ้วววววว~~~~~~
แต่ลมก็พัดเข้ามาอีกครั้ง พวกเขาต่างกระชับอาวุธในมือไว้แน่น
ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นหมอกหนาทึบ มันกำลังแล่นเข้ามาจากโถงทางเดินพร้อมกับลมหอบใหญ่มันดูคล้ายกับคลื่นสีขาวที่ซัดผ่านโถงทางเดินเข้ามา
“ถอย!”
โกรนิก้าพุ่งตัวออกจากห้องและถลาเข้าไปหาหมอกพร้อมกับแส้ในมือ
เพี๊ยะ!
แส้ทองคำที่คล้ายกับสีผมของเธอถูกสะบัดเข้าไปในหมอกทึบ ก่อนจะมีเสียงเล็กๆแว่วออกมา
“เมี้ยวววววว”
มันเป็นเสียงแมว
เธอยังจำสิ่งที่ตาเฒ่าร่างเด็กบอกไว้ได้ เขาพูดออกมาด้วยความเคียดแค้น ตาเฒ่าฝึกสัตว์เคยพูดไว้ว่า
‘ข้าจะฆ่าแมวพวกนั้นให้ได้! พวกมันจะต้องตายด้วยฝีมือของข้า!’
นักหอกเวทย์ก็ได้รายงานในที่ประชุมเมื่อครั้งที่โกรนิก้าเข้าร่วมเช่นกัน
‘มีแมวสองตัวอยู่ในกลุ่มนั้น..พวกมันเชี่ยวชาญเรื่องพิษ!’
“เมี้ยวววววว”
เธอได้ยินเสียงแมวร้องอีกครั้งก่อนจะตวัดแส้ออกไปทันที
เคร้ง!!
อย่างไรก็ตามมีคนขวางแส้ของเธอเอาไว้ แส้ถูกปัดออกด้วยดาบก่อนที่มันจะสูญเสียการควบคุม
ชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกจากหมอกทึบ
เธอมองเห็นแววตาคมกล้าของชายชุดดำ ทั้งยังมีออร่าสีดำลอยไปทั่วอากาศ
โกรนิก้าเอ่ยกับลูกน้องของตนทันที
“มันมีพิษ”
อาร์มมีข้อมูลของกลุ่มคนเหล่านี้เช่นกัน เธอจำข้อมูลบางส่วนได้เมื่อแส้ของตนถูกปัดป้องด้วยดาบจากชายตรงหน้า
“เจ้าคงเป็นนักดาบผู้นั้นสินะ?!”
นัยน์ตาดำภายใต้หน้ากากเริ่มยิ้ม เธอไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้พลาดไปเมื่อเริ่มตวัดแส้ออกไปอีกครั้ง
เพล้ง!
จู่ๆหน้าต่างในห้องก็แตกกระจาย เศษแก้วแตกออกเป็นสี่ยงๆและลอยตกไปด้านล่าง
“ทำไมกระจกหน้าต่างถึง….?”
“เกิดอะไรขึ้น?!?”
กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกต่างเป็นกังวลเมื่อเห็นกระจกหน้าต่างแตก พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นบนชั้นห้า
โกรนิก้ามองตามหมอกพิษที่เริ่มกระจายออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะหันศีรษะไปมองด้านล่างเล็กน้อย
“เฮ้! นี่เจ้าทำอะไรอยู่? เจ้ากลัวอยู่เหรอ? เจ้าแมลงวันไวย์เวิร์น! เจ้าหัวไม้กวาด! เจ้ากำลังคิดหนีหรือไง! ฮ่าฮ่าฮ่า!!!”
เธอได้ยินเสียงของผู้บุกรุกจากด้านนอก
เจ้าหัวไม้กวาด! ประโยคนี้ทำให้เธอกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะตัดสินใจพุ่งเข้าหาเชวฮันอีกครั้ง
“เฝ้าประตูให้ดี!”
เธอออกคำสั่งสั้นๆกับลูกน้องของเธอในขณะที่แส้ก็ตวัดไปยังร่างของเชวฮัน
เพี๊ยะ!!
ปัง!
ไม่ใช่เสียงดาบที่กระทบเข้ากับแส้แต่เป็นแส้ที่กระทบกับขอบหน้าต่างจนสั่นสะเทือน โกรนิก้าหยิบมีดสั้นของตนออกมาและขว้างใส่เชวฮันอย่างรวดเร็ว
มีดสั้นของเธอลอยค้างอยู่กลางอากาศ มันถูกควบคุมด้วยออร่าของเชวฮัน สายตาของทั้งคู่สบเข้าหากันพอดีก่อนที่โกรนิก้าจะได้ยินเสียงของผู้บุกรุกเป็นครั้งแรก
“ช่างอ่อนแอยิ่งนัก”
‘อะไรกัน?’
ดวงตาของเธอเริ่มสั่นคลอนซึ่งเป็นจังหวะที่เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมา
“โกรนิก้า!”
‘