บทที่ 192 เขาเรียบง่ายจนนางรู้สึกผิด

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 192 เขาเรียบง่ายจนนางรู้สึกผิด

ชิงอวี่หายตัวไปครึ่งวันแล้ว มู่ไหลเป็นห่วงนางมาโดยตลอด เมื่อรู้ว่านางเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม นางจึงไปอาละวาดที่ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณทันที

ตูม!!

ห้องเรียนภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณถูกสตรีปีศาจทำลายเสียยับเยิน คนผู้หนึ่งไม่อาจอดกลั้นไหว เอ่ยเสียงดังขึ้น “เจ้าเกินไปแล้วนะ! เราไม่ได้บังคับให้นางเข้าสถานที่ต้องห้ามเสียหน่อย นางไปของนางเอง! เจ้ามันไร้เหตุ…..”

คำสุดท้ายยังไม่ทันได้กล่าว มู่ไหลก็สีหน้าทะมึน สะบัดแส้ที่ส่งเสียงเปรี๊ยะ ๆ ไปยังคนพูด เขารีบกระโดดหลบ แต่แส้ก็ซัดโดนแขนเสื้อ ส่งผลให้ปวดร้าวไปทั้งแขนทันที

เขายังไม่ทันโวยวาย ก็เห็นว่าใบหน้าเย็นชาดูโหดเหี้ยมของนางค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาทีละก้าว น้ำเสียงเย็นยะเยียบพลันเอ่ยขึ้น “คิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องที่เจ้าทำหรือ? ข้าจะบอกให้ หากชิงอวี่เป็นอะไรไป พวกเจ้ามีสิบชีวิตก็ยังไม่พอ!”

“เจ้าคิดว่าตนเป็นใครกัน? คิดว่าจะมาขู่พวกข้าได้หรือ!?” คนหนึ่งร้องเสียงไม่พอใจขึ้น

หลังเข้าสำนักละอองหมอกมา ตัวตนเดิมที่เคยมีก็ไม่มีผลอีกต่อไป ดังนั้นคนที่นี่ส่วนมากจึงปกปิดตัวตนเดิมไว้ ฐานะคุณหนูตระกูลนักปรุงยาของนางจึงไม่เป็นที่รู้จักในสำนัก

คนอื่นเห็นนางเป็นนักปรุงยาฝีมือดีที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลางก็เท่านั้น

มู่ไหลได้ยินแล้วก็เหยียดริมฝีปาก จ้องอีกฝ่ายราวกับเขาตายไปแล้ว “พวกเจ้าจะกลัวหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญคือ ข้ามู่ไหลผู้นี้ ไม่เคยผิดคำพูด ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตาย ข้าสามารถช่วยสำนักกำขจัดขยะออกไปสักชิ้นสองชิ้นได้ คิดเสียว่าทำเรื่องดีบ้างก็แล้วกัน”

“มู่ไหล?” คนผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าคือสตรีปีศาจแห่งตระกูลนักปรุงยา มู่ไหลงั้นหรือ!?”

จะบังเอิญขนาดนั้นเชียว!?

สตรีที่ว่ากันว่าเก่งกล้าสามารถกว่าบุรุษหลาย ๆ คน วิชาแพทย์เทียบไม่ติด เป็นนักบำเพ็ญเพียรสองทางที่เก่งทั้งวิชาแพทย์และวิชายุทธ์ เป็นทายาทที่โดดเด่นที่สุดแห่งตระกูลนักปรุงยา

ที่สำคัญคือ นางยังเป็นผู้นำน้อยแห่งตระกูลนักปรุงยา เมื่อมีตระกูลใหญ่หนุนหลังนางเช่นนี้ นางจึงไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว

ทั่วทั้งแดนนี้ คนที่ไม่น่าล่วงเกินที่สุดคือพวกนักปรุงยา เพราะไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าวันใดจะเจ็บหรือป่วย เมื่อถึงเวลานั้น หากมีสัมพันธ์อันดีกับนักปรุงยาก็จะเป็นประโยชน์นัก

แม้จะมีนักปรุงยาอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่คนทั้งหลายก็ยังให้ความเคารพพวกเขามาก

ตระกูลมู่เป็นตระกูลนักปรุงยาที่ใหญ่ที่สุดในแดนมุกหยก ศิษย์สำนักทั้งหลายร่ำเรียนจบแล้วก็จะเข้าไปทำงานกับตระกูลมู่เพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือก็คือหากตระกูลมู่ต้องการแล้วไซร้ ก็สามารถทำลายชีวิตนักปรุงยาคนหนึ่งได้ง่าย ๆ เห็นได้ชัดว่ามีอำนาจและฐานะสูงส่งขนาดไหน

และตรงหน้าพวกเขาก็คือผู้นำน้อยที่ต่อไปจะครองทั้งตระกูลนักปรุงยา พวกเขาได้ล่วงเกินนางไปแล้ว!

คิดดังนั้น ทุกคนก็หน้าถอดสี ปิดปากเงียบราวกับหนูตัวหนึ่ง

จนกระทั่งหมิงอีอีกับหมิงจิ้งได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินเข้ามา ทุกคนจึงถอนใจโล่งอกราวกับเจอพระผู้มาโปรด

ทั้งสองคนรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว หลังจากโกรธเกรี้ยวกับความโง่เขลาของศิษย์จากภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณของตนเองแล้ว ทั้งสองเองก็รู้สึกผิดและเป็นกังวลใจเช่นกัน หมิงอีอีโอบไหล่มู่ไหลปลอบเบา ๆ “มู่ไหล อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลย ชิงอวี่เก่งจะตาย ทั้งยังฉลาดอีกด้วย นางต้องไม่เป็นอะไรแน่”

มู่ไหลยังสีหน้ากระด้างไม่คลายลง เบี่ยงไหล่ออกมาเงียบ ๆ ใบหน้าไร้อารมณ์ยามกล่าว “ข้ารู้ว่านางเก่ง นางทำตัวแข็งแกร่งอยู่ตลอด เหมือนจะไม่มีอะไรเอาชนะนางได้ แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นแค่แม่นางอายุสิบห้าคนหนึ่ง สถานที่ต้องห้ามมีอันตรายอยู่มากมายเช่นนั้น นางจะรับมือคนเดียวอย่างไรไหว!?”

นางรู้ว่าหมิงอีอีและพี่ชายไม่เกี่ยว แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนจากภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ ตอนนี้นางยังไม่อาจทำใจยอมรับได้

ว่าแล้วนางก็ไม่รั้งรออยู่อีก หันหลังเดินจากไปทันที หมิงอีอีรีบตามไปถาม “เจ้าจะไปไหน?”

“ข้าจะไปพบท่านเจ้าสำนัก ขอให้เขาเปิดสถานที่ต้องห้ามให้ข้า ข้าจะเข้าไปช่วยชิงอวี่”

“ท่านเจ้าสำนักไม่มีทางเห็นชอบแน่ สถานที่ต้องห้ามไม่เคยเปิดให้ใครเข้าไปมานานหลายปีเพราะมันอันตรายนัก เจ้าเองเข้าไปโอกาสรอดก็คงไม่มากเช่นกัน” หมิงจิ้งเอ่ยเสียงเรียบ

มู่ไหลชะงักฝีเท้าไป ราวกับได้ยินเสียงนางหัวเราะเยาะกลับมา “ไม่เห็นชอบแล้วอย่างไร? ข้าก็บุกเข้าไปสิ ข้าอยากทำอะไรไม่เคยมีใครหยุดข้าได้อยู่แล้ว และหากเกิดเรื่องกับชิงอวี่ในสำนักละอองหมอก ไม่อาจรู้ได้ว่าทางสำนักจะเกิดเภทภัยอะไรขึ้นบ้าง”

ไม่ต้องกล่าวว่าจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของแดนอย่างชางไห่อ๋องเป็นห่วงชิงอวี่มากเพียงไหน ยังมีบุรุษนัยน์ตาม่วงที่ล้ำลึกเกินหยั่งคนนั้นอีก แค่ท่าทางสูงส่งของเขาเพียงอย่างเดียวก็มองออกแล้วว่าเขามีฐานะไม่ธรรมดา เห็นครั้งแรกนางก็เดาได้แล้วว่ามาจากแดนอื่นเป็นแน่

สองคนนั้นมีใครไม่สามารถสร้างความปั่นป่วนในหนึ่งพลิกฝ่ามือได้บ้าง? จะกวาดล้างสำนักละอองหมอกก็คงง่ายแค่ยกนิ้วหนึ่งขึ้นเท่านั้นกระมัง

ดังนั้นสิ่งที่นางทำจะรักษาสำนักละอองหมอกไว้ หากพวกเขายอมร่วมมือจะดีกว่า หากปฏิเสธนางก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ยูนิคอร์นอสนีบาตเองก็ถูกส่งเข้าสำนักมาโดยโหลวจวินเหยา เมื่อรู้ว่าชิงอวี่เข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามก็แอบเข้าไปแล้วเช่นกัน ในฐานะอสูรวิญญาณระดับ 12 เท่านี้ก็นับว่าเหนือกว่าใครในดินแดนระดับต่ำเช่นนี้ได้แล้ว อสูรตัวอื่น ๆ เจอเขาก็ได้แต่หนีไปเท่านั้น

ชิงอวี่กับซีจ้านเฉินเดินทางมาไม่เจออสูรสักครึ่งตัว กระทั่งนกสักตัวบนต้นไม้ยังไม่มีมาให้เห็น นางยังคิดว่ามันแปลกนัก ไม่ได้รู้เลยว่าอสูรทั้งหลายหนีไปซ่อนตัวกันจนหมด เพราะต้องการหลบกลิ่นอายดุดันข่มขวัญของยูนิคอร์นอสนีบาตนั่นเอง

“แปลกนัก ข้ามาที่นี่ตอนแรกเจออสูรเป็นโขยง แต่ตอนนี้กลับไม่มีเงาอสูรวิญญาณสักตัว” ซีจ้านเฉินยกยิ้มมุมปากดูฉงนอยู่เล็กน้อย

ชิงอวี่เลิกคิ้วมองหน้าเขา “แล้วท่านเข้ามาเมื่อไหร่?”

“สามวันก่อน” ซีจ้านเฉินตอบ

ชิงอวี่ดูฉงนเล็กน้อย “ทำไมถึงอยู่นานนัก?”

“ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์บานเมื่อคืน ข้าเฝ้ามาสองวันแล้ว เพิ่งจะเก็บมันมาหลังจากมันบานเต็มที่เมื่อเช้านี้เอง” ซีจ้านเฉินยกห่อในมือขึ้นมาระหว่างอธิบาย ราวกับไม่คิดปิดบังจากนาง

ชิงอวี่ตาเป็นประกายวาบ “ท่านเป็นนักฆ่าไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงรับภารกิจเช่นนี้เล่า?”

“ภารกิจนักฆ่าไม่ใช่ว่าเป็นภารกิจสังหารเท่านั้น” ซีจ้านเฉินตอบพลางยิ้ม

ชายหนุ่มหน้าตาดีมากจริง ๆ หากเก็บกลิ่นอายไปแล้วก็ดูไม่ออกเลยว่าเป็นนักฆ่า อีกทั้งเขายังไม่ได้ให้สัมผัสเฉียบขาดหรือโหดเหี้ยมอย่างที่นักฆ่าส่วนมากมี หน้าตาก็ไม่ได้น่ากลัว กลับมีนัยน์ตาน่ามองอีกต่างหาก

“ได้ยินว่าท่านไม่ค่อยรับภารกิจ ข้าจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าครั้งนี้ท่านได้ค่าตอบแทนมากมายเท่าไหร่กันหนอ” ชิงอวี่ถามด้วยใบหน้าแสดงความสนใจ “ในเมื่อดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์หายากนัก ราคาคงไม่ใช่ถูก ๆ แน่”

ทว่าซีจ้านเฉินเพียงส่ายหน้าตอบ “ข้าเพียงตอบแทนบุญคุณของคนผู้หนึ่ง ไม่ได้มาทำภารกิจ”

ชิงอวี่ยกยิ้ม พูดแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นอีก “ท่านไม่ตอบแทนบุญคุณใหญ่หลวงไปหรือ? ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ติดอันดับที่สี่ของสมบัติล้ำค่าหายาก ใครที่หามาได้จะได้ค่าจ้างวานอย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งล้าน และหากสภาพดีก็ได้เพิ่มอีกหนึ่งล้าน แต่ท่านกลับทำไปไม่ได้ประโยชน์ ทั้งยังถูกนักฆ่าพวกนั้นตามล่า ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองคืนเพื่อมาเก็บดอกไม้ยามมันสมบูรณ์ที่สุด ทั้งยังได้รับบาดเจ็บอีก มองอย่างไรการค้าครั้งนี้ท่านเสียเปรียบนัก ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”

สีหน้าซีจ้านเฉินแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“ข้าเป็นนักปรุงยา ก็ต้องรู้เรื่องสมุนไพรหายากเช่นนี้อยู่บ้าง” ชิงอวี่อธิบาย สายตาจับจ้องไปที่มือของเขาที่ถือของอยู่ “กลีบดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มีหนามเล็ก ๆ เต็มไปหมด ท่านคงไม่ทันเห็นจึงถูกมันเข้า ตอนนี้มันดูดเลือดท่านไปแล้ว ตอนนี้ก็คงงดงามขึ้นมาก ฤทธิ์ยาก็คงแรงขึ้นด้วย”

“ทำไมเล่า?” ซีจ้านเฉินถามด้วยความสงสัย

“ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์เป็นสมุนไพรเซียนที่มีฤทธิ์มหัศจรรย์นัก และเพราะมันเป็นดอกไม้ปีศาจ ดังนั้นจึงมีความกระหายเลือดอยู่ภายใน น้อยคนนักที่จะรู้ แต่เมื่อมันต้องได้ดื่มเลือดสดเท่านั้นมันจึงจะเบ่งบานเต็มที่ กลายเป็นดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์อย่างสมบูรณ์ กลับกันแล้ว หากไม่ได้เลือดสด แม้มันจะเติบโตเต็มที่แล้ว แต่ฤทธิ์ยาก็จะไม่ดีเท่า”

“เช่นนั้นเองหรือ” ซีจ้านเฉินตอบรับ ยกยิ้มมุมปาก “ไม่คิดเลยว่าเลือดข้าจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้านี่”

ทว่าชิงอวี่กลับส่ายหน้า ปรายตามองเขา “เจ้านั่นเป็นดอกปีศาจ ทั้งมันยังดูดเลือดท่านไป ท่านไม่รู้สึกร่างกายผิดปกติที่ตรงไหนหรือ?”

“ไม่” ซีจ้านเฉินตอบ

“…..” ก็มีสายเลือดไม่ธรรมดานี่นะ เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบใดหรือ?

ชิงอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง นางครุ่นคิดสักครู่พลันเอ่ยขึ้น “ถึงจะไม่มีอะไรแต่ท่านก็ควรระวังหน่อย ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มีพิษ ท่านสัมผัสมันไปแล้ว ผลอาจจะตามมาทีหลังก็เป็นได้ ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้สึกอะไรก็เถอะ”

ซีจ้านเฉินจ้องขวดกระเบื้องสีขาวที่ถูกยัดเข้ามาในมือด้วยความมึนงง ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรไปชั่วขณะ

“ท่านดื่มมันวันละหน ช่วยป้องกันพิษที่เกิดกะทันหันได้”

เขาจ้องขวดน้อยในมืออยู่นาน ประกายวาดผ่านนัยน์ตาเขารวดเร็วนัก ก่อนที่นัยน์ตาหงส์สีเลือดจะเจือแววยิ้มจาง ๆ น้ำเสียงฟังรื่นหูพลันเอ่ย มันไหลเอื่อยราวกับสายน้ำ ได้ยินแล้วสบายหูนัก

“ขอบใจมาก นับเป็นครั้งแรกที่มีคนเป็นห่วงเป็นใยข้าเช่นนี้”

นัยน์ตาที่จ้องมองนางนั้นเจือแววสัตย์จริง ชิงอวี่สบตาเขาแล้วพลันรู้สึกผิดน้อย ๆ ขึ้นในใจ

นางแค่จะตีสนิทเขาสักหน่อย เขาจะได้ลดความระแวดระวังนางลงบ้าง นางจะได้หาทางฉกเอาดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มาจากมือเขาได้อย่างไรเล่า!

เป็นห่วงเป็นใยอะไรกัน? ก็แค่แผนร้ายของนางเท่านั้น ท่านจำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้ไหม…..

ยิ่งทำให้นางรู้สึกผิดกว่าเดิมไปอีก

แล้วทำไมนักฆ่าระดับพระกาฬเช่นเขาถึงได้….. ไร้เดียงสาได้ถึงขนาดนี้กัน!?

นางพลันรู้สึกราวกับตนกำลังกระทำเรื่องชั่วช้าสามานย์เกินให้อภัยอยู่เลย

แต่ว่าดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเอามาให้ได้ นางต้องใช้มันผสานเศษวิญญาณของท่านแม่กลับเข้าด้วยกัน ดังนั้นกับแค่หลอกลวงเล็กน้อยไม่นับเป็นอะไรหรอก

นางเป็นคนช่วยชีวิตเขานี่นา ไม่เห็นจะได้เงินสักแดงเดียวด้วย เพราะงั้น….. นางแค่ขอสมุนไพรเขามาต้นหนึ่ง คุ้มจะตาย…อืม ใช่แล้วล่ะ

ความรู้สึกผิดน้อย ๆ ในใจพลันละลายหายไป

“จุ๊ ๆ นักฆ่าที่เก่งที่สุดย่อมแตกต่างจากคนอื่นอยู่แล้วเป็นแน่แท้ ต้องมีสาวงามคอยติดตามข้างกาย แต่สาวงามครั้งนี้ต่างจากคนอื่น ๆ งดงามกว่าคนก่อนหน้านัก เจ้าดวงเรื่องสตรีดีจริงเชียว…..”

เมื่อน้ำเสียงชั่วร้ายดังขึ้น คนหลายคนก็ปรากฏขึ้นขวางหน้าโดยไร้สุ้มเสียง หนึ่งในนั้นมีร่างกำยำดูดุร้าย มองประเมินชิงอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาร้อนแรง ราวกับกำลังมองก้อนเนื้อหวานฉ่ำ

ชิงอวี่ริมฝีปากแข็งค้างไป นางยังไม่ทันเอ่ยอะไร บุรุษข้าง ๆ ก็ขยับร่างเล็กน้อยเข้าบังนางจากสายตาผู้คนทั้งหลาย